Nine Sun God King เทพราชันเก้าตะวัน - ตอนที่ 797 : ยักษ์ไร้เศียร
ตอนที่ 797 : ยักษ์ไร้เศียร
ได้ยินคําของฉินหยุน ความโกรธแค้นในใจหลันซูเหยาเวลานี้แทบไม่อาจบรรยายกล่าวออกได้เพราะนางเพิ่งรู้สึก ว่าตนเองถูกลวงหลอกครั้งใหญ่ เมื่อครู่นางคิดว่าฉินหยุนมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่เป็นนางคิดว่าเบื้องหน้าแท้จริงมีกับดักคงอยู่ กระนั้นตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกลลวงที่ฉินหยุนสร้างขึ้นทั้งสิ้น
ผู้แรกที่เร่งรีบทะยานร่างไป คือกลุ่มคนของเปาเฉิงโจ่วและเจี้ยนสือเทียน พวกเขาทะ ยานออกประจําตําแหน่งเคียงข้างฉินหยุน เป็นการคุ้มกันบัลลังก์ราชันมังกรทองม่วงเอาไว้
ได้เห็นเปาเฉิงโฉ่วและคณะตั้งป้องกัน หลันซูเหยาจึงก้าวเดินอย่างพิโรธเข้าหา
“ฉินหยุน สิ่งที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่นี้เป็นจริงหรือไม่? เจ้าอย่าได้คิดว่าจะลวงหลอกข้าได้อีก!” น้ํา เสียงของหลันซูเหยาอัดแน่นด้วยโทสะ
“สิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ล้วนเป็นจริง ไม่มีอันใกลวงหลอกแม้เพียงนิด!” ฉินหยุนกล่าวอย่างสบายกายและใจ “แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกไม่เชื่อข้า และค้นหาทางออกจากที่นี่ด้วยตนเองได้!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอได้ยินคํากล่าวฉินหยุน ตอนนี้นางมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าทั้งหมดเป็นคําลวงทั้งเพเพราะนี่คือเคล็ดลับการลวงหลอกที่นางเคยสอนไว้ก่อนหน้า เพื่อทําให้คํากล่าวทั้งหมดยังดูเป็นจริงแม้ลวงหลอก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ฉินหยุนกล่าวยังจริงครึ่งเท็จครึ่ง
หากผู้คนไม่อาจทราบว่าอันใดเท็จ และอันใดจริง เช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่ต้องเชื่อ โดยเฉพาะกับสถานการณ์เช่นตอนนี้ ไม่มีผู้ใดทราบวิธีการออกไป ทว่าฉินหยุนไม่ติดข้อจํากัดของค่ายอาคมในที่นี้ ดังนั้นแล้ว แม้หลันซูเหยาเกิดความสงสัยมากมายเพียงใด นางก็ทําได้เพียงแต่ต้องเชื่อ
“ฉินหยุน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรแล้ว?” เจี้ยนหลิงหลงเอ่ยถาม
“ก้นข้าไม่อาจเคลื่อนออกจากบัลลังก์นี้ได้ และก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” ฉินหยุนฝืนยิ้มออก “ทันทีเมื่อมาถึงที่นี่ ข้าก็มุ่งตรงมา นั่งที่บัลลังก์นี้ และจากนั้นก็ไม่อาจขยับไปไหนได้แล้ว!”
ผู้ปกครองแพะภูตผีกล่าวเสียงเบา “เจ้าเด็กนี่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลบหนีจึงเสแสร้ง ข้ากล้ากล่าวว่าทุกถ้อยคําที่มันกล่าวออกมาก่อนหน้าล้วนลวงหลอก เป็นมันกล่าวออกเช่นนั้นเพื่อไม่ให้องค์ราชินีซูเหยาตรวจสอบ!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงยิ้มกล่าว “ต่อให้นางคิดอยากตรวจสอบ แล้วนางจะคิดตรวจสอบอันใด?”
ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา ตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าเชื่อคํากล่าวก่อนหน้านี้ของฉินหยุน แม้พวกเขาไม่เชื่อ ก็ได้แต่ต้องร่วมมือกับหลันซูเหยา ในที่นี้ นอกจากฉินหยุนแล้ว ยอดฝีมีอผู้อื่นล้วนหวาดกลัวหลันซูเหยา เพราะเนตรศักดิ์สิทธิ์ของนาง มันสามารถปลดปล่อยพลังลึกลับประหลาดที่สามารถแปรเปลี่ยนผู้คนเป็นหินสีน้ําเงินได้
ด้วยนั่งอยู่บนบัลลังก์ ฉินหยุนพยายามทุกวิธีที่น่าจะเป็นไปได้ กระนั้นเขาก็ไม่อาจเคลื่อนไหวออกก่อนหน้า เขาทดลองใช้เลือดมังกรประหลาดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจํากัดของค่ายอาคมได้ กระนั้นตอนนี้กลับไม่อาจ
เจี้ยนหลิงหลงตรวจสอบบัลลังก์พร้อมกล่าว “บัลลังก์นี้ไม่มีอักขระใด!”
“จริงหรือ? อย่างนั้นแล้วมันดึงข้าไว้จนไม่อาจขยับได้อย่างไร?” ฉินหยุนเกิดความอับจน
“เจ้าลองเฉือนนั่นเนื้อก้นเจ้าออกดู! ด้วยกําลังเจ้า คิดฟื้นฟูสมควรเป็นเรื่องง่ายดาย!” หลันซูเหยากล่าวด้วยน้ําเสียงเย็นเยือก
“ข้าย่อมไม่ทํา!” แม้ฉินหยุนครอบครองพลังฟื้นฟูสูงล้ํา ทว่าเพียงคิด เขาก็หวาดเสียวแทบตายแล้ว
หลันซูเหยานึกย้อนถึงเรื่องราวที่ฉินหยุนตบก้นนางก่อนหน้า ความโกรธแค้ นในใจพลันพวยพุ่งขึ้นมา
เซียนเฒ่าเต่าพลันเอ่ยคํา “สังเวยชีวิต… ต้องเป็นเช่นนี้แน่แล้ว! บุคคลผู้นั่งบัลลังก์ต้องตาย! นี่จึงเป็นวิธีการที่พวกเราจะไปยังพื้นที่ถัดไปได้!”
ผู้ปกครองแพะภูตผีพอได้ยินจึงเร่งรีบตะโกนกล่าว “องค์ราชินีซูเหยา ขอท่านเร่งรีบสั่งหารฉินหยุนเช่นนั้นพวกเราจะได้ไปต่อ!”
“ตาเฒ่าเต่าบัดซบ!” ฉินหยุนสบถออกดัง
“อาจารย์ ท่านกล่าวแล้วว่าจะไม่ทําร้ายเขา!” สื่อชิงเฉิงกล่าวเสียงเบา
“วางใจ ข้าย่อมไม่สังหารมัน!” หลันซูเหยาหันมองทางเซียนเฒ่าเต่าพร้อมถาม “นอกจากวิธีนี้ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”
“ย่อมไม่มี พวกเราได้แต่ต้องสังหารมัน! ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ไม่อาจไปยังพื้นที่ถัดไปได้!” เซียนเฒ่าเต่าสายศีรษะ
คิ้วของสื่อชิงเฉิงขมวดมุ่นขณะกล่าวคํา “ยังมีวิธี สังเวยเลือด!”
นางจําได้ ว่าพิธีกรรมสังเวยทั้งหลาย มันจําเป็นต้องสังเวยเลือดจํานวนมาก
“ก็ได้ ข้าทําเองก็ได้… จริงด้วย ผู้อื่นล้วนถอยไปก่อน ข้ากังวลว่ามันอาจเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก็เป็นได้!” ฉินหยุนนํามีดออกมา เฉือนนั่นเข้าที่มือตนเองเปิดปากแผล ก่อนจะปล่อยให้เลือดหยดไหลลงที่บัลลังก์ราชัน
ทันทีเมื่อเลือดหยดลงที่บัลลังก์ มันจึงถูกดูดหายวับกับตา
“ล้วนถอยให้ห่างออกไปแล้ว!” ฉินหยุนพลันตะโกนดัง “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ผันแปร!”
“นี่เจ้าไม่มีปัญหาแน่หรือ?” เจี้ยนหลิงหลงร้อนใจ
“ข้าไม่เป็นไร ท่านเร่งรีบไป! เร็วเข้า!” ฉินหยุนกล่าวเร่ง
หลันซูเหยาเผ่นหนีก่อนผู้อื่น นางนําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อตามติดเผ่นหนีจากบัลลังก์ไปยังพื้นพระราชวังเบื้องล่าง ไม่นานจากนั้น เปาเฉิงโจ่วและคณะต่างตามติดมาถึง
ต้ม ตุ้ม!
ทั่วทั้งพระราชวังเริ่มสั่นไหว!
ฉินหยุนหยดเลือดลงไปต่อ ตอนนี้เขาสามารถออกจากบัลลังก็ได้แล้ว!
“บัลลังก์นี่เป็นของดี ต้องเก็บมันไว้เ” ฉินหยุนกล่าวพร้อมนําบัลลังก์ยกขึ้นเก็บมันไป
ตอนนี้เอง กรงเล็บสีดําพลันทะยานปรากฏจากเบื้องล่างบัลลังก์ มันคล้ายสัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ได้เห็นกรงเล็บปรากฏ หลายคนต่างสะดุ้งตระหนกตกใจ ฉินหยุนคํารามร้องบินทะยานมุ่งหน้าไปทางเจี้ยนสือเทียนและคณะ
“คุก คุก คุก…” เสียงหัวเราะประหลาดดังตามมา พื้นที่เบื้องล่างบัลลังก์กลับเกิดการระเบิด เผยหลุมปรากฏอสูรกายร่างสูงหลายเมตรคลุกคลานขึ้นมา อสูรร้ายตัวนี้คล้ายมนุษย์ที่ศีรษะใหญ่ภายในศีรษะของมันประกอบด้วยดวงตาสี่เหลี่ยม มีสองมือเปรียบดังขาปลาหมึกที่มีรยางค์จํานวนมาก ทั้งร่างเป็นสีดําสนิท มันมีสองปาก และเมื่อครู่ มันได้ส่งเสียงหัวเราะประหลาดชวนขนลุกออกมา
“เลือดเจ้าช่างเลิศรสนัก อย่าได้คิดหนีแล้ว คุก คุก คุก”
อสูรกายตนนี้หัวเราะดังขณะมองฉินหยุนด้วยดวงตาสี่เหลี่ยมที่มีอัคคีเพลิงลุกโชน ก่อนจะปรากฏลําแสงสีแดงที่ด้านหลังของฉินหยุนในพริบตา ทันใดนี้เอง หลันซูเหยาจึงปรากฏตัวข้างฉินหยุนนางโจมตีใส่อัคคีเพลิงสีแดงนั้นด้วยฝ่ามือ
ตู้ม!
แรงระเบิดหลายระลอกดังต่อเนื่อง แสงสว่างสีแดงและน้ําเงินวูบวาบปรากฏ แรงสั่นสะเทือนผ่านอากาศส่งผลให้พื้นที่ยืนหยัดต้องสั่นตาม กระทั่งว่าพระราชวังทองคําแห่งนี้โดนการโจมตีรุน แรงหลายครั้งครา กระนั้นหากมอง จะพบว่ามันไม่ได้รับความเสียหายใดฉินหยุนยังอยู่ ข้างเงี้ยนสือเทียนและคณะ เมื่อครู่เขาเกือบถูกจู่โจมใส่
เจี้ยนสือเทียนตะโกนถาม “แม่นางซูเหยา ต้องการให้ช่วยหรือไม่?”
น้ําเสียงเย็นเยียบของหลันซูเหยาดังตอบ “ไม่จําเป็น!”
ยามเมื่อนางพุ่งทะยานเข้าหาหมอกสีแดงและน้ําเงินตรงหน้า ดวงตาสี่เหลี่ยมของอสูรกายจึงเรืองแสงสีแดง ก่อนจะยิงออกมาซึ่งแสงสีแดงนับไม่ถ้วน มันกลับกลายเป็นส่องสว่างทั่วทั้งพระราชวังด้วยสีแดงฉาน เป็นผลให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่ในโลกแห่งโลหิต
“ระวังแสงสีแดงพวกนี้!” ดวงตาของหลันซูเหยาเผยแสงออกเช่นกัน มันสาดส่องจากใบหน้าของนาง ขวางสกัดต้านรับแสงสีแดงที่โจมตีเข้าใส่
เจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่ว สองจ้าวสํานักจึงปลดปล่อยพลังเซียนเข้าคุ้มกันผู้เยาว์ ไว้เบื้องหลังหลายคนที่นี้ลงมือไม่รวดเร็วพอ หลังถูกแสงสีแดงเหล่านั้นสาดส่อง ร่างกายพวกเขาจึงกลับกลายเป็นแอ่งเลือดที่พื้นการโจมตีของอสูรกายตนนี้ ได้ทําหลายร้อยคนสิ้นชีพ
ผู้ฝึกตนอสูร ตระกูลหลง และผู้อื่นจากแดนวิญญาณอ้างว้าง รวมถึงชนเผ่ามนุษย์สัตว์ยุคโบราณ พวกเขาหลายคนต่างตายจาก ตําหนักเซียนดาบและนครเซียนยุทธภัณฑ์หาได้รับความเสียหายใดไม่ นอกจากนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้นําพาผู้คนร่วมทางมาด้วยมากมายแต่อย่างใด
ดวงตาของหลันซูเหยาปลดปล่อยแสงสีน้ําเงิน พุ่งตรงเข้าโจมตีใส่ดวงตาของอสูรกายมันส่งเสียงคํารามร้องกราดเกรี้ยว ร่างนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหินสีน้ําเงิน หลังอสูรกายกลับกลายเป็นก้อนหินสีน้ําเงิน หลายคนเวลานี้ต่างนึกหวาดกลัว พวกเขาไม่คิดว่าหลันซูเหยาจะสามารถแปรเปลี่ยนอสูรกายร่างยักษ์ให้กลายเป็นหินได้ง่ายดายเช่นนี้
หลันซูเหยาบินทะยาน นําเอาดาบยาวของนางออกมา ใช้มันเก็บเกี่ยวดวงตาสี่เหลี่ยมของอสูรกายออกจนสิ้น
“หลุมนี้ลงไปได้!” หลันซูเหยารับชมหลุมที่อสูรกายออกมาพร้อมบอกกล่าว
ฉินหยุนนึกย้อน ว่าตนเพิ่งนั่งบนบัลลังก์ที่อยู่ด้านบนหลุมนั่นพอดี ความหวาดกลัวเสียวที่ก้นจึงบังเกิด
“สตรีผู้นี้นําดวงตาอสูรกายนั่นไป บางทีนางอาจใช้มันเพิ่มพลังได้ในภายหลัง!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
เมื่อครู่นี้ หลายผู้คนล้วนได้เห็นว่าเพียงดวงตาข้างหนึ่ง ลําแสงสีแดงที่ปลดปล่อยออกมามันได้แปรเปลี่ยนหลายผู้คนให้กลายเป็นแอ่งเลือด
“ข้าลงไปก่อน!” หลันซูเหยากระโดดลงไปในหลุม
“พวกเราตามไป!” เจี้ยนสือเทียนนําคณะ
หลันซูเหยาที่ลงสู่เบื้องล่าง เจี้ยนสือเทียนและคณะตามติด ฉินหยุนตามอยู่ด้านหลังเปาเฉิงโจ่วและเจี้ยนสือเทียนลงลึกสู่หลุม
หลังร่วงหล่นมาพักหนึ่ง พวกเขาค่อยมาถึงโถงทางเดินกว้างขวางที่ดํามืด ที่นี้ต้องใช้วัตถุส่องแสง หลันซูเหยาเดินนําหน้า ดวงตาสีครามของนางเผยประกายแสงสีขาวสาดส่องเบื้องหน้า ผู้คนต่างได้เห็นสถานการณ์ของโถงทางเดินนี้กระจ่างชัดจนต้องตื่นตะลึงไม่รู้จบ
ยักษ์หลายตัวนั่งเรียงรายสองฟากข้างของโถงทางเดิน ที่ชวนตื่นตะลึงกว่า คือยักษ์เหล่านี้ไร้เศียรนอกจากนี้ ตําแหน่งที่ซึ่งสมควรมีหัวใจกลับว่างเปล่า ราวกับมีผู้อื่นควักเอาหัวใจของมันออกไป
“ร่างยักษ์เหล่านี้แข็งแกร่งยิ่ง มันแทบถึงขอบเขตเชียน!” เจี้ยนสือเทียนนําดาบออก มาทดลองจ้วงแทง
“เพราะร่างกายของพวกมันแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงอยู่มาได้จนกระทั่งถึงตอนนี้” เปาเฉิงโจ่วกล่าวคําขึ้น
ชนเผ่าสัตว์ยุคโบราณ และผู้ฝึกตนอสูรต่างลงมาถึง พวกเขามีจํานวนมากที่สุด นับแล้วก็เกือบสองพันทันทีเมื่อได้พบเห็นร่างยักษ์เหล่านี้ที่ใกล้เคียงขอบเขตเซียน พวกเขาเร่งรีบ เข้าไปตรวจสอบจากนั้นจึงเริ่มกัดกินร่างยักษ์เหล่านี้ กระทั่งผู้ฝึกตนอสูรครึ่งเซียนก็ยังต้องกัดกินร่างยักษ์เหล่านี้
“พวกเขาเหล่านี้ถึงขั้นไม่อาจระงับความอยาก กัดกินอะไรก็ไม่รู้ นี่ไม่กลัวมันมีอันใดผิดแผกในร่างนั้นเลยหรือไร?” ฉินหยุนสบถออกเสียงเบา
ผู้อื่นต่างขมวดคิ้วมองตาม
ผู้คนของตระกูลหลงและเขตแดนลึกล้ํา กระทําเสมือนนี้ไม่มีอันใดผิด เพราะพวกเขาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้มามาก
หลันซูเหยาไม่กล่าวคําใด นางทราบกระจ่างชัดดีถึงชนเผ่าสัตว์ยุคโบราณ ตราบเท่าที่มีเนื้อพวกเขาย่อมกัดกิน นางเลือกเดินมุ่งหน้าไป ฉินหยุนตามหลังนาง เขารับชมรอบข้างเพื่อไม่ให้คลาดสายตา
“อัก อัก… อัก…”
ทันใดนี้เอง หัวใจที่เต้นตุบและปอดพลันปริแตกแยกออกพร้อมเสียงกรีดร้องดังจากทางด้านหลัง
หลันซูเหยาหันควับกลับมอง พบเห็นผู้ฝึกตนอสูรและชนเผ่ามนุษย์สัตว์ที่กัดกินเนื้อยักษ์เวลานี้ร่างกายบิดเบี้ยวพร้อมมีเลือดไหลทะลักออก
ผู้ฝึกตนอสูร รวมถึงผู้คนของชนเผ่า เวลานี้ในร่างเผยเสียงประหลาดออกมา จากนั้นร่างพลันขยายขนาดจนสูงหลายเมตร
“องค์ราชินีซูเหยา เร่งรีบเร่งรีบสังหารพวกเขาเหล่านี้!” ผู้ปกครองแพะภูตผีหวาดกลัวยามได้เห็นคนของชนเผ่าแพะภูตผี มีแต่เขาที่ไม่ได้เข้าไปกินเนื้อยักษ์เหล่านั้น ดังนั้นตัวเขาจึงยังไม่เป็นไร