Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน - ตอนที่ 497 เรือบินเกราะดํา
ตอนที่ 497 เรือบินเกราะดํา
เมื่อหยางฉีเย่ว์กลับมาถึง นางเร่งรีบรับชมพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์
ที่ฉินหยุนส่งมอบให้ ขณะนี้กําลังอ่านอย่างเคร่งเครียด
นางมีความทรงจําจากชาติภพก่อน ดังนั้นจึงยิ่งเป็ นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจ
วิชายุทธ์อันลึกลํ้า
“พี่หยาง ท่านเองก็นับได้ว่าเป็นเซียนจากแดนเซียนอ้างว้าง! ท่านทราบ
วิชาเซียนใดบ้างหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามขณะรับชมหยางฉีเย่ว์
หยิบผลไม้มากัดกิน
หยางฉีเย่ว์สายตามองที่พระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์ รอยยิ้มอ่อนจาง
เผยออก “แน่นอนว่าต้องทราบ แต่มันจําเป็นต้องใช้พลังเซียน! ภาย
หน้าข้าค่อยสอนแก่เจ้าได้!”
“แน่นอนว่า หากเจ้าตื่นรู้ความทรงจําชาติภพก่อนหน้า เจ้าก็ย่อม
เชี่ยวชาญวิชาเซียนมากมายเช่นกัน!”
หยางฉีเย่ว์ศึกษาพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์ที่ฐานของค่ายอาคม ขณะ
ฉินหยุนออกไปยังสระเต๋าทั้งสาม เพื่อพบเจอฉื่อซินซินและเฉียวอวี้
ทั้งสองกําลังครํ่าเคร่งฝึกฝน คิดอยากก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับ
เมื่อกลับถึงฐานค่ายอาคม ฉินหยุนค่อยนําวิญญาณยุทธ์ แก่นเต๋า และ
อุปกรณ์เต๋าทั้งหกชิ้นออกมาพิจารณา
“อุปกรณ์เต๋าเหล่านี้ถูกฉกชิงมา หากคิดอยากใช้งาน ก็จําเป็นต้องใช้
เวลายาวนานขัดเกลาพวกมัน เพื่อให้แสดงพลังของอุปกรณ์เต๋าอย่าง
เต็มที่ออกมาได้!”
ฉินหยุนทราบเรื่องอุปกรณ์เต๋าดี หากหยิบยืมจากผู้อื่น เขาจะใช้พลัง
ของอุปกรณ์เต๋าได้เพียงสองถึงสามในสิบ
เขาจําเป็นต้องขัดเกลาอุปกรณ์เต๋าชั่วระยะเวลาหนึ่ง และผสานมัน
เข้ากับแก่นเต๋าของวิญญาณยุทธ์ มีเพียงแต่วิธีนี้จึงสามารถใช้งาน
พวกมันได้อย่างทรงพลัง
“แม้ว่าเป็นอุปกรณ์เต๋า แต่ก็ออกจะหยาบกระด้าง หม้อราชสีห์สวรรค์
สะกดมังกรล้วนดีกว่าเป็นไหน!” ฉินหยุนคือบุคคลที่ปรารถนาถึง
ความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงเก็บอุปกรณ์เต๋าเหล่านี้เอาไว้
ดาบที่อู่หมิงซวีสร้างขึ้นถือว่าไม่เลว แต่เขายังรู้สึกว่ามันออกจะขาด
อะไรไปบ้าง
“แม้ดาบที่ผู้อาวุโสอู่สร้างขึ้นเป็นอุปกรณ์เต๋าโบราณ แต่มันก็ได้แค่นี้
มันไม่ใช่ผลงานชั้นเลิศของเขา เป็นเพียงของดาษดื่น!” ฉินหยุนกล่าว
ด้วยสีหน้าเดียดฉันท์
หยางฉีเย่ว์สวมใส่ชุดสีขาวราวหิมะ รวมเข้ากับแก้มแดงเรื่องดงาม
นางกําลังทอดกายบนเก้าอี้ สายตาจดจ้องที่พระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์
ท่วงท่าขณะนี้เรียกว่าเย้ายวนอย่างยิ่ง
นัยน์ตางดงามขณะนี้เคลื่อนมองทางฉินหยุน นางกล่าวพลางหัวเราะ
“เสี่ยวหยุน ผู้ฝึกตนขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้าหลายต่อหลายคน
แม้กระทั่งอุปกรณ์ลึกลํ้ายังไม่มี! แต่แล้วเจ้ากลับปรามาสอุปกรณ์เต๋า
เช่นนี้ หากผู้อื่นทราบคงเกิดความโกลาหลไม่น้อยแน่!”
ฉินหยุนครอบครองค้อนเทวะเก้าตะวัน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นอุปกรณ์
อื่นในสายตา
กระนั้น เขาก็ยังคิดอยากครอบครองกระบี่ที่ดีกว่านี้
“รอจนกว่าพวกเราไปยังแดนวิญญาณอ้างว้าง ข้าจะไปพาพี่สาว
ซาลาเปานึ่งและวิญญาณร้ายวารี ขอให้พวกนางช่วยข้าขัดเกลา
อุปกรณ์ลึกลํ้าขึ้น!” ฉินหยุนหัวเราะเบา “สร้างเองย่อมดีที่สุด!”
“เหตุใดเจ้าจึงเรียกพี่ชิงเฉิงเป็นพี่สาวซาลาเปานึ่ง? นี่ไม่ทํานางโกรธ
แย่หรือ? ในหุบเขาลึกลํ้าจันทรา ชื่อเสียงความร้ายกาจของนางเลื่อง
ลือ ถือว่าโด่งดังยิ่งกว่าพี่สุ่ย” หยางฉีเย่ว์ขยับแผ่นหลัง พร้อมพลิก
หน้ากระดาษพระสูตรหัวใจเก้าสมบูรณ์ต่อ
“พี่หยาง ท่านไม่ทราบ แต่สองสาวงามนั้นต่างยินดีทําเพื่อข้า!” ใบหน้า
หล่อเหลาของฉินหยุนเผยความภาคภูมิ “โดยเพราะพี่สาววิญญาณ
ร้ายวารี นางยินดีเป็นผู้หญิงของข้าไปตลอดชั่วชีวิตนี้ นับว่าเป็นข้า
รับใช้คนหนึ่งก็ได้!”
หยางฉีเย่ว์ประหลาดใจไม่น้อย “เรื่องนี้จริงหรือ? อย่าได้มองเพียง
พี่สุ่ยเป็นคนขี้เล่น ชายใดคิดแตะต้องนางล้วนมีชะตาไม่ดีนัก!”
“เป็นนางหลงเสน่ห์ข้า!” ฉินหยุนหัวเราะรับ
ขณะนี้เขานําเอาค้อนเทวะเก้าตะวันออกมา รับชมโทเทมที่อยู่ต่อ
หน้า เขารู้สึกว่ามันเป็นตัวตนที่คล้ายกับของลูกศรเทพกําราบตะวัน
ฉินหยุนใช้โอกาสที่มีขณะนี้ ทําการสร้างยันต์ขึ้นจํานวนหนึ่ง
ขณะสร้างยันต์จํานวนมากขึ้นมา เขาพบว่านกกระจอกลึกลํ้าเก้าสวรรค์
หรือหยางหยางนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง เปลวเพลิงที่มันพ่นออก
รุนแรง สามารถเผาไหม้วัสดุหลากหลายให้อ่อนนุ่มได้รวดเร็ว
กระนั้น เขาก็เพียงทดลองงานได้ชั่วครู่ เพราะชาวคณะของหยางหยาง
ไม่ยินยอมให้เขาใช้งานนานนัก…
การเผาไหม้วัสดุทําให้เกิดอาการหิว เจ้าตัวน้อยที่ขึ้นชื่อเรื่องกินจึง
ร้องเรียกหาอาหาร
โมโมและกระต่ายหยกกินเพียงแต่หยดแสงจันทร์ แต่ทางด้านหยาง
หยาง เป็ดน้อยตัวนี้ต้องการกินเนื้อมังกร
กระต่ายหยกออกมาพบหยางฉีเย่ว์ พูดคุยกันเล็กน้อยก่อนตกลงยอม
อยู่กับฉินหยุนต่อ
ฉินหยุนมองทางโมโมและกระต่ายหยกเล่นกันสนุกสนานจึงตัดสินใจ
ยอมรับ เพราะหากเขาแยกทั้งสองออก โมโมคงต้องเศร้าไม่ใช่น้อย
ผ่านการศึกษาอยู่หลายวัน หยางฉีเย่ว์ค่อยเรียกฉินหยุนมาที่โต๊ะพร้อม
เอ่ยคํา “เสี่ยวหยุน แม้ตํารานี้มีเนื้อหามากมาย แต่มันยุ่งเหยิงนัก ข้า
เพียงเลือกแกนหลักทั้งสามมาให้เจ้าฝึกฝน!”
ก่อนหน้านี้ ครั้งฉินหยุนได้อ่านมัน เขาก็ทราบว่าเนื้อหาออกจะยุ่ง
เหยิง เป็นเขาอ่านจนไม่ทราบว่าควรเลือกอะไรก่อนดี
“อันดับแรกคือพลังภายในเก้าสมบูรณ์! เจ้าเลือกมันแล้ว และฝึกฝน
มันได้ดี แต่ว่ายังคงต้องใช้บทร่ายของเต๋าเก้าสมบูรณ์เพื่อฝึกฝนพลัง
เต๋าเก้าสมบูรณ์ เดี๋ยวข้าจะชี้แนะให้!”
“อันดับที่สอง ฝ่ ามือมังกรสัมบูรณ์! สามสิบหกฝ่ ามือของฝ่ ามือมังกร
สัมบูรณ์ถือว่าเลิศลํ้า! ตัวเจ้าขณะนี้เข้าใจเพียงสองฝ่ ามือ โดยหลักก็
เพราะเจ้าไม่อาจจับหลักพลังเต๋าของตนเองได้! เพราะฝ่ ามือมังกร
สัมบูรณ์จําเป็นต้องผสานกับพลังเต๋าเก้าสมบูรณ์ การเรียนรู้ค่อยดีขึ้น
เมื่อผสมรวมเข้าด้วยกัน!”
“อันดับที่สาม ก้าวเท้าเก้าสมบูรณ์ นี่เป็นเคล็ดวิชาเคลื่อนไหว สมควร
เรียกได้ว่าลึกลํ้าอย่างยิ่ง และยังเป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากนัก!”
“ฝึกฝนสามหลัก พลัง ฝ่ ามือ และก้าวเท้า! นี่ยังเป็นแกนหลักของ
ตําราเล่มนี้ ทางด้านสิ่งจิปาถะอื่น ๆ ในตํารา พวกมันใช้งานได้ไม่
ค่อยมากนัก และไม่ค่อยเหมาะสมกับการฝึกฝนของเจ้าด้วย!”
หยางฉีเย่ว์ใช้นํ้าเสียงดงามกังวานกล่าวอธิบายเชื่องช้า
ฉินหยุนพยักหน้ารับและรับฟังพลางยิ้มตอบ “พี่หยาง ท่านสมแล้วที่
เป็นอาจารย์สุดวิเศษของข้า!”
หยางฉีเย่ว์ดวงตาสว่างวูบพร้อมยิ้ม “ให้ข้าอธิบายทั้งสามอย่างนั่น
เลยก็แล้วกัน!”
รับฟังเช่นนี้ ฉินหยุนจึงเร่งรีบนั่งฟังอย่างตั้งใจ
ผ่านการอธิบายอยู่หลายวัน ฉินหยุนค่อยจดจําทุกสิ่งอย่าง และเริ่ม
จับหลักการฝึกฝนได้
“พี่หยาง ไปฝึกฝนร่วมกันในสระเต๋าดีกว่า!” ฉินหยุนขณะนี้อดใจไม่
ไหวที่จะก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า
“เสี่ยวหยุน ข้าจําได้ เจ้าบอกว่าเมื่อก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่
สาม เก้าดวงตะวันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดําใช่หรือไม่?” หยางฉีเย่ว์
คล้ายนึกขึ้นได้จึงรั้งเขาไว้พร้อมเอ่ยถาม
“ขอรับ ทําไมหรือ?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ดีที่สุดคืออย่าได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า
ระดับที่เก้าในสามแดนอ้างว้าง!” หยางฉีเย่ว์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งค่อย
กล่าวต่อ “การฝึกฝนวิญญาณยุทธ์สีดําสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่
เก้า เมื่อนั้นจะเกิดการแปรสภาพครั้งที่สามขึ้น!”
“การแปรสภาพครั้งที่สามคือส่วนโหดร้ายที่สุด พลังของเก้าดวงตะวัน
ในสามแดนอ้างว้างมีไม่มากพอ ดีที่สุดหากไปยังแดนวิญญาณอ้าง
ว้างและเลื่อนระดับที่นั่น!” หยางฉีเย่ว์ลูบใบหน้าของฉินหยุนพร้อม
ยิ้มให้ “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้จึงต้องรีบบอกไว้ก่อน!”
นางเองก็ครอบครองวิญญาณยุทธ์สีดํา ดังนั้นเพื่อให้ได้รับพลังแกร่ง
กล้าระหว่างการเลื่อนระดับ มันจะดีที่สุดหากไปยังแดนวิญญาณ
อ้างว้าง
“ขอรับ เช่นนั้นก็ไปกันเดี๋ยวนี้เลย! ข้าไปหาเฉียวอวี้กับซินซินก่อน!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ ติดตามหยางฉีเย่ว์เข้าสู่ถํ้าในภูเขา
เฉียวอวี้และฉื่อซินซินทราบ ว่าฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์คิดจากไป
พวกนางเกิดความรู้สึกไม่อยากแยกจากขณะนี้ ทว่า ภายหน้าพวกเขา
ยังมีโอกาสได้พบกันในแดนวิญญาณอ้างว้าง
ผ่านการเตรียมตัวโดยคร่าว ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์สวมใส่ชุดดํา
พร้อมหมวกไผ่สาน ทั้งสองไปยังตําหนักจารึกเทวะซึ่งอยู่ใกล้เส้นทาง
หนามปี ศาจ
ในสถานที่แห่งนี้ มันมีเรือบินเกราะดําขนาดใหญ่ กล่าวกันว่ามัน
แกร่งกล้าขนาดต้านรับการโจมตีของราชันยุทธ์ เรียกได้ว่าเป็น
พาหนะที่ทนทานอย่างยิ่ง
เรือบินเกราะดําจะทําให้เขาสามารถเดินทางไปยังแดนวิญญาณ
อ้างว้าง ทว่าก็จําเป็นต้องจ่ายห้าร้อยล้านเหรียญม่วง นอกจากนี้ ยัง
ต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานถึงสามเดือน
ฉินหยุนตรงไปจ่ายค่าธรรมเนียมสําหรับเดินทางสองคน รวมเป็น
เงินมากถึงหนึ่งพันล้านเหรียญม่วง
เรือบินเกราะดํายาวเกือบหนึ่งพันเมตร กําลังเคลื่อนเชื่องช้าเข้ามา
ใกล้
เรือบินเกราะดําขนาดมหึมา ไม่เพียงแต่บรรทุกผู้คน แต่ยังรวมถึง
หลายสิ่งอย่าง มันมีอาคมป้องกันมากมายติดตั้งเอาไว้ภายในตัวเรือ
เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์เต๋าขนาดใหญ่มหึมาก็ว่าได้
เมื่อขึ้นถึงบนเรือแล้ว ผู้โดยสารจะได้ทราบว่าหากต้องการห้อง
ส่วนตัว ก็จําเป็นต้องจ่ายถึงห้าร้อยล้านเหรียญม่วง หากไม่ต้องการ
ห้องส่วนตัว ก็จําเป็นต้องไปอยู่ร่วมกับหลายคนที่ห้องใหญ่ตรงชั้น
แรกของเรือบิน
ฉินหยุนเดิมคิดอยากได้สองห้อง ทว่าหยางฉีเย่ว์ออกความเห็นว่า
สิ้นเปลืองเกินไป ดังนั้นเขาจึงเลือกเพียงห้องหนึ่ง
เมื่อเข้าถึงห้องโดยสารแล้ว พวกเขาค่อยพบว่ามันเล็กยิ่ง ขนาดกว้าง
เพียงสองหรือสามเมตร เพียงแค่ที่นอนก็แทบเต็มห้องแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าแดนยุทธ์อ้างว้างจะมีคนรํ่ารวยมากมายเพียงนี้! โดยสาร
เรือจําเป็นต้องจ่ายมากมายถึงห้าร้อยล้านเหรียญม่วง!” ฉินหยุนอุทาน
ร้องขณะนอนบนเตียง
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หลายผู้คนไม่อาจจ่ายเพื่อโดยสารเรือ พวกเขา
จึงต้องลงนามสัญญากับตําหนักจารึกเทวะ เมื่อไปถึงแดนวิญญาณ
อ้างว้าง พวกเขาจําเป็นต้องช่วยงานนานหลายสิบปี หรืออาจกระทั่ง
ถึงหนึ่งร้อยปี ในฐานะข้ารับใช้!”
หยางฉีเย่ว์ถอดชุดเกราะ นอนลงเคียงข้างฉินหยุน พร้อมกับนําตํารา
เล่มหนึ่งออกมาอ่าน
“พี่หยาง เมื่อไปถึงแดนวิญญาณอ้างว้างแล้วท่านคิดทําอันใดก่อน?”
ฉินหยุนมองที่ร่างงดงามมีกลิ่นหอมเย้ายวนเคียงข้าง เกิดความคิด
อยากเข้าไปกอดสักครั้งหนึ่ง
“ขณะนี้ยังไม่ทราบ แต่ไปถึงเดี๋ยวคงได้รู้กัน! โดยสรุป ให้ข้าเป็นคน
จัดการเอง!” หยางฉีเย่ว์ยิ้มอ่อน “เย่ว์หลานฝากฝังแก่ข้า ดังนั้นย่อม
ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดี!”
“ข้าหาได้ใช่เด็กแล้ว!” ฉินหยุนแลบลิ้นออกประท้วงพลางหัวเราะ
“เย่ว์หลานจริงจังเกินไปแล้ว ทําเสมือนข้ายังเป็นเด็กอยู่อย่างไรอย่าง
นั้น!”
“เจ้าอ่อนกว่านางปีหนึ่ง ดังนั้นในสายตาของนาง เจ้าจึงเป็นเด็กไม่ว่า
จะผ่านไปนานเพียงใด!” หยางฉีเย่ว์หัวเราะ
หลังเทียบท่าอยู่หลายวัน ขณะนี้เรือบินเกราะดําได้กําหนดออกจาก
ท่า ความเร็วของมันมากลํ้า
ในห้องของฉินหยุนมีหน้าต่าง ดังนั้นจึงทําให้เขาสามารถมองเห็น
สภาพภายนอก
ขณะนอนบนเตียง หันมองทางหน้าต่าง เขามองภาพฉากที่เกิดขึ้น
ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ขณะนี้นอนข้างหน้าต่าง รับชมภาพฉากที่
ลอยขึ้นสูงบนฟ้าเรื่อยมา ด้วยอาคมคุ้มกันจึงไม่มีสายลมพัดพา
ดังนั้นการชมทิวทัศน์ภายนอกจึงสามารถเห็นอย่างชัดเจน
“พวกเราอยู่ที่แดนสัตว์อสูรอ้างว้างแล้ว!” หยางฉีเย่ว์กล่าว “ที่นี่แห้ง
แล้งนัก!”
ก่อนหน้านี้ ยังเป็นภาพฉากงดงามหลากหลาย แต่เพียงไม่นานก็ถึง
ส่วนลึกของแดนสัตว์อสูรอ้างว้าง พื้นที่เต็มไปด้วยภูเขาแห้งแล้ง
พื้นดินสีเหลือง ยากพบเห็นชีวิตใดคงอยู่
เมื่อไม่มีสิ่งชวนจรรโลงให้รับชม ฉินหยุนจึงเกิดอาการเบื่อหน่าย
“ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงแดนวิญญาณอ้างว้าง! เจ้าควรใช้
โอกาสนี้ฝึกฝนพลังเต๋าเก้าสมบูรณ์เสีย!” หยางฉีเย่ว์ลูบที่ศีรษะฉิน
หยุน
ด้วยเหตุนี้ ฉินหยุนจึงเริ่มต้นฝึกฝนพลังเต๋าเก้าสมบูรณ์ตามคําชี้นํา
ของหยางฉีเย่ว์
เดินทางอยู่ครึ่งเดือน เรือบินเกราะดําในที่สุดก็ผ่านพ้นแดนสัตว์อสูร
อ้างว้าง เข้าสู่แดนอสูรอ้างว้างผ่านรอยแยกมิติ
แดนอสูรอ้างว้าง เป็นแดนอ้างว้างระดับเดียวกับแดนวิญญาณ
อ้างว้าง ดังนั้นมันจึงเชื่อมต่อถึงกัน!
ไม่นานหลังจากเข้าสู่แดนอสูรอ้างว้าง เรือบินเกราะดําจึงหยุดพักครู่
หนึ่ง จากนั้นค่อยออกบินต่อ
ระหว่างฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ฝึกฝน อย่างกะทันหัน พวกเขากลับ
ได้ยินเสียงเคาะประตู
ฉินหยุนเดินออกไปเปิ ดประตู พบเห็นเป็นชายร่างใหญ่ชุดดําสองคน
พวกเขาเป็นคนของตําหนักโทเทม!
“ข้ามาเรียกเก็บค่าธรรมเนียม คนละหนึ่งร้อยล้านเหรียญม่วง! สอง
คนก็สองร้อยล้านเหรียญม่วง!” ชายร่างใหญ่ตะโกนดังพร้อมสีหน้า
ดุดัน
แต่แล้วเมื่อชายทั้งสองจากตําหนักโทเทม ได้เห็นใบหน้างดงามของ
หยางฉีเย่ว์ ดวงตาทั้งสองจึงเผยความชั่วช้าอย่างปิ ดไม่อาจมิดได้
ออกมา