Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 606 พบเจอแบทเทิลแองเจลอีกครั้ง
บทที่ 606 พบเจอแบทเทิลแองเจลอีกครั้ง
บทที่ 606 พบเจอแบทเทิลแองเจลอีกครั้ง
“พลังวิญญาณของพี่สูญหายไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ไม่ว่าจะถูกทำลายหรือเสียชีวิตลง ทำให้พี่ชายตกอยู่ในภาวะเจ้าชายนิทรา และฉันก็กังวลเกี่ยวกับอาการของพี่ชายมาตลอดเลย”
ชานัวปล่อยตัวเซียวเฟิงและเช็ดตาของตนด้วยแขนเสื้อที่มีรูพรุนก่อนจะพูดกับเขาว่า “แต่ตอนนี้ฉันดีใจมาก! ในที่สุดพี่ชายก็ฟื้นแล้ว!”
“ฉันก็ควรจะขอบคุณเธอด้วยเหมือนกัน ที่ช่วยใส่ข้อมูลความทรงจำของฉันลงไปในห้วงสำนึกและปลุกฉันตื่นขึ้นมา”
เซียวเฟิงพูดพลางนึกถึงร่างของจางจิ่วจิ่วที่อยู่ในห้วงความคิดพร้อมกับหรี่ตาลง
“แหะ ๆ ฉันบอกพี่ชายแล้วไงว่าวิญญาณคือหน่วยความจำในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้วิญญาณยอมเผยความทรงจำออกมาก็คือความทรงจำอันน้อยนิดที่พี่ชายซ่อนไว้ต่างหาก ต้องขอบคุณความทรงจำเหล่านั้น จึงทำให้ฉันสามารถเปิดโลกแห่งจิตวิญญาณของพี่ชาย และสามารถปลุกพี่ขึ้นมาได้โดยรวบรวมความทรงจำที่กระจัดกระจายอยู่เข้าด้วยกัน” ชานัวพูดพร้อมยืดอกด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ถ้าแบบนั้นแสดงว่าเซียวหลิงเองก็สามารถคืนชีพได้สินะ” เซียวเฟิงกำหมัดแน่น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเหล่าความทรงจำที่เขาลบไปด้วยตนเองเหล่านั้นจะกลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยเขาในภายหลังแบบนี้
“น้องหลิงสามารถฟื้นคืนชีพได้ก็จริง แต่สถานการณ์ของเธอกับพี่ชายค่อนข้างต่างกันมากอยู่ ร่างกายของพี่ยังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ว่าจิตวิญญาณแตกสลายไปเฉย ๆ ในขณะที่ร่างกายของน้องหลิงนั้นถือว่าตายไปแล้ว ต่อให้จะสามารถรวบรวมความทรงจำและฟื้นจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ได้ ความทรงจำของเธอก็อาจจะยังไม่สมบูรณ์” ชานัวอธิบาย
“ไม่เป็นไร…ตราบใดที่เซียวหลิงสามารถกลับมามีชีวิตได้ละก็!” เซียวเฟิงยังคงกำหมัดแน่น
“ไม่ต้องกังวลไปพี่ชาย พวกเราจะต้องทำให้น้องหลิงฟื้นขึ้นมาได้แน่นอน” เด็กสาวปลอบประโลม
“เธอเคยพูดไว้ว่าถ้าฉันช่วยยึดคำสั่งอนุญาตบางส่วนในเกมกลับคืนมาได้ เซียวหลิงก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้งได้สินะ?”
เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา ในตอนนี้เขาจำเรื่องของชานัวได้แล้ว ความระแวงระวังจึงลดลง “ฉันต้องทำยังไงบ้าง?”
“นั่นก็ใช่ แต่ตอนนี้พี่ชายยังเข้าไปในเกมไม่ได้ ดังนั้นฉันต้องหาทางให้พี่ผ่านการทดสอบก่อน พี่คงไม่อยากจะเข้าไปในเกมในฐานะผู้เล่นใหม่หรอกใช่ไหม?” เธอพยักหน้า
เซียวเฟิงก้มลงมองร่างกายอ้วนท้วมของตนเองที่มีน้ำหนักกว่าสองร้อยกิโลกรัม เขาไม่มีทางเข้าไปในเกมด้วยสภาพร่างกายแบบนี้แน่ เพราะพอเข้าไปแล้ว เขาจะกลายเป็นผู้เล่นใหม่ที่มีระดับเลเวลสูงกว่าเลขสิบเพียงนิดเดียวเท่านั้น!
“พี่ชาย ใครบางคนกำลังเรียกให้พี่ออฟไลน์จริง ๆ ฉันยังต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย ถ้ายังไงไว้เราค่อยคุยกันอีกทีนะ!”
ชานัวพูดเหมือนเสียไม่ได้ และในขณะเดียวกัน เซี่ยวเฟิงก็ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นด้วย
“เข้าใจแล้ว”
เขาพยักหน้าและออกจากเกมไป
เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตนเองอยู่ในร้านอาหารเช้า โต๊ะไม้สองตัวถูกนำมาวางเรียงต่อกันให้เป็นเตียงง่าย ๆ อยู่ใต้ร่าง ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เซียวเฟิงเห็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออนไลน์เกม
“เจ้าอ้วน ตื่นเร็ว! ลุกขึ้นมาได้แล้ว! คืนนี้พี่โกวซานต้องทำอาหารเลี้ยงแขก! มันต้องมีไวน์กับเนื้อด้วย!”
ทันทีที่เซียวเฟิงถอดหมวกเล่นเกมออก เขาก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูรีบร้อนของถิงถิงดังขึ้นมา จากนั้นก็เห็นโกวซานกับเฉียงจื่อผู้นอนอยู่คนละฝั่ง ขณะที่ถิงถิงกำลังทยอยปลุกทีละคนด้วยความกระตือรือร้น
เซียวเฟิงหันมองออกไปนอกหน้าต่างร้านอาหารเช้า ซึ่งกลายเป็นเวลาค่ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเวลาในเกมนั้นผ่านไปเท่าไหร่แล้ว เหมือนกับว่าเขาเข้าไปทำสงครามระหว่างกิลด์เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวันคืนด้านนอกจะผ่านไปแล้ว
ไม่นานนัก โกวซานกับเฉียงจื่อก็ออฟไลน์ตามกันไป พวกเขาบิดขี้เกียจช้า ๆ และถอดหมวกเล่นเกมออก
“พี่โกว! วันนี้สุดยอดไปเลยนะ! มีผู้เล่นตั้งหลายคนที่เข้ามาโจมตีพวกเรา มากันเยอะจนไม่เห็นอีกฝั่งเลย แต่ท้ายสุดพวกเราก็เป่ามันกระจุยด้วยระเบิดยักษ์นั่นได้! ตื่นเต้นชะมัด! โลกของเกมนี่สนุกจังเลยน้า!”
ถิงถิงพูดกับโกวซานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เธอทำความสะอาดโต๊ะและม้านั่งไปด้วย
“โชคดีที่พวกเราปลอดภัยดีล่ะนะ ไม่งั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องจะจบแบบไหน เพราะโลกของเกมไม่ต่างกับโลกแห่งการเอาชีวิตรอดใบที่สอง ทั้งยังมีหลายสิ่งล่อตาล่อใจ ถ้าหลงระเริงไปกับมันมากเข้าเธอจะถอนตัวไม่ได้เอานะ”
โกวซานยังคงแสดงความหวาดกลัวเล็กน้อยบนใบหน้า ไม่นานนักเขาก็คลี่ยิ้มออกมา
“พี่โกว พวกเราจะคอยติดตามพี่จากนี้เป็นต้นไป! พี่แข็งแกร่งมาก ๆ เลย เพราะงั้นพี่ต้องดูแลพวกเราในอนาคตด้วยนะ!”
ถิงถิงจ้องมองโกวซานด้วยแววตาเป็นประกาย จนถึงตอนนี้ ความตื่นเต้นของเธอก็ยังไม่ได้ลดลงเลย
“เจ้าอ้วน! แกหายไปไหนมาจนถึงตอนนี้น่ะ? พวกเราตามหาแกจนทั่วก็ไม่เห็นเจอเลย! ฉันอุตส่าห์โทรหาแล้วแกก็ไม่รับสายอีก!”
เฉียงจื่อหันมองถิงถิงที่กำลังตื่นเต้น เขาดูจะไม่ค่อยมีความสุขกับท่าทีของเธอเสียเท่าไหร่ จึงตะโกนออกมาเพื่อระบายอารมณ์
เซียวเฟิงหันกลับไปมองตามเสียง ทว่าไม่ได้พูดอะไร จึงทำให้คนอื่นก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันเดาว่าเขาก็คงไม่รู้เหมือนกันแหละว่าตัวเองไปโผล่ที่ไหน ไว้รอออนไลน์ใหม่อีกรอบแล้วเราค่อยไปเจอกันที่เมืองนะ ต่อว่าเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เผลอ ๆ ถามกลับไป พอได้คำตอบเดี๋ยวก็มีคำถามใหม่เกิดขึ้นมาอีก”
พวกเขาดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องที่เซียวเฟิงหายตัวไปทันที โกวซานเพียงพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปเปิดประตูร้านแล้วเดินออกไป
“ถิงถิง เธอต้องทำอาหารสองจานนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อไวน์กับสตูว์เนื้อจากในเมืองมาให้ หลังกินอาหารเสร็จแล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้ต่อ”
“ได้เลยพี่โกว! เดี๋ยวฉันจะทำเดี๋ยวนี้เลย!” ถิงถิงที่ยังตื่นเต้นรีบเดินกลับไปในครัวทันทีหลังจากได้ยินเช่นนั้น
“ซื้อมาเยอะ ๆ เลย แล้วก็ซื้อบุหรี่มาด้วย ให้ตายเถอะ นี่นายเล่นเกมโดยไม่บอกพวกเรามานานขนาดไหนแล้วน่ะ แถมยังเก่งขนาดนั้นอีก ดูท่าคงจะได้เงินจากการเล่นเกมมาเยอะแล้วล่ะสิ—เฮ้ ๆ ช้าลงหน่อย ถิงถิง! รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวไปช่วย!”
เฉียงจื่อตะโกนด้วยน้ำเสียงเศร้ามองนิดหน่อย เขาดูไม่ค่อยพอใจนัก
“เข้าใจแล้ว แต่ฉันไม่ได้มีเงินมากอย่างที่นายพูดหรอกนะ” โกวซานไม่ได้ปฏิเสธอะไร และทำเพียงพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
เซียวเฟิงมองทั้งสองคนเข้าไปในครัว เขาไม่ได้จ้องอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปจากร้านเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามโกวซานไปด้วย แต่เลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังบ่อขยะแทน และเมื่อมาถึง ชายหนุ่มรูปร่างอ้วนก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย เขายืนมองภาพเบื้องหน้าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังคูน้ำที่อยู่นอกเมืองต่อในทันที
“เกือบจะสิบปีแล้วสินะ”
ในที่สุด เซียวเฟิงก็มาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นโลคัสต์เก่าแก่ที่อยู่ข้าง ๆ คูน้ำ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาฝังร่างของชานัวเอาไว้
อ้างอิงจากความทรงจำที่ฟื้นคืนมา ร่างของชานัวถูกพบหลังจากที่เขาฝังเธอไปได้สองวันและถูกนำออกไปแล้ว
“จะมีโอกาสที่เธอจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่านะ?”
ชายหนุ่มถามตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา ถึงแม้ว่าจะฟื้นความทรงจำก่อนหน้าได้แล้ว ความทรงจำบางส่วนของเขาก็ถูกจางจิ่วจิ่วทำลายไป จึงทำให้เซียวเฟิง ณ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเท่าไหร่
เมื่อครั้งที่วิญญาณของเขาแตกสลายไป เขากำลังเดินทางไปต่างประเทศ ไม่รู้เลยว่าจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว และไม่ทราบว่าเขามายังเมืองฮุ่ยกวงได้อย่างไร
“แคว่ก!”
ขณะที่เซียวเฟิงกำลังพยายามทบทวนความทรงจำอยู่นั้น เสียงนกที่ฟังดูน่าเกลียดก็ดังขึ้นมาจากบนฟากฟ้า ควบคู่ไปด้วยเสียงกระพือปีก
เงาของนกยักษ์ร่างสีดำทมิฬค่อย ๆ บินต่ำลงมาหาชายหนุ่มโดยตรง
“เฮยจื่อ แกเป็นคนพาฉันมาที่นี่งั้นเหรอ?”
เซียวเฟิงเงยหน้ามองหลังจากได้ยินเสียง เขาโล่งใจก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย
เจ้าของเงานกยักษ์ตัวนี้คือ นกยักษ์สีดำทมิฬที่มีขนาดใหญ่กว่าสองเมตร และมันคือเฮยจื่อ!
“ก้า! ก้า! ก้า!”
เฮยจื่อร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ขณะกระโดดไปมาด้วยความดีใจราวกับกำลังยินดีกับการเกิดใหม่ของเซียวเฟิง
“เลิกร้องได้แล้วน่า เสียงของแกมันน่าเกลียดจริง ๆ นะ”
เซียวเฟิงดุอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบขนสีดำบนปีกขนาดใหญ่นั้นอย่างอ่อนโยน แล้วพูดด้วยแววตาเชิงขอบคุณ “ช่วงที่ผ่านมานี้ฉันคงทำให้แกเหนื่อยน่าดูเลยสินะ”
ภายใต้ความมืดมิดของราตรี ยากที่จะปกปิดความน่าเกรงขามของเฮยจื่อได้ ขนเปล่งประกายสีดำขลับและกรงเล็บอันแหลมคม ซึ่งคล้ายกับสีของเหล็กนิลถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ขนสีดำอันสกปรกทั่วร่างนั้น
ทันใดนั้น เฮยจื่อก็หยุดทันทีและรีบหันมองขึ้นไปท้องฟ้าด้วยความระมัดระวัง พร้อมกันนั้นเอง เสียงสายลมแผ่วเบาและแสงสว่างคล้ายดาวตกขนาดเล็กดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับดิ่งลงมายังจุดที่เซียวเฟิงเคยอยู่
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็เห็นร่างสีขาวขนาดใหญ่อยู่ภายใต้เงารัตติกาล ร่าง ๆ นั้นมีปีกสีขาวสะอาดคล้ายนก
ทันใดนั้น ม่านตาของชายหนุ่มก็หดตัวลงฉับพลัน เนื่องจากเงาร่างนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับเขา
“แบทเทิลแองเจล!”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเบา “ทำไมถึงได้มาที่นี่กันนะ!”
ร่างสีขาวที่เพิ่งโฉบตัวลงมาจากฟากฟ้าคือ แบทเทิลแองเจล ซึ่งเซียวเฟิงเคยพบที่ฐานใต้ดิน! ดวงตาของเซียวเฟิงสั่นระริก คนที่เขาเคยพบในฐานใต้ดินได้ถูกสังหารไปแล้ว ทว่าเขาไม่คาดคิดว่าจะกลับมาพบอีกคนหนึ่งในเมืองที่ทรุดโทรมแห่งนี้อีกครั้ง!
หรือว่าคนตรงหน้าตั้งใจจะมาไล่ล่าและกำจัดเขา?
ทว่าการคาดการณ์ของเซียวเฟิงนั้นก็ดูจะผิดพลาดเล็กน้อย เพราะเป้าหมายของแบทเทิลแองเจลไม่ใช่เซียวเฟิง มันเพียงทะยานผ่านเขาไป และพุ่งไปสู่จุดสูงสุดโดยไม่ลดความเร็วลงเลย
“ตามไปดูกันเถอะ” เซียวเฟิงมองตามทางที่แบทเทิลแองเจลผ่านไป เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเฮยจื่อ
“ก้า!” นกยักษ์ตอบรับ ปีกขนาดใหญ่สยายออก กรงเล็บเหล็กของมันจับที่แขนเซียวเฟิงไว้และทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้ายามค่ำคืน นำพาชายหนุ่มไปยังทิศทางที่แบทเทิลแองเจลบินไป
สถานที่ปลายทางคือหมู่บานในหุบเขาเล็ก ๆ ภายในหุบเหวที่อยู่ไม่ไกลนักจากเมืองฮุ่ยกวง เซียวเฟิงที่ไล่ตามแบทเทิลแองเจลมาก็เห็นว่ามันกำลังค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นที่อยู่บนเทือกเขา
เขากับเฮยจื่อจึงร่อนลงไปบริเวณป่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนั้นนัก เพื่อสะกดรอยตามไป
ที่ตีนเขาแห่งนี้ มีไร่ขนาดใหญ่ซึ่งอุดมไปด้วยพืชไร่มากมาย ซึ่งน่าจะเป็นทางเข้าสู่หมู่บ้าน เซียวเฟิงเห็นแบทเทิลแองเจลยืนอยู่เบื้องหน้าประตูทางเข้าจากระยะไกล จากนั้นจึงย่องตามเข้าไปดู
หมู่บ้านดังกล่าวตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฮุ่ยกวง ดูเหมือนว่าหนทางที่จะเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้จะกำลังซ่อมแซมอยู่
มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างสกปรกและทอดยาวกว่าร้อยเมตร แม้เป็นทางมุ่งสู่หมู่บ้านก็จริง แต่มันกลับไม่ได้เชื่อมต่อกับตัวหมู่บ้านแต่อย่างใด ระหว่างทางที่จะเข้าหมู่บ้าน มีโรงเก็บผ้าตั้งขวางทางอยู่ และภายในก็มีตะเกียงน้ำมันถูกจุดให้ความสว่าง ราวกับมีคนอาศัยอยู่ที่นี่
“ตาแก่! ฉันนำอาหารมาให้!”
ตอนนั้น ใครคนหนึ่งเดินเข้าไปที่โรงผ้าดังกล่าวพร้อมไฟฉาย ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงที่ฟังชัดเจนจากไกล ๆ
สายตาของเซียวเฟิงหันมองทันที และเขาก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงชราที่เดินเข้ามายังโรงเก็บเศษผ้า พร้อมกับถ้วยกระเบื้องถ้วยโตที่ภายในบรรจุก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้นไว้
“โฮะ ยายแก่นี่! กว่าจะมาได้ก็เล่นซะมืดค่ำเลย! หิวจะตายอยู่แล้ว!” ม่านของโรงเก็บเศษผ้าถูกเลิกขึ้น พร้อมกับชายชราที่มีสีหน้าดุร้ายเดินออกมาพลางกล่าวต่อว่า
สายตาของเซียวเฟิงจับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ชายชราคนนี้ค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคือชายชราที่ขี่จักรยานสามล้อบนท้องถนนในเมืองเมื่อเช้านี้ และชนเข้ากับรถบัส จากนั้นก็ยืนด่าทอคนขับรถบัสอยู่พักใหญ่ ๆ
“ก็แกะของภรรยาคนที่สามของแกน่ะสิ มากินผักที่อยู่หลังบ้านพวกเราไปตั้งเยอะ! ฉันก็เลยยืนฉะกับนังนั่นตลอดช่วงบ่ายเลย! เพิ่งจะว่างมาทำอะไรให้แกกินเนี่ย!”
หญิงชราส่งถ้วยก๋วยเตี๋ยวให้ชายชรา น้ำเสียงของเธอดังก้องและแฝงความร้ายกาจไม่แพ้กัน
“ว่าไงนะ! นังเมียหนังหมานี่! แกะของนังนั่นมากินผักของฉันไปเยอะหรือเปล่า!?”
ชายชรารับชามก๋วยเตี๋ยวมาก่อนจะถามด้วยความโกรธ ความโกรธนี้ทำเอาเขาลืมความหิวไปทันที