Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน - ตอนที่ 432 กระต่ายหยกล้างพิษ
ฉินหยุนเวลานี้หาได้สนใจเรื่องผลึกแก้วหยกอักขระชีวิตไม่ เขาเพียงต้องการเร่งรีบเดินทางกลับ เพื่อรักษาพิษให้เฟิงหงหลัน และรอให้สื่อชิงเฉิงมายังประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์ เพื่อให้นางได้พาหยางฉีเย่ว์มาพบตน
“ฉินหยุน ให้ข้าคุ้มกันเจ้าออกไป!” จ้าวฉวนกล่าวคำ
จ้าวฉวนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่ห้าเท่านั้น หากให้เทียบแล้ว เขาไม่อาจต่อกรกับบรรดาผู้คนที่ภายนอก
กระนั้น ด้วยเขาคุ้มกันฉินหยุน จะไม่มีผู้ใดกล้าตอแยอย่างบุ่มบ่าม
หากสังหารคนของตำหนักจารึกเทวะ ย่อมถูกตำหนักจารึกเทวะไล่ล่าสังหารอย่างไม่เลิกรา
ฉินหยุนเป็นเพียงอาจารย์จารึกที่ได้รับสถานะโดยตำหนักจารึกเทวะ ดังนั้นเขาไม่นับเป็นคนของตำหนักจารึกเทวะ ด้วยเหตุนี้ผู้คนเหล่านั้นจึงไม่หวาดเกรง
หากพวกเขาสังหารฉินหยุน อย่างมากก็หลบเลี่ยงขั้วอำนาจเบื้องหลังฉินหยุน สักหลายร้อยปีค่อยออกมาเรื่องก็เงียบงันแล้ว
ฉินหยุนขณะนี้นำแผนที่ออกมาและพยักหน้ารับ “เช่นนั้นควรไปเมื่อไรดีขอรับ?
“ยิ่งเร็วยิ่งดี พวกเราจะออกไปกันเลย!” ขณะจ้าวฉวนกล่าวคำจบ ประตูพลันเปิดออก
เขาได้เห็นชายสองคนในชุดน้ำเงินก้าวเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังดูเยาว์วัยทว่าเส้นผมกลายเป็นสีขาว เขาคือหลันฮัวอวี้
อีกหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดา สวมใส่หมวกไม้ไผ่ เขาคือจ้าวตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม หลันเฉิน
ฉินหยุนมองที่หลันเฉินพร้อมกล่าวเหยียดหยัน “ท่านผู้หัวล้าน เหตุใดจึงทิ้งตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามและหลบหนี?”
“อืม… เป็นความผิดข้าเอง! ข้าไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้เช่นนั้น!” หลันเฉินเผยรอยยิ้มกระดากใจ “ขอแสดงความยินดีด้วยแล้ว เจ้าได้ออกมาจากประตูจารึก ขณะนี้ได้กลายเป็นผู้นำของสำนักจารึก!”
“ทว่าในเมื่อตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามไม่มีอยู่อีกต่อไป ตำแหน่งผู้นำสำนักจารึกข้าจะมีประโยชน์อันใด?” ฉินหยุนกล่าวด้วยความหงุดหงิด
“เรื่องนี้อย่าได้พูดกล่าวถึงแล้ว! ไม่ว่าจะด้วยอะไร พวกเราอย่างไรแล้วก็เป็นศิษย์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามด้วยกันทั้งสิ้น! แม้พวกเรากระจายตัวไปหลายสำนัก กระนั้นพวกเราก็ยังสามารถสร้างตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามขึ้นใหม่ในภายหน้าได้!” หลันเฉินกล่าวตอบ
หลันฮัวอวี้และหลันเฉิน ย่อมต้องได้ยินเรื่องฉินหยุนเข้าสู่แดนยุทธ์อ้างว้าง
ขณะนี้พวกเขายังประหลาดใจที่ฉินหยุนอยู่ตรงนี้ เพราะพวกเขาคิดว่าฉินหยุนอยู่ในสวนโบราณเสียอีก
“ผู้คนด้านนอกนั่น มาที่นี่เพื่อสังหารเจ้าหรือ?” หลันฮัวอวี้เอ่ยถาม
“เฮอะ! พวกมันคิดอยากจับตัวข้าไปแลกค่าหัว!” ฉินหยุนกัดฟันกรอดอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าคิดอยากออกไปจัดการพวกมันทีละคนด้วยซ้ำหากทำได้!”
หลันเฉินอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ ด้วยเขาอยู่ที่นี่ จ้าวฉวนและผู้อื่นค่อยวางใจได้มาก
หลันเฉินไม่ได้สังกัดตำหนักจารึกเทวะ เขาและเซี่ยอู๋เฟิงเข้าร่วมสำนักลึกลับเพื่อฝึกฝนวิถีดาบแห่งเต๋า
อีกทางหนึ่ง หลันฮัวอวี้ได้เข้าร่วมตำหนักจารึกเทวะ
“ฉินหยุน ข้าคือผู้จัดการของสถานที่แห่งนี้ เพิ่งได้รับข้อความจากเบื้องบนของตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาบอกว่าไม่อาจคุ้มกันเจ้า!” หลันฮัวอวี้ขมวดคิ้วบอกกล่าว
“ข้างนอกนั่นตอนนี้กระทั่งมีขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ! หากฉินหยุนออกไป ก็มีแต่ต้องตายแล้ว!” หลันเฉินเผยสีหน้างงงัน “ฉินหยุนเป็นอาจารย์จารึกเยาว์วัย ตำหนักจารึกเทวะขณะนี้สมองมีปัญหาหรือ? พวกเขาถึงกับยอมปล่อยอาจารย์จารึกอนาคตกว้างไกลเช่นนี้!”
จ้าวฉวนเผยสีหน้าโกรธแค้น “เหล่าหลัน ตำหนักจารึกเทวะกล่าวเช่นนี้จริง? มีต้นสายปลายเหตุหรือไม่? ด้วยกำลังของตำหนักจารึกเทวะ ไม่น่ามีอะไรต้องหวั่นเกรงแม้เป็นตระกูลสายเลือดชนชั้นสูงหรือตำหนักโทเทม!”
หลันฮัวอวี้ถอนหายใจ ส่ายศีรษะตอบกลับมา “ข้าไม่ทราบแล้ว เพียงได้รับสารก็เท่านั้น! นอกจากนี้ ตำหนักจารึกเทวะยังเพิกถอนสถานะอาจารย์จารึกผ่านเหรียญตราของฉินหยุน ตำหนักจารึกเทวะไม่ให้การคุ้มกันแก่ฉินหยุนในทุกกรณี!”
หัวใจฉินหยุนดิ่งวาบขณะนึกถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องที่เขาไม่ได้เข้าสู่สวนโบราณ!
ตำหนักจารึกเทวะ รับผิดชอบหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการคัดเลือกและประกาศผู้มีคุณสมบัติให้เข้าสวนโบราณ กระนั้น เพราะตั๋วที่ผิดแผก ฉินหยุนจึงถูกส่งไปยังสวนโบราณแห่งอื่น
มันจะต้องมีเรื่องสำคัญที่พวกเขาคิดต้องการทำที่สวนโบราณอย่างแรงกล้า ทว่าเขากลับไม่ได้เข้าไป
ความคิดของเขาขณะนี้กำลังวิ่งว่อน!
เขาถึงกับลอบสบถอยู่ภายใน…
เป็นเวลาหลายปีแล้ว จะมีการส่งผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่สาม ให้เข้าสู่สวนโบราณเพื่อค้นหาวิญญาณดวงตะวัน!
เพราะสวนโบราณถูกผนึกเอาไว้โดยแดนวิญญาณอ้างว้าง มีแต่ผู้ฝึกตนที่มีอักขระชีวิตของมหาวิถีแห่งเต๋าน้อยกว่าสามตัว จึงสามารถเข้าไปได้
คนของสามแดนอ้างว้างไม่ทราบเรื่องวิญญาณดวงตะวันร่วงหล่น ทว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่ตำหนักจารึกเทวะซึ่งมาจากแดนวิญญาณอ้างว้างจะทราบ
“หรือเป็นไปได้ว่า เพราะพวกเขาขาดตัวเรา จึงทำให้ไม่อาจได้รับวิญญาณดวงตะวัน? เพราะอย่างนั้นเลยนำโทสะมาลงที่เรา?”
ฉินหยุนคิดกับตนเอง นี่เป็นเพียงเขาคาดเดา สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่น เขาไม่มีทางทราบแล้ว
หลันเฉินกล่าวคำ “เหล่าหลัน ฉินหยุนเป็นจ้าวสำนักของสำนักจารึก เขากระทั่งมีอักขระจันทราและดวงดาว! มันจะดีหากเจ้าไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ต่อตำหนักจารึกเทวะ!”
จ้าวฉวน ต้วนเฉียน และหลันฮัวอวี้ล้วนพยักหน้ารับ แม้พวกเขาเป็นคนของตำหนักจารึกเทวะ ทว่าพวกเขามีสัมพันธ์อันดีกับฉินหยุน ดังนั้นจึงไม่คิดเปิดเผยเรื่องราวของฉินหยุนต่อผู้อื่น
หลันเฉินกล่าว “ฉินหยุน ข้าไม่ใช่คนของตำหนักจารึกเทวะ ให้ข้าคุ้มกันเจ้าออกไป!”
“เหล่าหลัน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบออกจากตำหนักจารึกเทวะ ควรอยู่ที่นี่ ในตำหนักจารึกเทวะ คอยหาข้อมูลให้พวกเราหากทำได้ มันต้องเป็นเพราะผลประโยชน์ใดสักอย่าง จึงทำให้ตำหนักจารึกเทวะไม่อาจปกป้องฉินหยุน!”
หลันฮัวอวี้พยักหน้ารับ “บางทีตำหนักจารึกเทวะอาจคิด ว่าฉินหยุนคงไม่มีทางทำลายคำสาปของวิญญาณยุทธ์สีดำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คาดหวังในตัวเขาสูงอะไรนัก!”
หลันเฉินยิ้มตอบ “ผู้อื่นอาจไม่สามารถทำลายคำสาปวิญญาณยุทธ์สีดำ แต่ฉินหยุนแตกต่าง ด้วยอักขระจันทราและดวงดาวที่เขาครอบครอง พวกมันทรงพลังเพียงใดเจ้าทราบดี เขาย่อมต้องเลื่อนระดับพลังได้อีก!”
ฉินหยุนกล่าวคำ “พวกเราออกไปช่วงกลางดึกได้หรือไม่ขอรับ?”
“ย่อมได้!” หลันฮัวอวี้ตอบกลับ “ขณะนี้มืดแล้ว อีกไม่นานก็ถือว่าดึกแล้ว!”
ฉินหยุนยังพอมีเวลาได้พักผ่อนบ้าง
กลางดึก ทางเข้าตำหนักจารึกเทวะถูกปิดล้อมเอาไว้ อย่างไม่คาดคิด ภายนอกตำหนักจารึกเทวะขณะนี้ ถูกล้อมเอาไว้ด้วยผู้คนกว่าสองพันชีวิต
หลันเฉินเอ่ยคำ “ยิ่งมายิ่งคนมากขึ้น! นับเป็นเรื่องดีที่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณมีไม่มากนัก!”
กลางดึก ฉินหยุนสามารถใช้พลังเงาเพื่อซ่อนตัวตนในความมืด กระทั่งว่าไม่มีหลันเฉินคุ้มกัน เขาก็ยังสามารถออกจากตำหนักจารึกเทวะได้อย่างปลอดภัย
“หลันเฉิน ผังจารึกบนศีรษะท่านคือรอยสักโทเทมหรือ?” ฉินหยุนนึกขึ้นได้จึงถาม
“ย่อมใช่! เป็นมันถือกำเนิดมาพร้อมข้า ดังนั้นอย่าได้บอกต่อผู้อื่นถึงเรื่องนี้ ข้าไม่อยากโดนตำหนักโทเทมจับจ้อง!” หลันเฉินตอบคำ
“เป็นโทเทมอันใดกัน?” ฉินหยุนถามด้วยความอยากรู้
หลันเฉินมองที่ฉินหยุนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “โทเทมดวงดาว! อย่าได้คิดอะไรกับข้าเชียว!”
“เวลาไม่มีแล้ว… หากข้ามีเวลาในภายหน้า คิดอยากขอหยิบยืมโทเทมดวงดาวของท่าน!” ฉินหยุนหัวเราะ
เขาสามารถให้โมโมทำการคัดลอกโทเทมของหลันเฉิน โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายอีกฝ่าย ทว่ามันต้องใช้เวลานานพอสมควรหากคิดทำ
“เอาไว้พูดคุยกันทีหลัง!” หลันเฉินเกิดเป็นกังวล ว่าฉินหยุนจะทำอะไรบุ่มบ่ามขึ้นมา
ฉินหยุนขณะนี้เดินไปมาในห้องโถงของตำหนักจารึกเทวะ “เอาอย่างนี้เป็นไร? ท่านออกไปก่อน ล่อพวกมันออกไปชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นข้าค่อยออกไปด้วยตนเอง!”
“แบบนั้นได้หรือ? ต่อให้ฟ้ามืดแล้ว เจ้าก็ยังจะโดนไล่ตามอยู่ดี!” จ้าวฉวนเผยความกังวล
“ข้าสามารถหลบซ่อนตัวในความมืดได้ ย่อมไม่มีปัญหา!” ฉินหยุนยิ้มตอบ
จ้าวฉวนและคณะ ทำตามคำแนะนำที่ฉินหยุนบอกออกมา หลังหารือกันแล้ว พวกเขาค่อยออกจากตำหนักจารึกเทวะ บินออกไปในทิศทางที่ต่างกันด้วยความเร็วสูงสุด
หลายคนคิดว่าจะมีขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณคุ้มกันฉินหยุน พวกเขาคิด ว่าหากเป็นเช่นนั้นจะไล่ตามได้ทันที
พอหลายคนไล่ตามคนละทิศทาง ฉินหยุนผู้ซ่อนตัวในความมืด ขณะนี้รอคอยเวลาและค่อยออกจากตำหนักจารึกเทวะอย่างเงียบงัน ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์
กระทั่งว่ายังมีอีกหลายร้อยคนอยู่ด้านนอกตำหนักจารึกเทวะ พวกเขาก็หาได้พบตัวฉินหยุนไม่
ฉินหยุนออกจากตำหนักจารึกเทวะอย่างราบลื่น มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่ประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์
ผ่านการเดินทางอยู่ครึ่งเดือน ในที่สุดฉินหยุนค่อยกลับถึงประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์
ช่วงเวลาอาทิตย์อัสดง แสงสีแดงจากเก้าดวงตะวันขณะนี้ปกคลุมเสายักษ์ทั้งเก้าต้น ยิ่งขับเน้นความลึกลับของพวกมันให้มากขึ้น
ผู้ซึ่งเปิดค่ายอาคม เป็นเว่ยจงเจิ้ง
“เสี่ยวหยุน ได้ยินว่าเจ้าควรต้องเข้าสวนโบราณไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เหตุใดผ่านไปครึ่งปีจึงกลับออกมาแล้ว?” เขาทราบมาหลายวันแล้วว่าฉินหยุนกลับมา
“จ้าวสำนัก ตำหนักจารึกเทวะขณะนี้ไม่ให้การคุ้มกันแก่ข้าอีกต่อไปแล้ว!” ฉินหยุนเผยสีหน้ามืดมน
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา ได้สอบถามไปยังมู่เฟิงถึงเหตุผลที่เจาะจง เขาบอกว่าจะมายังประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์เพื่อหารือเรื่องนี้กับพวกเราด้วยตนเอง!”
เว่ยจงเจิ้งถอนหายใจและตบที่ไหล่ฉินหยุน “อย่าได้กังวล ยังคงมีพวกเรา! ประตูลึกล้ำเก้าสมบูรณ์จะยังเป็นบ้านของเจ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามแต่!”
ฉินหยุนกลายเป็นรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ขณะนี้เขาเร่งรีบกล่าว “จ้าวสำนัก ข้าพบหนทางรักษาพิษแล้ว! พาข้าไปพบหงหลัน! นางขณะนี้อาการยังไม่ทรุดใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ข้าส่งวิญญาณยุทธ์กล้วยไม้แดงกลับคืนแก่นาง ทว่าไม่ทราบว่านางทำอย่างไรต่อ อย่างไรแล้ว ด้วยเพราะจำนวนพิษที่มีแต่เพิ่มมากขึ้น สภาพอาการตอนนี้จึงค่อนข้างแย่ การฝึกฝนดังปกติไม่อาจทำได้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว!”
เว่ยจงเจิ้งเร่งรีบนำฉินหยุน บินมุ่งหน้าสู่สวนสมุนไพร กล่าวออกอย่างเสียมิได้ “พิษในกายของนางแกร่งกล้ามาก มันเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ยิ่งมายิ่งยากต่อการสะกดมันเอาไว้!”
เฟิงหงหลันขณะนี้พักอาศัยอยู่ในอาคารทองแดงหลังน้อยที่สวนสมุนไพร มีหยวนหยานหยิงคอยให้การดูแล
ฉินหยุนพอกลับถึงสวนสมุนไพร เขาได้เห็นหยวนหยานหยิงเผยสีหน้ากระวนกระวาย คล้ายอารมณ์ไม่ดียิ่ง
“หยานหยิง เป็นอะไรไปแล้ว?” ชั่วขณะที่ฉินหยุนมาถึง หยวนหยานหยิงถึงกับโถมกายเข้าหาฉินหยุน
“อาการของพี่หงหลันมีแต่แย่ลงไปเรื่อย พี่ชาย เร่งรีบช่วยนาง!” หยานหยิงสะอื้นเสียงเบา
ฉินหยุนเร่งรีบตอบ “อย่าได้กังวล ข้ารีบกลับมาก็เพื่อช่วยนาง!”
หยวนหยานหยิงพอได้ยินดังนี้ นางเร่งรีบนำฉินหยุนและเว่ยจงเจิ้งเข้าในห้อง
เฟิงหงหลันผู้ซึ่งนอนบนเตียง ขณะนี้ลืมตาปรือเล็กน้อย ทั้งร่างกลับกลายเป็นสีดำ ออร่าสีดำปรากฏออกอย่างไม่อาจปิดบัง
ฉินหยุนเร่งร้อนนำกระต่ายหยกออกมาและปลุกกระต่าย
หลังผ่านการหลับใหลไปนาน กระต่ายหยกหิวโซยิ่ง มีแต่ต้องกินไข่ผลึกแก้วสัตว์อสูรกว่าสิบฟองค่อยทำให้นางมีแรงจนเริ่มลงมือได้
เฟิงหงหลันที่อ่อนแรงได้เห็นฉินหยุน ดวงตาของนางเผยความยินดี น้ำเสียงเบากระซิบออก “ฉินหยุน ข้ายินดีนักที่ห้วงเวลาสุดท้ายได้พบท่าน!”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น เจ้าต้องไม่เป็นไร!” ฉินหยุนยิ้ม
กระต่ายหยกกัดที่ข้อมือเฟิงหงหลัน เริ่มทำการดูดกลืนพิษในร่าง
“พี่ชาย กระต่ายน้อยนี่ไม่เป็นไรหรือ? พิษนี่แข็งแกร่งมากนัก!” หยวนหยานหยิงได้เห็น ว่ากระต่ายหยกมีความสามารถเลิศล้ำ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางดูดกลืนพลังงานจากไข่ผลึกแก้วสัตว์อสูรกว่าสิบฟองในพริบตาได้อย่างแน่นอน
เว่ยจงเจิ้งที่รับชมอยู่ด้านข้าง ขณะนี้เผยความตื่นตระหนก กระต่ายหยกทำการดูดกลืนพิษมหาศาลในเลือด กระนั้นแล้วไม่คล้ายจะมีอาการใดเกิดขึ้นต่อตัวมัน
“จ้าวสำนัก ท่านพอจะช่วยหาซื้อหาไข่ผลึกแก้วสัตว์อสูรสักหลายฟองได้หรือไม่ขอรับ? ข้าต้องการอย่างน้อยก็นับพัน!” ฉินหยุนตอบ “กระต่ายหยกตัวนี้เป็นสัตว์ระดับลึกล้ำ การเลี้ยงดูมันต้องใช้พลังงานมหาศาล”
“ย่อมได้ ข้าจะให้ผู้อาวุโสจัดการเรื่องนี้ให้!” เว่ยจงเจิ้งเร่งรีบจากไป ขณะนี้เขาค่อยวางใจได้มากแล้ว
การดูดกลืนพิษของกระต่ายหยกเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งร่างกายเฟิงหงหลัน ที่เมื่อครู่ปกคลุมด้วยออร่าสีดำ และยังมีรอยสีดำหลายแห่งบนผิวกาย ขณะนี้ค่อยเลือนหาย นี่ทำเอาทั้งหยวนหยานหยิงและเฟิงหงหลันเผยความยินดี
ฉินหยุนเองก็ผ่อนคลายได้มาก
เพียงไม่นาน เว่ยจงเจิ้งกลับมา กระทั่งพาหญิงสาวในชุดม่วงมาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น ผู้นี้คือสื่อชิงเฉิง!