Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน - ตอนที่ 763 : เด็กหนุ่มนามเชี่ยวหยุน
ฉินหยุนเดิมเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ทว่าสุ่ยเทียนสื่อคิดฉวยโอกาสต่อเขา ทำให้ต้องเร่งรีบตื่นขึ้นมารับมือ หลังจากที่มือของสุ่ยเทียนสื่อถูกฉินหยุนคว้าเอาไว้ ร่างงดงามของนางคล้ายอ่อนยวบก่อนจะโน้มลงที่บนร่างของฉินหยุน และเวลานี้ นางยังคงเผยรอยยิ้มราวกับผู้หิวกระหาย
“พี่สุ่ย ข้าเหนื่อยมาก ข้าต้องการพัก!” ฉินหยุนไม่คิด ว่าไม่ได้พบสุ่ยเทียนสื่อหลายปี นางจะถึงขั้นกล้าลงไม้ลงมือเพียงนี้
ด้วยความเป็นภูติสาวเย้าเสน่ห์เช่นนาง ยามนี้ร่างอ่อนช้อยงดงามนั้นกลับสวมกอดเขาเอาไว้อย่างไม่คิดหยุดลงมือ
“น้องหยุน ให้พี่สาวผู้นี้ร่วมพักผ่อนกับเจ้าแล้ว!” ร่างของสุ่ยเทียนสื่อทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นหอมหวานยังเย้ายวน ขณะที่ถูกนางสวมกอดเอาไว้ ฉินหยุนรู้สึกคล้ายอ่อนแรงยากต้านทาน
สื่อชิงเฉิงเผยยิ้มกล่าวคำ “วิญญาณร้ายวารี น้องสาวของเย่ว์หลานยังอยู่ที่นี่และจับตา! เย่ว์หลานเป็นภรรยาของฉินหยุน!”
สุ่ยเทียนสื่อกล่าวอย่างไม่ยินดี “ข้าก็ไม่ได้ทำอันใดต่อน้องหยุนแม้เพียงนิด ข้าเพียงไม่ได้พบเจอเขามาหลายปี ดังนั้นย่อมต้องคิดถึงขนาดร่วมพักผ่อนไปด้วยเพื่อคลายความรู้สึกนั้น!”
ฉินหยุนลอบลูบที่ต้นขาของสุ่ยเทียนสื่อ มันยิ่งทำให้นางเผยยิ้มดึงดูดอย่างมากล้ำยิ่งขึ้น
สุ่ยเทียนสื่อย่อมได้เห็นว่าฉินหยุนเหนื่อยล้าเพียงใด นางจึงจูบเบาที่ใบหน้าของเขาพร้อมเผยยิ้มบาง “ก็ได้ เจ้าพักให้ดี”
เวลานี้ ฉินหยุนค่อยได้สูดลมหายใจเข้าลึก มันทำให้เขานึกถึงปิงชิง นางผู้นั้นคือผู้ฉวยโอกาสต่อเขาในทางลับ ขณะที่สุ่ยเทียนสื่อกระทำอย่างเปิดเผย!
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะดัง “เสี่ยวหยุนเอ๋ย ภูติสาวนางนี้คล้ายคิดอยากทำที่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ!”
สุ่ยเทียนสื่อ สื่อชิงเฉิง และเชี่ยวเย่ว์เหม่ยต่างนั่งในห้องรับรอง พวกนางปล่อยให้ฉินหยุนได้พักผ่อน ย้อนกลับไปครั้งนครจันทราโกลาหล พวกนางปล่อยให้ฉินหยุนและเชี่ยวเสวียนฉินอยู่ด้วยกันและกลับไปก่อน กระนั้น สุดท้ายแล้วมีแต่เชี่ยวเสวียนฉินที่กลับมา หลังได้ทราบว่าฉินหยุนติดอยู่ในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬที่อันตรายยิ่ง พวกนางยิ่งกังวล สุ่ยเทียนสื่อกระทั่งร้องไห้โฮออกมา
“เย่ว์เหม่ย นี่น้องหยุนมาพบเจ้าเมื่อใดกัน?” สุ่ยเทียนสื่อเอ่ยถาม
“หลายวันก่อน” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยยิ้มขี้เล่น
“เฮอะ! ชายผู้นี้… เป็นเขาเมินข้าและชิงเฉิงเพราะแก่กว่าอย่างนั้นหรือ? เพราะเหตุนั้นจึงไม่มาพบพวกเรา?” สุ่ยเทียนสื่อครวญครางเบาออกมา
“เย่ว์เหม่ย ยังมีผู้ใดอีกที่ทราบว่าฉินหยุนกลับมา? ได้บอกต่อฉีเย่ว์และเสวียนฉินหรือยัง? พวกนางทั้งสองต่างก็อยู่ที่นี่” สื่อชิงเฉิงเอ่ยถาม
“ข้ายังไม่ได้แจ้งไป! ข้าคิดไม่ให้พวกนางรับรู้ไปชั่วคราว! ก่อนหน้านี้ ท่านทั้งสองได้บอกกล่าว ว่าพร้อมติดตามพี่ชายข้าไปชั่วชีวิตและเป็นผู้ช่วยเหลือ! เพราะเหตุนั้นข้าจึงติดต่อหาพวกท่าน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยลูบแก้มสื่อชิงเฉิงก่อนจะเผยยิ้มซุกซน “พี่สาวซาลาเปานึ่ง ใบหน้าท่านช่างวิเศษ! ข้านึกเสียใจนักที่พี่ชายชื่นชอบลูบใบหน้าท่านเพียงนี้!”
สื่อชิงเฉิงดึงมือซุกซนของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยออกไป นางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงเจือปนความโกรธ “เด็กน้อย อย่าได้กระทำตามอำเภอใจ!”
ใบหน้าของสุ่ยเทียนสื่อพลันเผยร่องรอยความกังวล นางกล่าว “เย่ว์เหม่ย สถานะของฉินหยุนตอนนี้อันตรายงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงยังไม่แจ้งให้ฉีเย่ว์และเสวียนฉินได้ทราบ?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยส่ายศีรษะ “พี่ชายยอดเยี่ยม ยังมีอันตรายใดย่างกรายต่อเขา? สาเหตุที่ข้าไม่บอกให้พวกนางได้รู้ ก็เพราะข้ากังวลว่าทั้งสองจะมาที่นี่ สถานะของพี่หยางจึงอันตราย นางมีผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่คอยคุ้มกันด้วยซ้ำ!”
สื่อชิงเฉิงมองทางห้องของฉินหยุนและกล่าวถาม “เย่ว์เหม่ย เสี่ยวหยุนจะเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบด้วยหรือ? เขาจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “การแข่งขันจารึกลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ภายหลังค่อยลงทะเบียนงานประลองยุทธ์ วางใจ แม้พี่ชายยังไม่ก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ก็ยังมีดีมากพอให้จัดการลิงไพร่เช่นเจี้ยนหนันหู่อย่างไร้ซึ่งปัญหา!”
สุ่ยเทียนสื่อเผยความกังวล นางขมวดคิ้วกล่าวคำ “เสี่ยวหยุนของข้า สรุปแล้วนี่เขาผ่านเรื่องราวอันตรายน่าหวาดกลัวเพียงใดจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ? เป็นเขายังไม่อาจก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ เสี่ยวหยุนช่างน่าสงสารนัก พี่สาวผู้นี้คงต้องช่วยให้เขาได้ผ่อนคลายทางกายและอารมณ์ให้มากกว่านี้!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเริ่มบอกเล่า ถึงสาเหตุที่ฉินหยุนถูกถ่วงรั้งในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นั่นก็เพราะช่องว่างกาลอวกาศ ฉินหยุนพักอยู่หลายชั่วยาม สุดท้ายค่อยฟื้นคืนกลับมาดีดังเดิม เมื่อออกมาแล้ว สุ่ยเทียนสื่อพลันก้าวเดินเข้ามาเกาะกุมแขนของเขาเอาไว้
เห็นได้ชัด ว่าฉินหยุนเริ่มคล้อยตามการหยอกเย้าของภูติสาวตรงหน้า ฉินหยุนที่เดินมานั่งเรียบร้อย สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงจึงพร้อมใจกันนำเอากระเป๋ามิติเก็บของออกมาจำนวนหนึ่ง
“เหล่านี้คือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ผลึกแก้วแกนกลางสัตว์อสูรดวงดาว! ให้แก่เจ้า!” สื่อชิงเฉิงกล่าว
ฉินหยุนรับกระเป๋าเหล่านี้มารับชม ภายในต้องลอบตื่นตะลึง กระเป๋าทั้งหก มันบรรจุเอาไว้ซึ่งผลึกแก้วแกนกลางสัตว์อสูรดวงดาวอยู่จำนวนมาก
สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มกล่าวคำ “เสี่ยวหยุน พวกเรารอเจ้ามาหลายปีนัก พวกเราที่ไม่มีอันใดทำ จึงแวะเวียนไปเทือกเขานิราศจันทรา สังหารสัตว์อสูรดวงดาวเหล่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นพวกเราหามาเพื่อมอบให้แก่เจ้า!”
“ขอบคุณท่านทั้งสองแล้ว!” ฉินหยุนตื้นตัน
“เสวียนฉินก็มีมากมายไม่แพ้กัน!” สื่อชิงเฉิงเผยยิ้มบาง “แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่การมอบให้โดยเปล่า เจ้าต้องสร้างอุปกรณ์ให้แก่พวกเราด้วย!”
ฉินหยุนยื่นมือออกไปพลางยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มลูบไล้ใบหน้าของสื่อชิงเฉิงก่อนจะกล่าวคำ “พี่สาวซาลาเปานึ่ง แม้ท่านไม่มอบของเหล่านี้แก่ข้า ข้าก็ย่อมช่วยพวกท่านสร้างอุปกรณ์ให้!”
ถูกฉินหยุนลูบใบหน้าอยู่พักหนึ่ง สื่อชิงเฉิงจึงค่อยดึงมือมารนั้นออกไป
สุ่ยเทียนสื่อย่อมเกิดนึกอิจฉา นางฮึมฮัมเผยความโกรธออกมาคำเบาพร้อมกล่าว “เสี่ยวหยุน ข้ายินดีให้เจ้าลูบได้ทุกส่วนทั้งเรือนร่าง นี่ย่อมต้องดีกว่าใบหน้าของพี่สาวซาลาเปานึ่งของเจ้า!”
“พวกท่านทั้งสองกล่าว ว่าจะติดตามข้าและเป็นผู้ช่วยเหลือข้าใช่หรือไม่?” ฉินหยุนยิ้มถาม
“ใช่ ใช่!” สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง ทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกัน
“ไม่ใช่พวกท่านเข้าร่วมเกาะจันทราปีศาจแล้วหรือ? ตอนนี้คิดอยากติดตามข้า นี่คล้ายไม่ดีเท่าใดกระมัง?” ฉินหยุนถามขึ้น
“นั่นไม่สำคัญสักนิด! เกาะจันทราปีศาจแทบไม่เข้มงวดอันใด ยิ่งไปกว่านั้น ฉีเย่ว์ก็เป็นผู้นำของเกาะจันทราปีศาจ นางจะยิ่งยินดีหากพวกเราได้เป็นผู้ช่วยเหลือให้แก่เจ้า!” สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มยั่วยวนพร้อมเดินเข้าหา นางเริ่มนวดคลึงแผ่นหลังของฉินหยุน
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวคำขึ้น “เอาละ เอาละ! ตอนนี้ข้าคิดเปลี่ยนรูปลักษณ์พี่ชายเสียหน่อย! เพื่อที่พี่ชายจะได้เข้าร่วมงานแข่งขันจารึก พวกท่านกล่าว ว่าข้าควรเปลี่ยนเขาเป็นสตรีดีหรือไม่?”
“ดี ดี ดียิ่งนัก!” สุ่ยเทียนสื่อหัวเพราะพร้อมกล่าวคำย้ำ
“ดีที่ตรงใดไม่ทราบ!” ฉินหยุนจ้องมองที่สุ่ยเทียนสื่อพลางลูบที่ต้นขาของนาง ทำเอานางต้องเผยเสียงครวญครางเบาออกมา!
ความสามารถเทวะของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเหนือล้ำ มันสามารถแปรเปลี่ยนฉินหยุนเป็นคนหนุ่ม กระทั่งรูปลักษณ์โครงสร้างร่างกายยังแปรเปลี่ยนอย่างมหาศาล ตัวเขาเวลานี้ยังคงหล่อเหลาดังเช่นก่อนหน้า ฉินหยุนมองตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มพึงพอใจ
ถัดจากนั้น เขาจึงออกไปเดินเล่นทั่วตำหนักจารึกเทวะ กระทั่งเดินผ่านตรงหน้ามู่เฟิง กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่คล้ายจดจำได้ เพื่อทำให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกจดจำได้ เขาจึงตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไปยังโรงสุรา ที่แห่งนี้ศิษย์ของตระกูลเจี้ยนมาบ่อยครั้ง ภายใน เขาได้เห็นเจี้ยนรั่วหยานและเจี้ยนหนันหู่ กระนั้น คนทั้งสองคล้ายไม่อาจจดจำเขาได้ เช่นนี้ ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงเดินเตร่ไปทั่วเมืองอยู่หลายวัน
สุดท้ายแล้ว การแข่งขันจารึกก็ใกล้ถึงวันแข่ง
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันจารึก เพื่อให้มีแต่อาจารย์จารึกที่แข็งแกร่งในการแข่งขัน มันจึงมีการคัดกรอง ตระกูลเจี้ยนเพิ่มค่าลงทะเบียนเป็นหนึ่งพันล้านเหรียญม่วง หากเป็นผู้เยาว์และเข้าถึงยี่สิบอันดับแรก เช่นนั้นจะได้รับค่าลงทะเบียนกลับคืน
สำหรับอาจารย์จารึกที่แข็งแกร่ง หนึ่งพันล้านเหรียญม่วงแทบไม่นับเป็นอะไร เรื่องนี้ย่อมไม่นับเป็นไรสำหรับฉินหยุนเช่นกัน บรรดาอาจารย์จารึกที่เข้าร่วมการแข่ง เวลานี้ต่างเดินทางมาถึง พวกเขามายังที่นี้พร้อมเงินหนึ่งพันล้าน ด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับอักขระตะวัน
รายชื่อของอาจารย์จารึกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมถูกประกาศออกมา จำนวนมีทั้งสิ้นหลายร้อย เหล่านั้นล้วนเป็นตัวตนอาจารย์จารึกลึกล้ำและอาจารย์จารึกเต๋า
ตามรายงาน มีอาจารย์จารึกเต๋ามากกว่าร้อยคนมารวมตัวกันในที่นี้ พวกเขาต่างมาจากแคว้นทั้งหลายของแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก
ผู้คนคาดเดา ว่าอาจารย์จารึกเต๋าที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ กล่าวได้ว่าเป็นอัตราส่วนแปดในสิบของอาจารย์จารึกเต๋าจากทั่วทั้งแดนวิญญาณอ้างว้างเขตแดนนอก ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์จารึกเต๋าหลายคนยังลงทะเบียนด้วยชื่อปลอม ชัดเจนว่าพวกเขาไม่คิดให้ผู้อื่นได้ทราบ ว่าผู้ชนะได้รับอักขระตะวันไปแท้จริงคือผู้ใด
เวทีการแข่งขันจัดขึ้นที่ตำหนักใหญ่ภายในค่ายอาคมใหญ่เจ็ดดาบ เวทีตรงกลางกว้างใหญ่ อาจารย์จารึกหลายร้อยคนรวมตัวกันที่นี้ เรื่องน่าสนใจก็คือ อาจารย์จารึกหลายท่านต่างสวมใส่หน้ากาก แน่นอนว่า ผู้ซึ่งดึงดูดความสนใจที่สุดเป็นเจี้ยนหลิงหลง ในการแข่งขันจารึก ไม่เพียงแต่เจี้ยนหลิงหลงเป็นตัวแทนตระกูลเจี้ยน แต่นางยังเป็นตัวแทนของนครเซียนยุทธภัณฑ์
“ไม่ทราบว่าเจี้ยนหลิงหลงเกิดอันใดขึ้น นางถึงขั้นไปยังนครเซียนยุทธภัณฑ์!”
“จริง และตำหนักเซียนดาบก็ถึงกับยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
“ข่าวลือว่านางโดนฉินหยุนล่อลวงไป ฉินหยุนผู้นั้นเชี่ยวชาญโทเทมมากมาย ดังนั้นนางจึงติดกับได้โดยง่าย!”
“นั่นไม่จริง! ข้าได้ยินว่าบรรดาอาจารย์จารึกเต๋าแห่งตำหนักเซียนดาบล้วนถี่เหนียว! พวกเขาไม่คิดแบ่งปันอักขระเต๋าที่ดีแก่นาง ดังนั้นเจี้ยนหลิงหลงจึงจากไปด้วยโทสะ!”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง? ไม่ใช่ว่าเจี้ยนหลิงหลงครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋าหรือไร? เหตุใดตำหนักเซียนดาบไม่มอบอักขระเต๋าที่ดีแก่นาง?”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ หากตาเฒ่าถี่เหนียวพวกนั้นมอบอักขระเต๋าที่ดีแก่เจี้ยนหลิงหลง ถึงตอนนั้นพวกเขาก็โดนนางทิ้งห่างแล้ว!”
หลายคนต่างพูดคุยกันอย่างออกรสถึงเรื่องของเจี้ยนหลิงหลง
ผู้ชมที่นี่ครึกครื้น อัฒจันทร์ชั้นแล้วชั้นเล่าอัดแน่นด้วยผู้คน พวกเขามาจากหลายแคว้น บ้างก็มีตำแหน่งสำคัญในแคว้น บ้างมาเป็นผู้มีสถานะพิเศษ เพราะงานครั้งนี้ คือการรวมตัวกันของขั้วอำนาจใหญ่พร้อมเหล่าศิษย์ เปาเฉิงโฉ่วและเจี้ยนสือเทียนนั่งอยู่ด้วยกัน ใบหน้าเจี้ยนสือเทียนเวลานี้น่าเกลียดไม่ใช่น้อย
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “จ้าวสำนักดาบ อย่าได้ใส่ใจเรื่องข่าวลือไร้สาระเช่นนั้นไปเลย”
เจี้ยนสือเทียนแค่นเสียง เนื่องด้วยข่าวลือเหล่านั้นล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น
หลายปีผันผ่าน หลายผู้คนที่นี่ยังจดจำเรื่องฉินหยุนได้ ยามใดเอ่ยถึงเรื่องของฉินหยุน เปาเฉิงโฉ่วและฉู่ปินอวี้จะถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย แม่เฒ่าหยุนเหยา เชี่ยวเสวียนฉิน หยางฉีเย่ว์ สื่อชิงเฉิง และสุ่ยเทียนสื่อ พวกนางเวลานี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากเปาเฉิงโฉ่วเท่าใดนัก
“จ้าวสำนักฉู่ ท่านไม่เข้าร่วมหรือ?” ฮูจิงเซียนยิ้มกล่าวถาม
“ไม่เข้าร่วม มันมีแต่ทำข้าเสียเหรียญม่วงโดยเปล่า!” ฉู่ปินอวี้ส่ายศีรษะพลางหัวเราะ “หากเข้าร่วม ข้าคงไม่มีทางเข้าถึงแม้ยี่สิบอันดับแรก!”
แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าวคำ “นครเซียนยุทธภัณฑ์ เจี้ยนหลิงหลงครอบครองจารึกวิญญาณจ้าวเต๋า หากแข่งขันแกะสลักอักขระเต๋า ก็เป็นไปได้สูงยิ่งว่านางจะได้อันดับหนึ่งไปครอง!”
เจี้ยนสือเทียนกล่าว “การแข่งขันนี้ย่อมไม่ให้พวกเขาได้แกะสลักอักขระเต๋า ดังนั้นแล้ว จารึกวิญญาณจ้าวเต๋าของหลิงหลงย่อมไม่มีเปรียบใด”
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “พวกเจ้าคล้ายจงใจวางเรื่องราวไว้เป็นอย่างดีแล้วกระมัง?”
เจี้ยนสือเทียนค่อนข้างไม่ยินดีที่ถูกทราบ “เจ้าอย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ ทุกอย่างเป็นไปอย่างยุติธรรม กล่าวกันตามตรง ผู้มีพรสวรรค์มีมากมาย ผู้ที่เหนือล้ำกว่าอาจารย์จารึกเต๋าบางทีอาจใช้แค่อักขระลึกล้ำ!”
แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าว “เป็นเช่นนั้น! ผู้มีพรสวรรค์ คิดสร้างอุปกรณ์เต๋าเพียงแค่อักขระลึกล้ำยังสามารถกระทำ!”
มู่เฟิงเองก็เข้าร่วม เวลานี้เขาหันมองรอบ พบว่ามีบุคคลหนึ่งนามเชี่ยวหยุน หลังพิจารณาให้ดี เขาจึงได้พบเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยซุกซนร่างเล็กและเตี้ย ที่หน้าอกมีป้ายเขียนประดับไว้สองคำ “เชี่ยวหยุน”
“เหล่ามู่ อย่าได้เปิดโปงข้า!” ฉินหยุนเร่งรีบส่งเสียงสื่อสารร้องบอกต่อมู่เฟิง
มู่เฟิงไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ มันทำเขานึกย้อนถึงกาลก่อน ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ ครั้งหนึ่งก็เคยมายืนหยัดที่ตรงหน้าเขาเมื่อนานมาแล้ว!