Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 570 ขั้นที่ 2
บทที่ 570 ขั้นที่ 2
บทที่ 570 ขั้นที่ 2
คนขับรถในวันนี้คืออีเลฟเว่น
ด้วยรถบัสขนาดเล็กที่มีที่นั่งสามแถว ของโรงแรมที่แต่เดิมมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการรับส่งผู้โดยสารจากตีนเขาขึ้นมาด้านบนยอดเขานี้ ปัจจุบันมันกลายเป็นรถส่วนตัวสุดหรูหราของเซียวเฟิงไปแล้ว ครั้งนี้ที่ต้องนำมันออกมาใช้ก็เพราะว่ามีสาว ๆ มากเกินไปที่อยู่ในคฤหาสน์ของยอดเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกของหลิวเฉียงเหว่ย เซียวหลิง หรือหนิงเคอเค่อ
เมื่อเห็นแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าลำพังเพียงรถคันใหญ่ทั่วไปนั้นไม่มีทางเพียงพอแน่นอน และเมื่อทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว มันก็จะเหลือเพียงที่นั่งข้างคนขับเท่านั้นที่ให้เซียวเฟิงนั่งได้
โชคยังดีที่โรงแรมยังไม่เปิดเป็นสาธารณะ ณ ตอนนี้ ดังนั้นพาหนะทุกคันภายในโรงแรม เขาสามารถเรียกใช้งานได้ทั้งหมดตามที่ต้องการ
“เธอรู้สึกยังไงบ้างหลังจากที่ได้เข้ามาอยู่ในฮัวเซียพักใหญ่ ๆ แล้ว”
เซียวเฟิงเหลือบมองกลุ่มสาว ๆ ที่อยู่เบาะหลังซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่ ก่อนจะเริ่มถามอีเลฟเว่นที่เป็นคนขับด้วยน้ำเสียงที่กะให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
“ที่นี่เป็นประเทศที่สงบและร่มเย็นมากค่ะ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหวัง” อีเลฟเว่นตอบด้วยเสียงเบา
“หลังจากที่ออกมาจากเฮลมาก็นานมากแล้ว ถึงเวลาที่พวกเธอจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปกติเหมือนคนอื่นแล้วล่ะมั้ง” เซียวเฟิงพูดต่อขณะที่สายตามองตรงไปยังเบื้องหน้า
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พวกเราในฐานะผู้ติดตาม จะขอติดตามนายท่านตลอดไป” ฟังเซียวเฟิงพูดแล้ว อีเลฟเว่นก็รีบพูดขึ้นโดยไม่ต้องลังเล
“ฮัวเซียน่ะเป็นประเทศที่สวยงามมากนะ เพราะงั้นเธอควรจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ฉันเพิ่งไปทำเรื่องให้พวกเธอถูกกฎหมายมาแล้ว แต่ก็ระวังอย่าไปทำอะไรผิดกฏหมายของที่นี่ด้วยล่ะ” คราวนี้เซียวเฟิงหันไปมองหน้าต่างขณะพูดแทน
“ค่ะ…ท่าน ช่วงนี้…เพราะผลกระทบที่มาจากเกม เริ่มมีลูกค้าติดต่อเข้ามาที่โรงแรมเพื่อจะมาเที่ยวและพักผ่อนกันเพิ่มขึ้นแล้ว พวกเรา…เอ่อ…อยากจะเปิดให้บริการโรงแรมนี้อย่างเป็นทางการค่ะ”
ร่างของอีเลฟเว่นสั่นเครือเบา ๆ เมื่อรู้ว่าพวกตนมีอิสระในประเทศนี้แล้วภายใต้กฎหมาย เพราะงั้นเธอจึงเริ่มถามเซียวเฟิงกลับไปถึงสิ่งที่อยากจะทำเผื่อว่าเขาจะไม่เห็นด้วย
“ตามสะดวก เธอไม่ต้องรายงานฉันก็ได้” เซียวเฟิงได้ใช้ชื่อเสียงของเขาเพื่อพวกเธอไปแล้ว เพราะงั้นหลังจากนี้เหล่าผู้ที่มาจากเฮลทั้งหมดจะไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ภายใต้เงาของเขาอีกต่อไป พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตของตนเองตามที่ต้องการ
“รับทราบค่ะนายท่าน” อีเลฟเว่นตอบรับด้วยเสียงเรียบ แต่ถึงอย่างนั้น ความดีใจและตื่นเต้นของเธอก็ยังซ่อนได้ยากหลังได้ยินเช่นนั้นแล้ว
ปลายทางที่พวกเซียวเฟิงเลือกจะไปวันนี้ คือ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งใหม่ในเมืองเฉิงไห่ที่เพิ่งสร้างได้ไม่นานนี้ ซึ่งในช่วงกลางฤดูร้อนเช่นนี้ มันดึงดูดนักท่องเที่ยวและชาวเมืองได้ดีมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาด้านนอกยามที่ผู้คนต่างก็ออกมากันนั้นไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย เพราะก่อนที่พวกเขาจะได้ออกจากถนนหลวง รถก็ติดไม่ขยับขึ้นมาเสียแล้ว มินิบัสคันหรูทำได้เพียงค่อย ๆ ขยับตามขั้นข้างหน้าไปสลับกับการซิกแซกไปมาเหมือนงูค่อย ๆ เลื้อยเท่านั้น ในเวลาครึ่งชั่วโมง พวกเขาขยับไปได้ไม่ถึงสิบเมตรเลยด้วยซ้ำ
“พี่เซียว ข้างหน้ารถติดหนักเลยเหรอ?” หลังจากที่รู้สึกว่าพวกเธอแทบไม่ได้ขยับไปไหนมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เฉียนโตวโตวที่นั่งอยู่กับกลุ่มสาว ๆ ด้านหลังก็เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับเอนหลังพิงกับด้านหลังเบาะที่นั่งข้างคนขับด้วย
“ไม่แน่ใจ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูหน่อย” เซียวเฟิงที่ทนมานานแล้วไม่สามารถนั่งเฉย ๆ ได้อีกต่อไป เอาจริง ๆ เขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าการเดินทางช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเลย เพราะงั้นเข้าถึงไม่ได้อยากจะออกไปไหน แต่เพราะเซียวหลิงอยากจะออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก เขาถึงได้ยอมออกมาเช่นนี้
ที่ด้านหน้านั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง ๆ ด้วยประสาทหูของเซียวเฟิง เขาสามารถได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอยู่ในรถ ถึงแม้จะไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นนัก แต่การที่รถติดไม่ขยับมาครึ่งชั่วโมงแล้วและไม่มีท่าทีว่าจะขยับในเร็ว ๆ นี้ มันก็ทำให้เซียวเฟิงหมดความอดทนเหมือนกัน
“เป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมให้ฉันผ่านไปก่อนฮะ?”
“แล้วทำไมต้องให้นายไปก่อนด้วย? ถอยไปแล้วค่อยขับไปทีหลังไม่ได้หรือไง? พ่อเอ็งเป็นเจ้าของถนนเหรอ?!!”
ต้นเสียงที่กำลังทะเลาะกันนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เซียวเฟิงอยู่นัก และหลังจากนั้น การจราจรที่จากเชื่องช้าก็กลายเป็นนิ่งไม่ขยับเพียงเพราะคนสองคนทะเลาะกันไม่ยอมหยุดเท่านั้น คนขับที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็พากันลงมาดูด้วยความหงุดหงิดแล้วเช่นเดียวกับเซียวเฟิง
ทางหลวงเส้นนี้ค่อนข้างจะอยู่ใกล้เขตเมืองเล็ก ๆ ดังนั้นถนนมันจึงแคบกว่าเส้นปกติ ตัวถนนมีเพียงเลนเดียวเท่านั้นในแต่ละฝั่ง ถึงแม้ว่ารถที่วิ่งสวนกันจะไม่สามารถวิ่งเร็วได้ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาการจราจรติดขัดจากมารยาทบนท้องถนนเช่นนี้มาก่อน เหตุดังกล่าวนี้เกิดจากการที่รถสีขาวคันเล็ก ๆ คันหนึ่งกลับรถ เพราะเหมือนจะวิ่งมาผิดเส้นทาง และเพราะถนนเส้นนี้เป็นแบบเลนเดียว มันเลยทำให้รถคันนี้ไม่ได้ขวางเพียงแค่เลนเดียว แต่ยังขวางในเลนอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นรถทางสวนด้วย สิ่งหนึ่งที่เซียวเฟิงเดาไม่ผิดคือ ฝ่ายคนขับหญิงที่มากับรถสีขาวเป็นฝ่ายเปิดฉากทะเลาะก่อน
“เลิกทะเลาะกันก่อนได้ไหม? คุณเจ้าของรถคันสีขาว คุณช่วยถอยกลับไปนิดหนึ่งให้รถข้างหน้าได้ขยับไปก่อน รู้จักไหมการให้ทางน่ะ?!!!”
คนขับรถคันอื่นที่ดูสถานการณ์อยู่เอ่ยขึ้นหลังจากทนฟังมานาน
“แล้วทำไมฉันต้องให้ตานั่นไปก่อนล่ะ? เป็นผู้ชายซะเปล่า ถอยไปก่อนไม่ได้หรือไง?!” หญิงที่ขับรถคันสีขาวดูแล้วน่าจะอายุราว ๆ สามสิบพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความใจแคบ
“คนนั้นเขาถอยไม่ได้แล้ว ข้างหลังเขาเป็นรถที่วิ่งมาทางตรง ตนนี้เหลือแค่เธอแล้วที่ยังถอยได้”
คนที่ออกมาดูสถานการณ์คนอื่น ๆ ก็เริ่มออกมาพูดบ้างแล้วเหมือนกัน เพราะพวกเขาเองก็เริ่มได้รับความทุกข์จากความเห็นแก่ตัวครั้งนี้กันทีละคน ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะต้องมารถติดนานกว่าครึ่งค่อนชั่วโมงเช่นนี้
“ใครอยากจะไปก็ไปสิ! แต่ฉันไม่ยอม ถ้าหมอนั่นไม่ถอยก่อน ฉันก็จะจอดอยู่แบบนี้! ถ้าพวกแกอยากไปต่อก็บอกให้มันถอย ไม่งั้นฉันก็จะจอดรถไว้แบบนี้แหละ!”
เธอแสดงให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นคนที่มีความหยิ่งยโสและไร้ซึ่งเหตุผลใด ๆ
“ยัยนี่! คนอย่างเธอน่ะมีแต่จะทำให้คุณภาพของมนุษย์ตกต่ำลง! แค่ปัญหาเล็ก ๆ อย่างการที่ตัวเองเป็นตัวการที่ทำให้เกิดรถติด เพียงแค่ถอยเธอยังไม่คิดจะทำเลย! แก่แต่ตัวนี่หว่า! พวกเห็นแก่ตัวเอ๊ย!”
แม้ว่าฮัวเซียมุงบางคนจะยังคงใจเย็น แต่บางคนก็เริ่มเอ่ยปากบ่นอิดออดแล้ว
“ทำไม? ถ้าพวกแกคิดว่าฉันผิดก็ไปฟ้องเอาสิ หรือจะเรียกตำรวจจราจรมายกรถฉันออกไปก็ได้!” คนขับหญิงวัยเลขสามยังคงยืนยันในการกระทำของตน เธอไม่รู้สึกว่าตนเองผิดแม้แต่นิด
“คนอย่างป้าน่ะ ควรจะโดนโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพดึงตัวไปซะจริง!”
เหล่าคนที่หมดความอดทนก่อนสาปแช่งทิ้งท้ายก่อนจะหันหน้าออกแล้วเดินออกจากจุดนี้ไป พวกเขาคิดว่าคนพรรค์นี้เถียงไปก็น่ารำคาญเปล่า ๆ
เซียวเฟิงหันมองตามคนที่เพิ่งสาปแช่งเจ้าหล่อนไป คำพูดสาปแช่งนั้นทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพราะเซียวเฟิงไม่ได้อยากจะจุ้นจ้านอะไรกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาเองก็เลือกที่จะเดินกลับไปยังรถของตนเช่นกัน
“เป็นยังไงบ้างพี่เซียว? พอจะขยับได้ไหม?” เฉียนโตวโตวที่เห็นว่าเซียวเฟิงกำลังเดินกลับมาก็รีบยื่นหัวออกมานอกหน้าต่างแล้วกล่าวถามก่อน
“ไม่เลย จอดสนิท ฉันว่าวันนี้เราคงไปเที่ยวกันไม่ได้แล้ว” เขาส่ายหน้า
“เอ๊า! แล้วแบบนี้พวกเราต้องทำยังไงง่ะ?” เด็กสาวแสดงความผิดหวังออกมาทันที
“แน่นอนก็ต้องกลับสิ คิดว่าฉันทำอะไรได้หรือไง?” เมื่อขึ้นรถมาแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรมากนัก เขาตอบง่าย ๆ แล้วหันไปบอกให้อีเลฟเว่นกลับรถ
ในเมื่อรถของเซียวเฟิงไม่ได้อยู่ในจุดที่เกิดอุบัติเหตุ การเลี้ยวกลับมันย่อมง่ายกว่าเพราะอีกเลนหนึ่งไม่มีรถหลุดออกมาได้เลย
สาว ๆ ที่นั่งอยู่หลังรถต่างก็รู้สึกผิดหวังกันไปตาม ๆ กัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเธอเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าดื้อดึงไปก็ไม่ได้อะไร ยังไงเสียก่อนจะออกจากคฤหาสน์มาพวกเธอก็วางแผนกันไว้แล้วว่าเลือกที่ใกล้ ๆ เอาไว้ อย่างน้อยถ้ามีปัญหาอะไรจะได้กลับได้สะดวก ๆ
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว รถมินิบัสก็ตีกลับเข้าอีกเลน ซึ่งระหว่างทางกลับนี้ พวกเขาก็ไม่เจอปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากรถในเลนนั้นยังถูกรถคันสีขาวขวางทางอยู่ ไม่ว่าจะแยกไหนก็ราบรื่นจนกระทั่งถึงคฤหาสน์
การเอาเวลาไปทิ้งอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ทานข้าวกลางวันกันแม้ว่าสาว ๆ จะมีทานขนมกันเรื่อยเปื่อยขณะเดินทาง แต่พวกเธอก็อัดอั้นไปด้วยอารมณ์ต่าง ๆ กันอย่างเห็นได้ชัด แม้เซียวเฟิงจะไม่ถาม เขาก็มองออกได้ง่าย ๆ ว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ ถึงเขาจะมองไว้อยู่แล้วว่าช่วงนี้ไม่เหมาะกับการไปเที่ยวก็ตาม
กว่าจะกลับกันมาถึงคฤหาสน์ นาฬิกาก็บอกเวลาช่วงหลังเที่ยงเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเธอไม่สามารถออกไปเที่ยวไหนได้อีกด้วยเวลาที่เหลืออยู่ครึ่งวันบ่าย ผนวกกับความเหนื่อยล้าสะสมจากการนั่งรถด้วย ดังนั้นเมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ได้แล้ว สาว ๆ ก็แยกย้ายกันไปนอนเหมือนศพตามมุมต่าง ๆ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ปลีกตัวเข้าห้องครัวไป
เซียวเฟิงเองก็เข้าไปในครัวด้วยเช่นกัน เขาเป็นห่วงคนที่ต้องไปทำอะไรมาให้คนหลายคนทานด้วยตัวคนเดียว อนึ่งเขาอยากจะชดเชยที่ไม่สามารถพาพวกเธอออกไปเที่ยวเล่นได้ด้วยในวันนี้ และที่สำคัญ พวกเธอล้วนแต่ก็คิดถึงฝีมือการทำอาหารของเซียวเฟิงกันทั้งสิ้น
คราวเมื่อถึงเวลาอาหาร กลุ่มของสาว ๆ ที่นอนหมดสภาพก็ยิ่งดูหมดหวังกันมากยิ่งขึ้น พวกเธอดูหมดกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ หลังคิดทบทวนแล้วว่าวันนี้พวกตนคงไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นแน่ ๆ ทว่าความทุกข์เศร้าเหล่านั้นก็พลันมลายหายไปทันทีหลังได้ทานอาหารฝีมือเซียวเฟิงที่สุดแสนจะอร่อยเกินต้าน ทานตอนยังไม่หิวก็ว่าอร่อยแล้ว ยิ่งตอนนี้ ตอนที่พวกเธอล้วนหิวโหย อาหารที่มีรสชาติลึกล้ำของเซียวเฟิงก็ถูกประสาทรับรสที่ตื่นขึ้นเต็มที่ดูดซึมเอารสชาติออกมาได้จนหมด หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ตั้งโต๊ะเล่นไพ่กันไปตลอดช่วงครึ่งวันบ่ายแทน
เซียวเฟิงนั่งเล่นไพ่กับพวกเธอยิงยาวไปกระทั่งถึงช่วงเย็น ขณะที่ความสนุกกำลังครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่นนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามาหาเขาซึ่งพอได้ฟังเสียงจากปลายสายแล้ว แววตาของเซียวเฟิงก็ดูจะเคร่งขรึมขึ้นมา
“ว่ายังไงนะ? เกมเปิดแล้วเหรอ? อาณาจักรแห่งทวยเทพเข้าสู่เฟส 2 แล้ว? บังคับโอนย้าย?”
เพียงแค่ประโยคแรก มันก็ทำให้สาว ๆ ทุกคนในคฤหาสน์นั่งกันไม่ติดเก้าอี้แล้ว เกมเปิดแล้ว? ถ้าเป็นจริงมันจะมีใครมาทนนั่งเล่นไพ่กันได้เล่า!
“เกมเปิดแล้วจริง ๆ เหรอ? แสดงว่า โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนั่นก็สมบูรณ์แล้วล่ะสิ?” ซือเยี่ยจิ๋งถามขึ้นด้วยความสงสัย
“บางทีอาจจะเพราะเกมโดนกดดันจากรัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศก็ได้ ยังไงซะตอนนี้ธุรกิจส่วนใหญ่ของผู้เล่นหลาย ๆ คนก็อยู่ในเกมกันหมดแล้ว ดังนั้นถ้าเกมยังปิดต่อไปแบบนี้ พวกเขาจะได้รับผลกระทบหนักในไม่ช้าแน่ ๆ”
หลิวเฉียงเหว่ยพูดตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอพี่เซียว?” สาว ๆ ทั้งหลายรวมถึงเซียวหลิงด้วย หลังจากที่ได้ยินว่าเกมเปิดแล้ว พวกเธอก็วางมือจากไพ่กันด้วยความตื่นเต้นทันที แต่เมื่อพบว่าเซียวเฟิงที่กำลังคุยโทรศัพท์นั้นแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา เฉียนโตวโตวก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจทันที
“เกมยังไม่เปิดโดยสมบูรณ์ มีแค่บางคนเท่านั้นที่เข้าเกมได้ เธอดูเอาจากฟอรั่มทางการก็ได้” เซียวเฟิงวางสายด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นไม่คลาย
“เปิดแค่บางส่วนเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ เริ่มสับสนขึ้นมา จากนั้นพวกเธอก็หาเครื่องมือของตนเพื่อจะเข้าไปเช็กในฟอรั่ม ส่วนเซียวเฟิงก็รีบปลีกตัวเข้าห้องเพื่อไปอ่านฟอรั่มผ่านหมวกเล่นเกมของตนแทน
[ประกาศ : เฟสแรกของโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพเสร็จสิ้น ตอนนี้โครงการได้เข้าสู่เฟสที่สองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รายละเอียดการอัปเดตมีดังต่อไปนี้ :]
[1. ทางเลือก ‘โอนย้าย’ ยังคงมีอยู่ และเดอะมิธ ก็ยังคงสนับสนุนให้ผู้เล่นทุกเซิร์ฟเวอร์เข้าร่วมกับโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพเช่นเดิมเพื่อรับของรางวัลสุดพิเศษ!]
[2. ค่อย ๆ เปิดให้ส่วนเข้าเกมสำหรับผู้เล่นบางคน ระบบจะอนุญาตให้ผู้เล่นที่ผ่านการทดสอบแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเข้าล็อกอินเกมได้!]
[3. โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพ จะเริ่มบังคับให้ผู้เล่นที่มีสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้จมดิ่งจากโลกแห่งความจริงให้โอนย้ายเข้ามาภายโครงการหลังจากพิจารณาแล้วว่าผู้เล่นมีสภาวะดังกล่าวจริง ๆ]
มีเพียงเนื้อหาสามอย่างเท่านั้นที่ถูกระบุไว้ แต่แค่นี้ก็มากพอจะทำให้เซียวเฟิงขมวดคิ้วอย่างหนักแล้ว ความก้าวหน้าของโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนั้นมันซับซ้อนมากขึ้นจนเซียวเฟิงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ในขณะเดียวกัน ความไม่เข้าใจเหล่านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง เซียวเฟิงก็ตัดสินใจสลับไปที่หน้าล็อกอินเกม นี่เองก็เป็นเหตุผลที่เซียวเฟิงรีบกลับเข้ามาที่ห้องของตนและเข้าฟอรั่มเกมผ่านหมวกเล่นเกมนี้ นั่นเพราะเขาเองก็อยากจะกลับมาเล่นเกมเหมือนกัน
ที่หน้าล็อกอินนั้น ปุ่มโอนย้ายยังมีอยู่อย่างที่ประกาศได้กล่าวไว้ ส่วนปุ่มล็อกอินเข้าเกมก็ยังเป็นสีเทาและไม่สามารถเลือกได้ดังเดิม จะมีแปลกตานิดหน่อยก็คือ ปุ่มทดสอบคุณสมบัติ ที่อยู่ถัดไป
ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว เซียวเฟิงเลือกกดปุ่มทดสอบคุณสมบัติไปอย่างไม่ลัง
[ยินดีต้อนรับสู่การทดสอบคุณสมบัติ!]
ภาพตรงหน้าเซียวเฟิงเปลี่ยนไป มันกลับกลายเป็นภาพโถงเหมือนเมื่อตอนครั้งแรกที่เขาเข้ามาในเกมมิธ ช่วงที่อยู่ในขั้นตอนสร้างตัวละคร และบริเวณรอบ ๆ นี้ก็มีรูปปั้นหลายตัวที่มีต้นแบบเป็นเซียวเฟิงด้วย
“พี่ชาย พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคะ ฮี่ ๆ” ระหว่างนั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลังเซียวเฟิง ซึ่งเซียวเฟิงก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง
เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ได้พบเธอ อายุของเด็กสาวจะอยู่ที่ประมาณสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น เธอสวมชุดหลวม ๆ ที่มีรูขาดเต็มไปหมดและถือตุ๊กตาหมีขาด ๆ ไว้ในมือข้างหนึ่ง
เธอคือ…โนอาห์!
“เธอคือคนที่จัดการทดสอบคุณสมบัตินี่ขึ้นมาเหรอ?” เซียวเฟิงรู้สึกได้ว่าการพบเจอโนอาห์ของตัวเองแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะงั้นครั้งนี้เขาจึงหันไปถามเธอทันทีด้วยความใจเย็น