Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 621 สถานการณ์ปัจจุบัน
บทที่ 621 สถานการณ์ปัจจุบัน
บทที่ 621 สถานการณ์ปัจจุบัน
เซียวเฟิงไม่ได้รีบจะทำภารกิจในการเปลี่ยนเป็นคลาส 4 ทันที แต่ตั้งใจจะรอให้ซื่อเยี่ยจิ้งคืนชุดเกราะมังกรปีศาจกับเกราะบาปแรกเริ่มมาเสียก่อน
นอกจากนี้เขายังได้ยินเสียงเรียกให้ออกจากเกมเพื่อไปทานมื้อเย็นพอดี เมื่อรู้ว่าการทำภารกิจต่อจากนี้จะยากขึ้น ชายหนุ่มจึงไม่ได้รีบร้อน และพาตัวละครไปยังโถงชั้นในของปราสาทเมืองแห่งความโศกเศร้า ก่อนจะออฟไลน์ไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาบนเตียงขนาดใหญ่ของห้องนอน เขาก็พบว่าเฉียนโตวโตวที่ยังไม่ออฟไลน์ มีเพียงหลิวเฉียงเหว่ยกับซื่อเยี่ยจิ้งเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาแล้ว ทว่าทั้งสองกลับไม่ได้ลุกออกจากเตียงและลงไปชั้นล่าง ยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีประหลาด มันทำให้เซียวเฟิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมาทีหลังอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
เพราะทั้งสองสาวนั้นนอนอยู่ขนาบซ้ายและขวาของเขาตามลำดับ การได้เห็นใบหน้าและท่าทางประหลาดของพวกเธอ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ซื่อเยี่ยจิ้งนั่งเอนตัวไปด้านหลังก่อนจะยกเรียวแขนขาวขึ้นราวกับยอมจำนน หญิงสาวสวมชุดแจ็กเกตตัวเล็ก เมื่อยกแขนขึ้นจนชายเสื้อเลิกตามมา จึงเผยให้เห็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า ทั้งเอวคอดบาง ขาวผ่องและนวลตา กอปรกับกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ชัดเจน หากชายใดได้เห็น พวกเขาก็คงจะกลืนน้ำลายและมือสั่นกันเป็นแถบแน่
ส่วนหลิวเฉียงเหว่ยนั้น ราวกับตกอยู่ในภวังค์ เธอหันหน้าไปทางซื่อเยี่ยจิ้ง ขณะซบอกของเซียวเฟิง ดวงตาอันงามงดกำลังจับจ้องไปยังเอวบางร่างน้อยของผู้ใต้บัญชาของตน ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จากนั้นเธอก็ยื่นนิ้วเรียวเสมือนชิ้นหยกสัมผัสกับหน้าท้องของซื่อเยี่ยจิ้ง ลูบไล้กล้ามเนื้อหน้าท้องลงมาจนกระทั่งถึงเรียวขางามเบื้องล่าง
“อุ–หวาาา! พี่เฉียงเหว่ย กำลังทำอะไรอยู่น่ะ? มันจั๊กจี้นะ…”
เสียงพูดของซื่อเยี่ยจิ้งสั่นเครือเช่นเดียวกับร่างกายที่กำลังสั่นเทา เธอถามด้วยความสงสัยและไม่อาจจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกับร่างกายของเธอกันแน่
หลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ทันใดนั้น เธอก็ก้มหัวลงและถกชายเสื้อของตนเองขึ้นเพื่อสำรวจหน้าท้องแบนราบที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดนอนตัวบางนั้น
เอวและหน้าท้องของเธองดงามเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอก็สมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับสวรรค์สรรค์สร้างขึ้นมา เพื่อเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของฮัวเซียโดยเฉพาะ เอวที่เพรียวบางและเรียบเนียนราวกับเนื้อหยกชั้นดี ในขณะเดียวกันก็นุ่มนวลราวกับเคลือบด้วยน้ำนม และด้วยความขาวสะอาดเป็นยองใยเช่นนี้ จึงรู้ได้ทันทีว่ารูปร่างเช่นนี้จะต้องถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความประณีตและใส่ใจยิ่ง จนไม่อาจหาข้อตำหนิได้เลยแม้แต่จุดเดียว
ทว่าเพราะความสมบูรณ์แบบเหนือจริงนี้ ผิดกับซื่อเยี่ยจิ้งที่ดูน่าลุ่มหลงด้วยลายกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแรง หลิวเฉียงเหว่ยจึงรู้สึกตาร้อนผ่าวยามที่ได้เห็นเรือนร่างของลูกพี่ลูกน้องของตนท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบที่ผ่านมานี้
สองพี่น้องไม่ทันตระหนักว่าหนุ่มข้างกายพวกตนล็อกเอาต์เกมแล้ว สายตาที่จับจ้องกันอยู่นั้นก็รีบเสมองออกไป หลิวเฉียงเหว่ยดึงชายเสื้อลงอย่างรีบร้อน กระชับให้มิดชิด และเตรียมจะลุกออกไป
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป” ทันใดนั้น เซียวเฟิงก็พูดขึ้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวทั้งสองด้วยแววตาแปลกพิกล
“มีอะไรหรือเปล่า?” ทั้งสองไม่ได้ขยับไปไหนหลังได้ยินเช่นนั้น เสียงอันเยือกเย็นของหลิวเฉียงเหว่ยที่เอ่ยถามชายหนุ่มนั้นแฝงความอ่อนโยนและอ่อนหวานในเวลาเดียวกัน
“พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่?” เซียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่มองเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อยู่ตรงหน้าและถามต่อด้วยความสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ ๆ พี่เฉียงเหว่ยก็ทำแบบนั้นเอง” ซื่อเยี่ยจิ้งตอบอย่างใสซื่อ เธอยังคงค้างอยู่ในท่ายกมือยอมแพ้โดยที่แขนนั้นยกสูงอยู่
“เปล่าสักหน่อย” หลิวเฉียงเหว่ยตอบอย่างเยือกเย็น
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ชายหนุ่มก็เหลือบมองใบหน้าสวยของหลิวเฉียงเหว่ย ขณะคิดถึงเรื่องที่เวยเยี่ยพูดขึ้นมาในหัว สตรีมเมอร์หน้าใหม่ อยู่ในอันดับหน้าใหม่ไฟแรง นัดเจอแล้วก็มอบความช่วยเหลือ?
ยิ่งคิดความประหลาดใจในแววตาของเซียวเฟิงก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“สรุปไม่มีอะไรใช่ไหม? พวกเราควรจะรีบลงไปได้แล้ว” ความกังวลใจปรากฏขึ้นในใจของหลิวเฉียงเหว่ยทีละนิด เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองตนและไม่พูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ ทว่ามือคู่นั้นกลับอดไม่ได้ที่จะจับชายเสื้อตนเองไว้แน่น
“พวกเธอจูบกันให้ฉันดูหน่อย” ทันใดนั้น คนตรงหน้าก็พูดขึ้นมา
“เอ๊ะ?” คราวนี้เป็นเสียงของซื่อเยี่ยจิ้งที่เหมือนคนโดนค้อนทุบหัวจนมึน เธอมองเซียวเฟิงด้วยแววตาอันว่างเปล่า
“ให้ฉันจูบจิ้งจิ้ง? ทำไมล่ะ?” ส่วนหลิวเฉียงเหว่ยนั้นขมวดคิ้วและถามกลับด้วยความงุนงง
“แล้วมันจะทำไมล่ะ? หรือว่าคำพูดของฉันไม่มีผลกับพวกเธอแล้ว?” ชายหนุ่มหรี่ตาลงพลางตีหน้าบึ้ง
“เจ้าบ้า! จะให้ฉันจูบกับพี่เฉียงเหว่ยได้ยังไง…อุ๊บ–!? ” ซื่อเยี่ยจิ้งที่ไม่คล้อยตามโวยวายและหมายจะเข้าโจมตีเซียวเฟิงในขณะนั้น ทว่าหลิวเฉียงเหว่ยกลับชิงจังหวะจับช้อนใบหน้าที่กำลังโวยวายของลูกพี่ลูกน้องคนสวยไว้ให้มั่น จากนั้นก็บดจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา
ซื่อเยี่ยจิ้งถึงกับหยุดชะงักไปพร้อมกับร่างกายที่เหมือนโดนมนต์สะกดให้หยุด มันสั่นเล็กน้อยและหนาวเย็นไปทั่วทั้งร่าง
“พอหรือยัง?” หลิวเฉียงเหว่ยเพียงแค่ใช้ริมฝีปากสัมผัสเบา ๆ เท่านั้นก่อนจะผละออกมาแล้วถามคนตรงหน้า
“ยังเร่าร้อนไม่พอ” ชายหนุ่มลูบคางแล้วตอบสั้น ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก็ไม่ลังเลที่จะลงมือกับซื่อเยี่ยจิ้งอีกครั้ง เธอเตรียมจะประกบริมฝีปากลงไปใหม่ แต่ในตอนนั้นเอง ซื่อเยี่ยจิ้งที่ได้สติกลับมาก็ได้จังหวะโต้กลับ เธอกระโจนขยำทรวงอกโตของหลิวเฉียงเหว่ยอย่างไม่ลังเลและผลักร่างของอีกคน ขณะเดียวกัน มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ก็เช็ดริมฝีปากของตนที่โดนจูบอย่างแผ่วเบา
ดวงตาที่เบิกโพลงยังคงแสดงความตกใจออกมา “พี่เฉียงเหว่ย!!! เป็นบ้าไปแล้วหรือไง! ทำไมถึงไปคล้อยตามคำสั่งโรคจิตของไอ้บ้านี่ได้ล่ะ!”
“ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ เซียวเฟิงจูบเธอได้ แต่ทำไมฉันจะทำไม่ได้?” หลิวเฉียงเหว่ยล่าถอยกลับไป แววตาที่สงบนิ่งและงดงามของเธอเหลือบมองไปยังน้องสาวอย่างเชื่องช้าหลังจากพูดเช่นนั้น
ซื่อเยี่ยจิ้งผงะไปอีกครั้ง เมื่อคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาขนาดนั้น เพราะเซียวเฟิงเองก็จูบเธอกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้ แล้วทำไมเธอถึงให้ลูกพี่ลูกน้องจูบไม่ได้?
ฉันเผลอแสดงท่าทีรังเกียจพี่เฉียงเหว่ยออกไปหรือเปล่านะ? แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอ? ไม่สิ ยังไงผู้หญิงที่สนิทที่สุดในโลกของเธอก็คือหลิวเฉียงเหว่ยอยู่แล้ว เมื่อใช้สมองประมวลความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว ซื่อเยี่ยจิ้งจึงชัตดาวน์ตัวเองไปโดยอัตโนมัติ
“กำลังเล่นอะไรกันอยู่เหรอคะ?” โชคดีที่เฉียนโตวโตวออฟไลน์ในขณะนั้นพอดี เธอถอดหมวกเล่นเกมออกมาและเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
หากเธอออฟไลน์เร็วกว่านี้ละก็ คงได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าไปแล้ว
“ลงไปกินข้าวได้แล้ว” เซียวเฟิงพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและเดินนำออกจากห้องไป
ระหว่างมื้ออาหาร มีเพียงซางกวนซือเฟยเท่านั้นที่ยังมีแรงเหลือเฟือ อาจเป็นเพราะความแข็งแรงที่ใกล้เคียงกับเซียวเฟิงของเธอ จึงทำให้เป็นแบบนั้น ผิดกับหลิวเฉียงเหว่ยและหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่นั่งทานอาหารเงียบ ๆ
แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่สนใจซางกวนซือเฟยเช่นเดิม เขาให้ความสนใจกับอาหาร ขณะเดียวกันนั่งดูข่าวในทีวีไปด้วย
ในเวลานี้เอง รายงานข่าวประจำวันก็กำลังถ่ายทอดสถานการณ์อยู่พอดี แน่นอนว่า ด้วยความนิยมของเกมในขณะนี้ จึงไม่สามารถแยกออกจากชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง จนแม้แต่ข่าวบางสำนักยังมีเนื้อหาการรายงานเกี่ยวกับเกมนี้อยู่ราวสองในสามของหัวข้อ เพื่อให้ใกล้เคียงการความเป็นอยู่ของประชาชน และเนื้อหาเหล่านี้ก็กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง จนกระทั่งกลายเป็นกระแสใหม่ในสังคมปัจจุบัน
อย่างเช่นในตอนนี้ สำนักข่าวกำลังนำเสนอหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองโลก ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองจากทุกคน นั่นคือ โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพ!
ตั้งแต่โครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพได้รับการเสนอขึ้นมา ในตอนนี้ก็ได้เข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว โดยสิ่งนี้คือแผนการล้างโลกครั้งใหญ่ ซึ่งในแง่ของประชากรนั้น ได้มีประชากรราว 20% ที่ถูกลบออกไปในฐานะเดนสังคม เมื่อรวมกับผู้เล่นที่เต็มใจย้ายเข้าไปอีก 25% ก็จะได้อัตราหนึ่งส่วนสี่ของประชากรโลกทั้งหมดนั่นเอง!
ชายหนุ่มเองก็ได้เป็นพยานที่เห็นการบังคับย้ายผู้คนจากเมื่อฮุ่ยกวงเข้าสู่อาณาจักรทวยเทพเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ไม่ได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทุกหนทุกแห่งต่างเป็นเป้าหมายของโครงการครั้งนี้ทั้งสิ้น จึงบอกได้ว่าประสิทธิภาพของมันดีเยี่ยมและกว้างใหญ่เพียงใด
ประชากรมนุษย์ในโลกแห่งความจริงลดลงเกือบจะหนึ่งส่วน แม้ว่าเหล่าผู้เล่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในเกมทั้งวันจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป แต่ในความเป็นจริง มันส่งผลกระทบกับโลกแห่งความจริงค่อนข้างมากและเป็นวงกว้างเลยทีเดียว ซึ่งผลกระทบนี้ก็ผสมระหว่างดีและไม่ดี
ไม่จำเป็นต้องพูดมากนัก เพราะนี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดประสงค์ของโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพ ไม่เช่นนั้น คงไม่ได้ผ่านเข้าไปสู่หัวข้อในที่ประชุมระดับโลกอย่างแน่นอน การที่ประชากรหนึ่งในสี่ของโลกถูกทำให้หายไป มันทำให้ปัญหาทรัพยากรในแต่ละประเทศคลี่คลายขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์สูงสุดของโครงการนี้ก็คือ การขจัดเดนมนุษย์ออกจากสังคม และทำให้สังคมมนุษย์ก้าวหน้ามากขึ้น บรรยากาศสดชื่น สภาพแวดล้อมน่าอยู่ สุขภาพดีและยืนยาวขึ้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจของโลกที่สองก็ไม่อาจหยุดการพัฒนาของมนุษยชาติได้
เรียกได้ว่าเพียงไม่กี่เดือน โลกก็เหมือนได้รับการพัฒนาอย่างถูกทางมาแล้วหลายปี!
ส่วนผลกระทบนั้น คงเดาได้ไม่ยากนัก สังคมมนุษย์เป็นการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ว่าการบังคับโอนย้ายนั้นจะเลือกคนที่ชั่วร้ายมากมายขนาดไหน แต่อย่างน้อยที่สุด คนเหล่านั้นก็ยังมีญาติ มีครอบครัว หรือคนรู้จัก สิ่งเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองอย่างมาก โดยเฉพาะบุคคลที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนชั้นต่ำนั้น อาจเป็นลูกรักของบางครอบครัว ไม่ว่าจะร้ายกาจขนาดไหน ในสายตาบุพการีหรือผู้ปกครอง พวกเขาก็ยังเป็น ‘เจ้าหญิง’ หรือ ‘นายน้อย’ คนสำคัญอยู่ดี การถูกพรากไปโดยไม่เต็มใจนั้นถือเป็นความสูญเสียทางจิตใจที่ยากเกินเยียวยา
ในขณะนี้ ข่าวกำลังฉายการเดินขบวนของผู้คนมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปจากการบังคับย้าย พวกเขาถือป้ายและโบกธงไปมา หลายคนโกรธเคือง หลายคนร้องไห้ พวกเขาทุกคนล้วนมาด้วยความบอบช้ำทางจิตใจ เสียงโหวกเหวกและร่ำร้องนั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคิดถึงเด็ก ๆ ที่เป็นที่รักของพวกเขา และต้องการให้ประเทศอธิบายเหตุผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน และเป็นแบบเดิมซ้ำ ๆ มาหลายเดือนแล้ว กระนั้นทางภาครัฐก็ยังไม่มีใครคิดจะออกมาแถลงการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ในตอนท้าย มีคำชี้แจงของผู้เชี่ยวชาญถูกนำมารายงาน ซึ่งเป็นการถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมอันเนื่องมาจากโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพ
มันไม่ใช่มุมมองของนักวิชาการเท่านั้น แต่คนเหล่านี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลในแต่ละประเทศ ลงมือแก้ปัญหาตามที่ผู้คนออกมาเดินขบวนกันให้เสร็จเรียบร้อย เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงอะไรบ้าง และแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพนี้
สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ของโครงการนี้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จุดสิ้นสุดของโครงการ หรือมีโอกาสมากขนาดไหนที่โครงการนี้จะหลุดออกจากการควบคุม และอื่น ๆ
ทั้งหมดทั้งมวลสืบเนื่องมาจากการที่สังคมภายนอกรับรู้เกี่ยวกับโครงการอาณาจักรแห่งทวยเทพน้อยมาก ๆ พวกเขารู้เพียงว่า สถานที่แห่งนี้ ชีวิตที่ยืนยาวดั่งอมตะนั้นมีอยู่จริง และการใช้ชีวิตในโลกใบที่สองนี้ ปัจจัยเสื่อมอย่างความแก่เฒ่า การป่วย การตายและอาชญากรรมจะถูกทำให้หายไป นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาไม่รู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งทวยเทพอีกเลย และรับรู้เพียงผิวเผินว่า ผู้บริหารอยู่เบื้องหลังโครงการนี้ดูเหมือนจะเป็น ชานัว ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถเติบโตได้ ผู้เป็นหัวใจหลักของโลกใบที่สองอย่าง ‘เดอะมิธ’
หากเธอคนนี้หลุดออกจากการควบคุม วันมหาวิปโยคของมวลมนุษยชาติได้มาถึงอย่างแน่นอน
ความสนใจของเซียวเฟิงจดจ่ออยู่กับข่าวเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะทานอาหารไปด้วยโดยไม่พูดไม่จา และไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขากำลังคิดอะไร
หลังจากข่าวรายงานจบ เขาก็รีบทานอาหารให้เสร็จแล้วเดินกลับขึ้นไปด้านบนเงียบ ๆ เท่านั้น
…
ประกาศจากทาง EnjoyBook
เนื่องจากนิยายเรื่อง ‘ฮีลเลอร์สายบู๊’ ของเอ็นจอยบุ๊กได้แปลชนกับต้นฉบับบทที่ 621 ของทางฝั่งจีนแล้ว หากทางนักเขียนมีการอัปเดตตอนใหม่ ทางเราจะนำมาเผยแพร่อีกครั้งค่ะ