Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน - ตอนที่ 762 : สวรรค์พิโรธ
“เย่ว์เหม่ย เรื่องนี้เจ้าไม่อาจนำไปโพนทะนาได้ มันจะเป็นการทำร้ายเฉียวเฟิง” ฉินหยุนกล่าวเตือน
“พี่ชายวางใจ ข้าย่อมไม่ใช่ผู้หญิงปากมาก!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มตอบ “พี่ชาย ท่านช่างยอดเยี่ยมนัก ท่านเพียงเพิ่งออกมา ก็ไปยังตระกูลหลงและจับตัวมังกรของพวกมันมาได้แล้ว! หากเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไป มันคงสั่นสะท้านต่อทั่วทั้งแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก!”
กำลังของฉินหยุน มันทำให้เชี่ยวเย่ว์เหม่ยรู้สึกภูมิใจ
ฉินหยุนควบคุมวิญญาณมังกรภายในไข่มุกมังกร พร้อมปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณสัตว์อันเลิศล้ำออกมา เขากำลังควบแน่นจารึกวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
“น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้ร่วมทางไปกับท่าน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยสีหน้าเสียดายออกมา
“ข้าและเฉียวเฟิงเผชิญอันตรายไม่ใช่น้อย” ฉินหยุนกล่าว อันที่0ib’สามารถพูดกล่าวได้ ว่าเขาจับตัวมังกรมาอย่างง่ายดาย
“พี่ชาย คล้ายท่านตระเตรียมไว้แต่แรกแล้ว หลายปีก่อน ท่านได้ชักชวนหลงเฉียวเฟิงมาเข้าพวก เห็นได้ชัดว่ามีสายตากว้างไกลมองไปที่มังกรตัวนั้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มสดใสกล่าวคำ “พี่ชาย ข้าจะช่วยท่านค้นหาสถานที่อยู่ของมังกรตัวอื่น ถึงตอนนั้นไว้พวกเราไปจับพวกมันมาสังหารด้วยกัน!”
“ย่อมได้อยู่แล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะพร้อมพยักหน้ารับ
ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณมังกร เวลานี้เขาค่อยผ่อนคลายได้มาก วิญญาณยุทธ์ทั้งของเขาและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย จึงไม่ต้องปลดปล่อยจิตวิญญาณโลหิตออกมาอีกต่อไป เชี่ยวเย่ว์เหม่ยที่ได้สงบใจลงบ้าง เวลานี้จึงได้ผ่อนคลายจากสภาวะอ่อนล้าของวิญญาณยุทธ์
ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารไปยังเหยาเฟิง “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าเวลานี้อยู่กับเย่ว์เหม่ย!”
“เย่ว์เหม่ย? นางอยู่กับเจ้าแล้วหรือ?” เหยาเฟิงพอได้ทราบ นางเผยความกังวลพร้อมเอ่ยถามออก
“ท่านไม่คิดอยากพบนางหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ข้าไม่คิดอยากพบนางด้วยสภาพเช่นนี้ เจ้าดูแลนางให้ดี อย่าได้รังแกนาง และอย่าได้ลวงหลอกอันใดต่อนาง!”
“เด็กน้อยผู้นี้ฉลาดเกินกว่าท่านคิด นางวิ่งเล่นไปทั่วสร้างปัญหาฉ้อโกงสารพัด ก่อนหน้า นางยังนำข้าไปเล่นละครลวงผู้คนไปฉากใหญ่!” ฉินหยุนใช้โอกาสนี้บอกเล่าเรื่องราวของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยให้เหยาเฟิงได้ฟัง
เหยาเฟิงใช้ชีวิตโดดเดี่ยวภายในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวันเป็นเวลานับหมื่นปี นางจึงอ้างว้างเปลี่ยวเหงา เวลานี้ได้ทราบเรื่องเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ค่อยทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง
“ที่ภายนอก พวกเจ้าสองคนทำอันใดกันอยู่?” เหยาเฟิงเอ่ยถาม
“พวกเรากำลังสกัดจารึกวิญญาณ!” ฉินหยุนตอบกลับ
เขาบอกเล่าต่อเหยาเฟิงถึงสถานการณ์การสกัดจารึกวิญญาณ เหยาเฟิงที่ได้ทราบ นางต้องร้องอุทานกล่าวชื่นชม เป็นนางไม่คาดคิด ว่าจารึกวิญญาณจะสามารถสกัดขึ้นมาได้ หากทำสำเร็จ เช่นนั้นมันหมายความถึง ภายหน้าเขาจะมีจารึกวิญญาณมากมายไว้ในครอบครอง
เป็นที่ทราบกัน ว่าแม้แต่ในแดนเซียนอ้างว้าง จารึกวิญญาณก็ไม่ใช่มีมากมายนัก มันล้ำค่ามากพอขนาดให้เซียนทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงกันจนตกตาย! เหยาเฟิงเลือกกลับไปฝึกฝนต่อ และนางได้บอกต่อฉินหยุน ว่าให้แจ้งต่อนางหากทำสำเร็จ
การแข่งขันจารึกอยู่ห่างไปอีกเพียงไม่กี่วัน ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้องลับตลอดทั้งสิ้นเจ็ดวัน ท้ายที่สุด กระทั่งพลังวิญญาณมังกรก็ถูกกลืนกินหมดสิ้น
และตอนนี้เอง ที่ท้องฟ้าได้เริ่มมีเมฆดำเข้าปกคลุม เดิมยังเป็นช่วงกลางวัน กระนั้น เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ท้องฟ้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นมีเมฆสีดำปกคลุม รัศมีหนึ่งหมื่นลี้รอบเกาะแห่งดาบ มันกลับกลายเป็นสภาพอันดำมืด มันคือความมืดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างใดปรากฏจากเบื้องบน
ตู้ม! ครืน!
อย่างกะทันหัน อสนีบาตรุนแรงได้ฟาดฟันลงมาพร้อมระเบิดเข้าใส่ม่านพลังอาคมของเกาะแห่งดาบ เกาะแห่งดาบที่สร้างขึ้นใหม่ กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในความตื่นตะลึง ตัวเกาะสั่นไหวต่อเนื่องไม่หยุด เกาะแห่งดาบกำลังถูกโจมตีโดยสายฟ้าอสนีบาตทรงอำนาจรุนแรง จักรพรรดิยุทธ์และครึ่งเซียนทั้งหลายที่อยู่ภายในตำหนักเซียนดาบ พวกเขาต่างเร่งรีบออกมาพร้อมทะยานร่างขึ้นฟ้า สีหน้าพวกเขาล้วนหนักอึ้งขณะรับชมท้องฟ้าที่ปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาตรุนแรงออกมาไม่หยุด
“มันฟาดลงไปที่ตำหนักจารึกเทวะ เป็นไปได้ว่ามีผู้หนึ่งกำลังเผชิญการท้าทายโดยทัณฑ์พิบัติอย่างนั้นหรือ?” เจี้ยนสือเทียนขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ใช่ทัณฑ์พิบัติทั่วไปแล้ว!” ชายชราหนวดเครายาวผู้หนึ่งกล่าวออกด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ทว่านี่เป็นการท้าทายต่อสวรรค์! ผู้ใดกันที่ในสถานที่แห่งนี้ของพวกเรา ที่สามารถเรียกการท้าทายจากสวรรค์มาได้?”
“ครึ่งเซียนจะเผชิญทัณฑ์พิบัติถึงเจ็ดครั้ง และทัณฑ์พิบัติสุดท้ายจึงเป็นทัณฑ์พิบัติจากสวรรค์ การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ นั่นหมายความถึงการได้ก้าวสู่ความเป็นเซียน!” เจี้ยนสือเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้าริษยา
เวลานี้ กลุ่มคนของตำหนักเซียนดาบต่างเร่งรีบบินไปยังตำหนักจารึกเทวะ
ฉินหยุนอยู่ที่ตำหนักจารึกเทวะพร้อมเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เขากำลังสกัดจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาได้ทำสำเร็จแล้ว
“พี่ชาย คล้ายข้างนอกมีภัยพิบัติเกิดขึ้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเก็บกระจกของนาง เวลานี้ นางร้องตะโกนออกมาดัง “กระจกข้ามีรอยปริแตก!”
“ว่าอะไร! นี่เป็นอะไรหรือไม่?” ฉินหยุนตื่นตะลึงพร้อมเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไร สักพักหนึ่งมันก็ฟื้นฟูตัวเองได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะตอบ
หลิงหยุนเอ๋อกล่าวคำขึ้น “เสี่ยวหยุน การกระทำของเจ้าอย่างสกัดเอาจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าขึ้นมาใหม่ นั่นถือเป็นการท้าทายสวรรค์แห่งเต๋า! เพราะเหตุนั้นทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์จึงเกิดขึ้น กระจกของเย่ว์เหม่ยเกิดรอยร้าวก็เพราะเรื่องนั้น!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? อย่างนั้นพวกเราควรรับมืออย่างไร?” ฉินหยุนมองที่ไข่มุกผนึกวิญญาณสีขาวในมือที่กำลังสั่นต่อเนื่อง
แสงสีขาวได้สว่างรุนแรงจากไข่มุกผนึกวิญญาณ มันเป็นแสงที่รุนแรงยิ่ง
“ส่งมันให้แก่เหยาเฟิง” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนเร่งร้อนติดต่อหาเหยาเฟิงทันที “พี่สาวเหยาเฟิง ข้าเจอปัญหาเข้าแล้ว จารึกวิญญาณสกัดได้สำเร็จ ทว่ามันเป็นการกระตุ้นให้เกิดทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ ข้าคิดอยากฝากมันไว้กับท่านชั่วคราวได้หรือไม่?”
“เร่งรีบแล้ว!” เหยาเฟิงพอได้ทราบ นางเป็นกังวลต่อเรื่องนี้ยิ่ง
ฉินหยุนส่งจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าสู่ด้านในไข่มุกเม็ดที่สามของวิญญาณเทวะเก้าตะวัน การเคลื่อนไหวภายนอกยังคงรุนแรงยิ่งใหญ่ ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบออกจากตำหนักจารึกเทวะ ภายนอกดำมืดสนิท พลังชวนขนลุกน่าหวาดกลัวได้เข้าปกคลุมกดดัน ผู้คนในเกาะแห่งดาบต่างรู้สึก ว่าตนเองคล้ายสามารถจบสิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อชั่วขณะ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เมฆสีดำบนฟากฟ้าฉับพลันปลดปล่อยสายฟ้าอสนีบาตนับไม่ถ้วนลงมาเข้าใส่ม่านพลังคุ้มกันเกาะแห่งดาบ ฉินหยุนต้องลอบนับถือต่ออำนาจการป้องกันของเกาะแห่งดาบ มันถึงขั้นสามารถต้านรับเอาไว้ สุดท้ายแล้ว หลังผ่านการโจมตีรุนแรงหลายครั้งครา มวลเมฆสีดำจึงค่อยกระจายตัว เพียงไม่นานนัก ออร่าอันแข็งแกร่งได้พุ่งทะยานเข้ามา เจี้ยนสือเทียนและคณะครึ่งเซียนของตระกูลเจี้ยนเร่งรีบมาทางนี้ หลายผู้คนต่างหวาดกลัว เกาะแห่งดาบชั้นที่สอง เวลานี้ได้ความสงบกลับคืนแล้ว
เจี้ยนสือเทียนพอมาถึง เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่าง “สงสัยนักว่าผู้อาวุโสท่านใดที่นี่ข้ามผ่านทัณฑ์พิบัตินั้นไปได้?”
เขาเพียงกล่าวจบ จึงรู้สึกได้ถึงอะไรไม่ชอบมาพากล
ชายชราไว้หนวดเครายาวข้างกายของเขาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ประหลาดนัก ข้ามั่นใจ ว่านั่นเป็นทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ กระนั้น มันไม่มีทางหายไปเช่นนั้นได้ หรือจะเป็นไปได้ว่าบุคคลที่คิดข้ามผ่านทัณฑ์พิบัติถูกกำจัดไปแล้ว?”
ไม่นานจากนั้น เจี้ยนสือเทียนและคณะคนจึงเข้าสู่ตำหนักจารึกเทวะไปตรวจสอบ ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจได้รับอันใด ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยออกมาอยู่ด้านนอกตำหนักจารึกเทวะเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีคนมากมายมารับชม และเวลานี้ บุคคลคุ้นเคยกับฉินหยุนจึงปรากฏ พวกเขาคือเจี้ยนหนันหู่และเจี้ยนรั่วหยาน ข้างกายพวกเขายังมีศิษย์ตระกูลเจี้ยนอีกหลายคน
เจี้ยนหนันหู่พอเห็นเจี้ยนสือเทียนออกจากตำหนักจารึกเทวะ เขาจึงเข้าไปถาม “ท่านปู่ หรือจะเป็นพวกหน้าโง่ตระกูลหลงก่อการ? พวกมันไม่เพียงสูญเสียมังกร ทว่ามาสร้างความวุ่นวายถึงที่นี้!”
หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าวคำ “ตระกูลหลงไม่มีกำลังทำเช่นนี้ พวกเขาไม่มีทางทำได้ พวกเราควรกลับกันก่อนแล้ว”
เจี้ยนสือเทียนตะโกนบอกต่อผู้คนภายนอก “พวกเจ้าล้วนได้เห็นกระจ่างชัดแล้ว อำนาจการป้องกันเกาะแห่งดาบของเรามากล้ำ ดังนั้นนับแต่นี้จงวางใจและกลับไปทำกิจธุระต่อได้”
ผู้คนต่างกระจายตัว
มู่เฟิงหันมองทางฉินหยุนที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ เขาสงสัยว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือฉินหยุน เขาทราบกระจ่างชัดดี ว่าฉินหยุนไปยังที่ใด ที่แห่งนั้นไม่เคยมีความสงบปรากฏ ทั้งฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เวลานี้กลับคืนสู่ห้องชุดหรูหราเช่นเดิมแล้ว
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกระโดดไปมาด้วยความยินดี “พี่ชาย พวกเราทำได้สำเร็จแล้ว พวกเราทำสำเร็จ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินหยุนเวลานี้ยังไม่อาจสงบใจ “เย่ว์เหม่ย กระจกเจ้าไม่เป็นไรแน่หรือ?”
เย่ว์เหม่ยนำเอากระจกออกมาพร้อมส่งให้แก่ฉินหยุน “ไม่เป็นไร ท่านดูเองแล้วจะได้ทราบ!”
“วิเศษนัก!” ฉินหยุนพอได้พิจารณาถี่ถ้วนด้วยตนเอง เขาจึงถอนหายใจโล่งอก “นั่นคือทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์ ข้าคงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำเรื่องเช่นนี้อีกครั้งแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเบะปากกล่าวคำ “พี่ชาย ท่านขลาดกลัวเกินไปแล้ว เพียงทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์แค่หนึ่ง ท่านกลับหวาดกลัวเพียงนี้แล้วหรือ? หนทางสู่ความแข็งแกร่งคือการท้าทายสวรรค์ ภายหลังท่านยังต้องเผชิญทัณฑ์พิบัติเหล่านี้หลายต่อหลายครั้งนัก!”
นางหาได้หวั่นเกรงอันใดไม่ เพียงนั่งลงพร้อมหยิบผลไม้มากัดกิน
“ข้าเป็นกังวล ว่ากระจกเจ้าจะไม่อาจมีไว้ให้ถือได้อีก!” ฉินหยุนกล่าว
“ไม่มีใดเลย ข้าไม่หวาดเกรงใดแม้สักนิด เหตุใดท่านจึงหวาดเกรง?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะพลางโยนผลไม้ให้ฉินหยุน
ฉินหยุนรับผลไม้นั้นมากินด้วยความโล่งใจ
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยนั่งพลางยิ้ม “พี่ชาย หากท่านผสานรวมเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า อย่างนั้นหมายถึงสามารถแกะสลักอักขระเต๋าได้ทันทีใช่หรือไม่? เร่งรีบทดลองดูแล้ว!”
จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าได้ถูกสกัดอย่างเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ เหยาเฟิงยังได้ทำให้มันสงบเรียบร้อยแล้ว
ฉินหยุนที่นำไข่มุกผนึกวิญญาณออกมา เขาหันมองรอบด้านอย่างว้าวุ่น “ทัณฑ์พิบัติแห่งสวรรค์นั่นคงไม่ปรากฏอีกครั้งกระมัง?”
“อย่าได้กังวลมันไป เร่งรีบผสานรวมได้แล้ว!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินเข้ามาพร้อมกล่าวเร่ง
ด้วยหลิงหยุนเอ๋อช่วยเหลือ ฉินหยุนจึงผสานเข้ากับจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าอย่างรวดเร็ว พริบตาที่เขาผสานรวมกับมัน ความรู้สึกวิเศษเกินบรรยายได้ปรากฏรอบกายเขา ฉินหยุนนำเอากระดาษยันต์ออกมา จากนั้นจึงนำปากกาลึกล้ำสะท้อนจิตออกมา ก่อนจะเริ่มวาดอักขระเต๋าที่ตัวพวกมัน จำนวนอักขระเต๋าที่เขาเชี่ยวชาญมีไม่ใช่น้อย ทั้งยังเป็นอักขระเต๋าชั้นเลิศ คิ้วของฉินหยุนขมวดเล็กน้อยยามแกะสลักอักขระเต๋า
“ต้องใช้พลังจิตมากมายนัก”
ฉินหยุนหลั่งเหงื่อออกมาจำนวนมาก เขารู้สึก ว่าจิตจันทราทมิฬของเขาถูกใช้งานพลังจิตอย่างหนักหน่วง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สีหน้าฉินหยุนจึงซีดเผือด กระนั้น เขาก็สร้างยันต์เต๋าขึ้นมาได้สำเร็จ
“ข้ารู้สึกไม่ต่างอะไรกับคนใกล้ตาย!” ฉินหยุนสูดลมหายใจยาว จากนั้นจึงเก็บปากกาลึกล้ำสะท้อนจิต ก่อนจะนอนลงกับโต๊ะอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามาหามร่างฉินหยุนไปนอนบนเตียง
“ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แต่กลับสร้างยันต์เต๋าได้แล้ว พี่ชายข้าเลิศล้ำยอดเยี่ยมเสมอมา!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมองที่ฉินหยุนพลางลูบใบหน้าของเขาพร้อมยิ้มกล่าว
เวลานี้ คนผู้หนึ่งเคาะประตูดังขึ้น เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเร่งรีบไปเปิดประตู เป็นสองสตรีก้าวเดินเข้ามา ใบหน้ามีผ้าคลุมปิดบัง หลังได้เห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ย พวกนางจึงค่อยถอนผ้าคลุมออกจากใบหน้า
ผู้หนึ่งที่เข้ามา สวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงงดงามประหนึ่งชนชั้นสูง ตัวนางงดงาม ใบหน้าประหนึ่งหยกทรงกลมที่มาพร้อมรอยยิ้มเปรียบดังสายน้ำอันอ่อนนุ่ม เป็นสื่อชิงเฉิง
อีกหนึ่งสวมใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงิน เป็นสุ่ยเทียนสื่อ เรือนร่างของนางร้อนแรง ดวงตาของนางงดงามประหนึ่งหยาดน้ำมีเสน่ห์ดึงดูดพร้อมเกาะกุมจิตวิญญาณผู้คน
นางสัมผัสใบหน้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยก่อนจะยิ้มกล่าว “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าเรียกหาพวกเราเช่นนี้? มีเรื่องด่วนหรือ?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะซุกซน “พี่สุ่ย พี่ชายกลับมาแล้ว เขากำลังเหนื่อยล้า ตอนนี้ต้องได้รับการดูแลอยู่พอดี ไม่ใช่ท่านหรือที่เฝ้ารอเวลานี้มาตลอด?”
สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงหันมองหน้ากันเองอย่างตื่นตะลึง จากนั้นฝีเท้าค่อยเร่งรีบเดินเข้าในห้อง เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอปิดประตูแล้ว นางจึงเดินไปยังห้องฉินหยุน
“เป็นน้องหยุนจริงด้วย!” สุ่ยเทียนสื่อยามได้เห็นฉินหยุน นางหัวเราะยินดีพร้อมก้าวเดินเข้าหา มือขาวนวลนุ่มนิ่มทั้งสองยื่นไปยังเสื้อผ้าของฉินหยุนพลางจับโน่นนั่นไปทั่ว
“วิญญาณร้ายวารี! นี่เจ้ายังมียางอายหรือไม่?” สื่อชิงเฉิงไม่คิดนิ่งเฉยรับชม นางเข้าไปดึงร่างอีกฝ่ายออกมา
“ข้าเพียงสัมผัสดูว่าเป็นน้องหยุนตัวจริงหรือไม่ ได้สัมผัสแล้วข้าจึงค่อยรู้สึกว่าเป็นคนจริง!” สุ่ยเทียนสื่อจ้องมองสื่อชิงเฉิงที่เผยโทสะเล็กน้อย นางยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นจงไปสัมผัสด้วยตนเอง!”
เวลานี้ สุ่ยเทียนสื่อยิ่งไม่ยั้งมือ นางตรงเข้าวางมือที่หน้าท้องฉินหยุน ก่อนจะพยายามลูบไล้ลงสู่เบื้องล่าง
ฉินหยุนพลันเบิกตาพร้อมคว้ามือขาวของสุ่ยเทียนสื่อเอาไว้ เขายิ้มกล่าว “พี่สุ่ย ข้าเป็นฉินหยุนตัวจริง ท่านไม่ต้องสัมผัสเพื่อยืนยันใดแล้ว มั่นใจได้ ว่าข้าผู้นี้คือฉินหยุน!”