Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 605 ความทรงจำที่ตื่นขึ้นมา
บทที่ 605 ความทรงจำที่ตื่นขึ้นมา
บทที่ 605 ความทรงจำที่ตื่นขึ้นมา
ภาพความทรงจำที่สี่เป็นภาพของห้องสอบสวน นายตำรวจสองคนกำลังสอบสวนเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะไปทำอะไรบางอย่างมา
“เฟิงเฉิน! คุณเป็นไอดอลของผมเลย! ช่วยเซ็นให้ผมหลังจากสอบสวนเสร็จได้ไหม?”
ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งในสองคนมีสีหน้าตื่นเต้นไม่น้อยขณะเข้าไปกระซิบกับชายอ้วนภายในห้องสอบสวน
“จริงจังหน่อยสิ! นี่เป็นการสอบสวนนะ!” ตำรวจอาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นเดียวกับสีหน้า เขาหันกลับไปมองเด็กอ้วนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตรงหน้าด้วยความรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
“เซียวเฟิง พวกฉันสืบค้นเรื่องราวของแกมาแล้ว และไม่พบข้อมูลที่แสดงตัวตนของแกได้เลย รวมถึงทะเบียนบ้านก็ด้วย แกเป็นใครกันแน่?” หลังจากหายปวดหัว เขาก็ต้องสืบคดีต่อไป จึงถามคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมไม่มีปัญหากับกระบวนการทำงานของตำรวจหรอกนะ จะสืบสวนอะไรต่อก็ตามสบาย แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ทว่าชายอ้วนที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘เซียวเฟิง’ กลับปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เขาดูไม่ได้เคร่งเครียดหรือกดดันกับการสอบสวนครั้งนี้เลย ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติมาก
“แกนี่มัน!” ตำรวจสูงวัยขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนคำถามว่า “คืนวันก่อน มีผู้หญิงที่ชื่อสวีอิ๋งกับแฟนหนุ่มของเธอถูกฆ่าตายที่โรงแรม เมื่อพวกเราไปพบ ทั้งสองคนก็กลายเป็นศพแล้ว ซึ่งนี่เป็นการฆาตกรรมแน่นอน คดีนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับแกหรือเปล่า?”
มีอยู่สองสามเรื่องที่ทำให้ตำรวจอาวุโสคนนี้ปวดหัวขึ้นมาได้ ประเด็นสำคัญข้อหนึ่งก็คือ เซียวเฟิงนั้นมีตัวตนพิเศษและกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งขันระดับโลกในฐานะตัวแทนทีมชาติ การพาคนคนนี้มาที่นี่ก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว และยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรตามมาอีก
พวกเขาจำต้องแบกรับความกดดันมหาศาลเลยทีเดียว อีกหนึ่งเรื่องก็คือ เซียวเฟิงยังเป็นเยาวชน รวมไปถึงตัวตนของเด็กหนุ่มก็ยังเป็นความลับ ตำรวจสูงวัยไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้เลย แม้ว่าความสามารถของกรมตำรวจจะก้าวหน้ามากแล้ว แต่คนอย่างเซียวเฟิงก็ยังอุตส่าห์ปกปิดตัวตนของตนเองได้ เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าคนคนนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองขององค์กรมืดหรือมีตัวตนที่พิเศษมากชนิดที่ตำรวจไม่สามารถเข้าถึงได้หรือเปล่า?
ตลอดระยะเวลาการทำงานมาหลายปี เขายังไม่เคยเข้าถึงองค์กรมืดที่อยู่เบื้องหลังได้เลย ในขณะเดียวกัน หนุ่มอ้วนตรงหน้าเขาคนนี้ก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับองกรค์ดังกล่าวเลย
“คืนก่อนหน้าเหรอ… ผมซ้อมอยู่ที่แคมป์ตลอดทั้งคืนเลย เพราะงั้นไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าสวีอิ๋งตายเมื่อวานนี้” เซียวเฟิงตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง
“แต่ถ้ายึดตามรายงานการสอบสวนของพวกฉัน แกกำลังไล่ตามสวีอิ๋งอยู่นี่ เพราะงั้นแกน่ะ มีแรงจูงใจที่จะฆ่าสวีอิ๋งกับแฟนหนุ่มของเธออย่างแน่นอน!”
นายตำรวจอาวุโสคอยสังเกตท่าทีและสีหน้าของเซียวเฟิงอย่างระมัดระวัง พยายามหาจุดผิดปกติ แต่สีหน้าของเซียวเฟิงดูซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ทว่ากลับไม่ได้มีความกังวลหรือหวาดกลัวอย่างที่ฆาตกรคนอื่นเป็น มันดูคล้ายกับสูญเสียบางสิ่งบางอย่างซะมากกว่า
“นี่คุณตำรวจ คุณควรจะให้น้ำหนักกับหลักฐานแทนที่จะหวังพึ่งสัญชาตญาณของตัวเองนะ ถ้าไม่มีหลักฐานแล้วมาไล่ต้อนแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่ตำรวจก็ทำได้ไม่ใช่หรือไง? แล้วถ้าผมบอกว่า พวกคุณจงใจขัดขวางการฝึกของผมในฐานะตัวแทนทีมชาติเพื่อป้ายข้อหากบฏ มันก็ได้เหมือนกันล่ะสิ?”
ความรู้สึกราวกับสูญเสียนั้นอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนที่สีหน้าของเซียวเฟิงจะกลับมาสงบดังเดิม และเอ่ยถามนายตำรวจอาวุโสกลับไปโดยไร้ซึ่งความกลัว
“แก!” ผู้โดนตอกกลับกลายเป็นฝ่ายหน้าเสีย แต่เขาก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ หลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง นายตำรวจใหญ่ก็หันกลับไปพูดกับตำรวจหนุ่ม “ไปเอาเครื่องจับเท็จมา”
เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าการสอบสวนเซียวเฟิงนั้นต้องเป็นเรื่องยากแน่ ๆ เขาจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมสารภาพออกมาด้วยตนเอง ครั้นจะใช้กำลังขู่เข็ญ สถานะตัวตนที่ไม่แน่ชัดเจนของอีกฝ่ายก็ทำให้ตำรวจแต่ละนายอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันหมด
ด้วยเหตุนี้ การใช้เครื่องจับเท็จเพื่อหาหลักฐาน จึงเป็นทางออกสุดท้ายที่พวกเขาจะพึ่งได้แล้ว
“หรือว่า…เข้าใจแล้วครับ!” ตำรวจหนุ่มตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นและออกไปทันที ไม่ถึงสองนาทีเขาก็กลับมาพร้อมกับเครื่องจับเท็จที่ใช้กันภายในสถานีตำรวจแห่งนี้
“เซียวเฟิง ต่อจากนี้แกต้องตอบคำถามตามความจริงทุกอย่าง นั่นก็เพื่อตัวแกเองแล้วก็จะได้กลับไปซ้อมตามที่แกต้องการเหมือนเดิม”
นายตำรวจใหญ่เปิดเครื่องจับเท็จแล้วพูดกับเซียวเฟิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่มีปัญหา” เซียวเฟิงตอบอย่างรวดเร็วและฉะฉานในคราวนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาอยากจะกลับเต็มแก่แล้ว
“แกอยู่ที่ไหนทั้งวันเมื่อวาน? แล้วทำอะไรบ้าง?” เขาเริ่มถาม ขณะเดียวกันก็สั่งให้ตำรวจหนุ่มคอยดูเครื่องจับเท็จและบันทึกผลไปด้วย
“ผมอยู่ที่แคมป์ตลอดทั้งวันและไม่ได้ออกไปไหนเลย ยกเว้นแต่ออกไปหาอะไรกิน ส่วนเวลาที่เหลือก็ทุ่มไปกับการซ้อมกีฬา” ทันทีที่สิ้นสุดคำถาม เซียวเฟิงก็ตอบอย่างใจเย็นราวกับไม่ต้องคิดอะไรเลย
“ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ?” ตำรวจอาวุโสมองไปยังเครื่องจับเท็จที่ไม่มีคลื่นความผิดปกติก่อนจะถามอีกครั้ง
“ลุกไปเข้าห้องน้ำนี่นับไหม?” เซียวเฟิงถามกลับ
“แล้ววันอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นล่ะ?” แม้จะโดนยอกย้อน แต่นายตำรวจอาวุโสก็ยังไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเซียวเฟิง เขาเลือกที่จะถามต่อเพื่อไล่หาความจริง
“เหมือนกับเมื่อวานแค่เปลี่ยนวันที่” เซียวเฟิงตอบทันที
นายตำรวจหันมองเครื่องจับเท็จอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเดิม เขาเตรียมจะถามคำถามต่อไป ทว่าเซียวเฟิงกลับเป็นฝ่ายชิงพูดคำตอบก่อนจะได้ยินคำถามเสียอีก
“เป็นแบบนี้มาครึ่งเดือนแล้ว เพราะผมต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเข้าชิงแชมป์โลก ผมจึงต้องฝึกฝนอยู่ที่แคมป์ไม่ได้ไปไหนเลยทุกวัน”
เครื่องจับเท็จยังคงไม่พบความผิดปกติของเซียวเฟิงเช่นเดิม และด้วยผลลัพธ์นี้เอง มันก็ทำให้นายตำรวจอาวุโสถึงกับขมวดคิ้ว จากผลรายงานฝ่ายนิติเวชก็ยืนยันแล้วว่าเวลาการตายของสวีอิ๋งกับแฟนหนุ่มคือไม่เกินสองวันนี้ ดังนั้นแล้วถ้าอีกฝ่ายบอกว่าตลอดครึ่งเดือนไม่ได้ไปไหนเลย พวกเขาก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ
มีเพียงตำรวจหนุ่มเท่านั้นที่ดูจะมีความสุขกับการได้ชื่นชมไอดอลคนเก่งของตน ยิ่งได้รู้ว่าเทพเจ้าแห่งสายลมในโลกแห่งเกมนั้นเฝ้าฝึกฝนทุกวี่ทุกวันเช่นนี้ เขาก็ยิ่งประทับใจมากขึ้นไปอีก
…
ภาพความทรงจำที่ห้า เป็นภาพภายในห้องส่วนตัว เซียวเฟิงยังคงสวมชุดเดียวกับตอนที่อยู่ในห้องสืบสวน ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากสถานีตำรวจไม่นานนัก คิ้วบนใบหน้าอ้วน ๆ ของเขาขมวดเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“สวีอิ๋ง…”
หลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่ เซียวเฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ของเขา ล้วงหาของอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้สมุดเล่มเก่าเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักที่มืดสนิทนั้น จากนั้นเขากลับไปนั่งที่เก้าอี้และมองสมุดในมือก่อนที่จะเปิดมันออกช้า ๆ
สมุดเล่มนี้เลอะเทอะและเก่าเก็บ อายุของมันมากเสียจนกระดาษแต่ละแผ่นกลายเป็นสีเหลืองและแข็งกรอบหมดแล้ว แต่แม้สภาพจะเละเทะขนาดไหน แต่ผู้เป็นเจ้าของดูจะยังไม่อยากทิ้งแม้จะผ่านมานานแล้ว แม้ว่าสมุดที่เก่าคร่ำคร่าเล่มนี้จะไม่ได้หนานัก แต่กลับมีลายมือเขียนอยู่เกือบหมดทั้งเล่ม
และนี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมัน! เพราะหากอ่านสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ดี ๆ แล้ว บางทีอาจจะทำให้คุณต้องเสียวสันหลังวาบเลยก็ได้!
เพราะทุกหน้ากระดาษถูกบันทึกข้อมูลการฆาตกรรมเอาไว้! ซึ่งมีตั้งแต่แรงจูงใจ วิธีที่ใช้ก่อเหตุ วิธีการทำลายหลักฐาน รวมไปถึงวิธีหลบเลี่ยงการต้องเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย!
รายละเอียดเหล่านี้มีครบครันจนสามารถนำไปปฏิบัติตามได้เลย!
สิ่งนี้น่ะไม่ต่างอะไรกับหลักสูตรการเป็นฆาตกรฉบับเร่งรัดเลยด้วยซ้ำ!
แววตาของเซียวเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับกระดาษหน้าก่อน ๆ ที่หนาเตอะแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะไปหยุดอยู่ที่หน้าสุดท้าย ซึ่งดูจะเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความสดใหม่นี้ อาจจะเพิ่งเขียนเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยซ้ำ! และเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ก็คือ การตายของสวีอิ๋ง!
“หักหลังฉัน…นังสารเลว…คืนนี้ที่โรงแรมซูหยางกับไอ้พวกอันธพาลชั้นเลวนั่น…จับตามองจุดตาย…ฆ่า…ป้องกันตนเองจากเครื่องจับเท็จ…ลบความทรงจำ…”
เซียวเฟิงพึมพำกับตนเองเบา ๆ ก่อนจะปิดสมุดลงด้วยสายตาหนักอึ้ง
“ดูเหมือนว่าฉันจะฆ่ายัยนั่นไปแล้วจริง ๆ สินะ… แต่คนแบบนั้นก็สมควรตายแล้ว อ๊ะ…จริงสิ คราวนี้ฉันดันมาเจอความทรงจำในสมุดเล่มนี้ซะได้ ถ้าจะกำจัดหลักฐานทั้งหมด สมุดเล่มนี้ก็คงจะเก็บไว้ไม่ได้ด้วย…”
เขากระซิบกับตนเอง “น่าเสียดายที่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็จะไม่สามารถจำเรื่องต่าง ๆ ได้แท้ ๆ”
พูดจบ เซียวเฟิงก็หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดและเผาสมุดเล่มเก่าที่อยู่ในมือของตน เหม่อมองเปลวไฟที่ลุกโชนบนมือโดยไม่ไหวติง ขนาดที่ว่าต่อให้ไฟลุกท่วมมือ เขาก็ไม่รู้สึกอะไร เยือกเย็นดุจอสุรกายเย็นชา
ก่อนที่สมุดเล่มนั้นจะถูกเผาไหม้จนหมด เซียวเฟิงก็หลับตาลงช้า ๆ ไม่นานนักก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ความเยือกเย็นภายในแววตาของเขาได้หายไปแล้ว และเมื่อมองไปยังเศษขี้เถ้าบนพื้น ใบหน้าของเขาก็แสดงความงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่มัน…หนังสือเล่มนั้นเหรอ? ฉันจะกลับมาทำลายมัน…ตอนนี้มันถูกทำลายแล้ว…น่าจะใช่ น่าเสียดายที่จำอะไรไม่ได้เลยแฮะ”
เซียวเฟิงลุกขึ้นอีกครั้งและทำความสะอาดพื้น ใช่แล้ว…ช่วงที่หลับตาลงเมื่อครู่นี้ ความทรงจำก่อนหน้าของเขาก็ได้ถูกลบไปเป็นที่เรียบร้อย
วิธีนี้เหมือนการสะกดจิตตนเอง เนื่องจากเซียวเฟิงมีพลังจิตระดับสูงมาตั้งแต่เกิด แม้จะไม่ได้รับการฝึกใช้มันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่เด็กหนุ่มก็สามารถลองผิดลองถูกได้
ภาพควาทรงจำที่ 6…
ภาพความทรงจำที่ 7…
ภาพความทรงจำที่ 8…
…
ณ เวลานี้ โลกแห่งจิตวิญญาณที่เคยว่างเปล่าได้ถูกเติมเต็มด้วยชิ้นส่วนความทรงจำต่าง ๆ มากมายและเริ่มมีสีสันขึ้นมาแล้ว
ภาพเหล่านั้นไล่เรียงจากอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก่อนจะดับวูบไปเหมือนปิดโทรทัศน์ ซึ่งจังหวะนั้นเอง เซียวเฟิงที่หลับตาอยู่ก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี!
แสงสว่างที่เคยเปล่งออกมาจากดวงตาก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้ว จากนั้นเขาก็มองไปยังโลกรอบ ๆ ตัวที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโลกจิตวิญญาณ ทว่ามันได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนเป็นโถงที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสถานที่แรกเมื่อเข้ามาสู่โลกของเดอะมิธ มันคือหน้าสร้างตัวละคร และบริเวณโดยรอบที่ประดับด้วยรูปปั้นของเซียวเฟิงนั้น ทำให้เขาตระหนักได้ว่า มันคือด่านแรกของอาณาจักรแห่งทวยเทพในระยะที่สองของโครงการ โถงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฟ้นหาผู้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เข้าสู่เกมอีกครั้ง
“พี่ชาย ในที่สุดพี่ก็ฟื้นแล้ว!”
เสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงดังขึ้นด้วยความดีอกดีใจจากตรงหน้าของเซียวเฟิง เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กผู้หญิงอายุราว ๆ สิบขวบในชุดที่เก่าและเต็มไปด้วยรูขาดมากมาย เธอถือตุ๊กตาหมีที่สกปรกอยู่อย่างแนบแน่น สายตากำลังมองเขาด้วยแววตาคาดหวัง
“ตื่นแล้ว… นี่เธอ….คือเด็กผู้หญิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนคนนั้นเองเหรอ?” เซียวเฟิงพยักหน้า ตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองฮุ่ยกวง เด็กผู้หญิงที่ถูกเขาช่วยมาจากกองขยะและจบชีวิตลงเพราะถูกบีบคอที่ริมแม่น้ำ ก็คือเธอคนนี้ ชานัว!
“พี่ชาย…จำฉันได้แล้ว พี่จำวันแรกที่พวกเราพบกันได้แล้ว!” ชานัวแสดงความดีใจผ่านสีหน้า จากนั้นก็วิ่งเข้ามาหาเซียวเฟิงและจับมือเขาไว้ ทว่าดวงตาของเธอในตอนนี้กลับมีหยาดน้ำใส ๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็น “ขอบคุณจริง ๆ พี่ชาย! ขอบคุณพี่จริง ๆ! ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่ก็ยังรับรู้ได้ ฉันรู้ว่าพี่ต้องการจะช่วยฉัน ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!”
เด็กสาวกอดเซียวเฟิงไว้อย่างอ่อนโยน ร่างบางของเธอดูเหมือนจะกำลังสั่นเล็กน้อย
“เธอไม่ควรจะมาขอบคุณฉันนะรู้ไหม? ฉันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะไม่มีความสามารถมากพอ แต่กลับเป็นฝ่ายฆ่าเธอด้วยมือตัวเอง…”
เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังลูบหัวและหลังของชานัวอย่างแผ่วเบาเสียแล้ว
“ไม่เลย ตอนนั้นฉันน่ะถูกทรมานจนเจ็บไปทั้งร่างแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันโหยหาคือการหลุดพ้นจากความทรมาน และมันก็เป็นพี่ชายที่มาช่วยเติมเต็มความปรารถนาของฉัน!”
ชานัวแย้ง เธอคว้ามือของเซียวเฟิงที่กำลังลูบตนไว้และจับมันไว้แน่น ๆ!