อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 615
งานแถลงจบลงและสามารถจับใจความข่าวจากงานแถลงโดยประมาณได้ กล้องตัดไปถ่ายภายในงานที่ชุลมุนหลังจบงาน เขากำลังจะปิดโทรทัศน์แต่กล้องกลับตัดไปยังตัวหญิงสาวผู้นั้นทันที เรียกให้มือที่เตรียมกดรีโมตของเขาหยุดชะงัก
“รัฐมนตรีไป๋ วันนี้คุณสวยมากเลย! ตอนแถลงก็สวยมากๆ! ดีจริงๆ เลยนะคะ” นักข่าวเอ่ยชม
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจางๆ
“ท่านประธานาธิบดีปล่อยข่าวว่าจะแต่งงานหลายครั้งแต่คุณยังเงียบไร้การเคลื่อนไหว ขอถามหน่อยว่าตอนนี้คุณมีคนรักหรือยังคะ?”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ อย่างไม่แสดงอารมณ์ก่อนจะปฏิเสธทันควัน “ต้องไม่มีอยู่แล้ว”
“คุณยอดเยี่ยมขนาดนี้ ผู้ชายที่ตามจีบคุณต้องเยอะมากแน่ๆ คุณตั้งเป้าไว้สูงเกินไปหรือเปล่าคะ?”
เธอยิ้มซุกซน “คุณก็เห็นว่าตอนนี้ฉันยุ่งมาก เพิ่งจบงานคนยังไม่ทันเดินไปไหนก็ถูกพวกคุณกักไว้แล้ว จะเอาเวลาว่างที่ไหนไปหาคนรักคะ?”
เหล่านักข่าวหัวเราะตาม “คุณกำลังผลักภาระมาที่เราเหรอ ความผิดเราใหญ่หลวงเลยนะคะเนี่ย แต่ว่าในกระทรวงความมั่นคงมีผู้ชายเก่งกาจมากมาย คุณไม่คิดจะหาใครสักคน แล้วเกิดเป็นความรักกันภายในกระทรวงเองบ้างหรือคะ?”
บนโทรทัศน์ไป๋ซู่เย่ทำหน้าครุ่นคิดคล้ายกำลังขบคิดกับคำถามนี้ของนักข่าวอย่างตั้งใจ จากนั้นจงใจยิ้มตอบกลับว่า “ในกระทรวงความมั่นคงมีผู้ชายเก่งกาจเยอะจริงๆ มีท่านหนึ่งที่ฉันให้ความเคารพนับถือมาก แต่เรื่องความรักยังไงก็ต้องปล่อยไปตามโชคชะตา”
“งั้น…คุณสามารถบอกเราได้ไหมว่าเขาคือใคร? บอกต่อหน้ากล้องบางทีอาจจะเป็นสื่อกลางให้ก็ได้นะคะ” นักข่าวยังตามถามอย่างไม่ยอมแพ้
“นี่เป็นความลับค่ะ ฉันขอเก็บไว้แล้วกัน คงบอกพวกคุณไม่ได้”
รอยยิ้มฉาบหน้านั่นในสายตาเย่เซียวกลับรู้สึกว่ามันเจือด้วยความรัก ช่างกระแทกตานัก
เคารพนับถือ?
อดีตเมื่อสิบปีก่อนไป๋ซู่เย่เคยบอกเขาว่าเขาเป็นคนที่เธอให้ความเคารพนับถือมากที่สุด แต่ตอนนี้…
เธอกำลังส่งสัญญาณรักให้ชายอื่นในโทรทัศน์?
เขาขมวดคิ้วกดปิดโทรทัศน์แรงๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับควงไปสักครู่ สุดท้ายก็แตะพิมพ์…
…………………………
ไป๋ซู่เย่ตอบคำถามเรื่อยเปื่อยของนักข่าวเสร็จถึงได้ออกจากงานอย่างราบรื่น ไป๋หลางถาม “รัฐมนตรี ในกระทรวงความมั่นคงมีคนที่คุณเคารพนับถือจริงๆ หรือครับ ทำไมผมไม่รู้?”
“อะไรก็จะต้องให้นายรู้หมด คิดว่าเป็นพยาธิในท้องฉันหรือไง?” เธอมีบุคคลที่ให้ความเคารพนับถืออยู่จริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในกระทรวงความมั่นคงแต่เป็นนักวาดชื่อดังนามว่าอเล็กซ์
“รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องตอบเพื่อรับมือกับนักข่าว ใช่แล้ว มื้อค่ำวันนี้ท่านปลัดกระทรวงเชิญคุณเอง คุณต้องเข้าร่วมด้วย”
มื้อค่ำ?
ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”
เพิ่งพูดจบมีเสียงเข้าที่โทรศัพท์สั้นๆ เธอล้วงมาดูแวบหนึ่งแล้วชะงักไปครู่ เป็นข้อความฉบับหนึ่ง
สั้นๆ ง่ายๆ
คืนนี้มาด้วย
สี่พยางค์ ไร้ชื่อไร้คำลงท้ายหรือแม้แต่เบอร์โทรยังเป็นเบอร์ไม่ทราบชื่อ แต่ไป๋ซู่เย่กลับรู้ดีว่าใครคือผู้ส่งข้อความฉบับนี้มา
“เป็นอะไรไป?” ไป๋หลางเห็นว่าเธอมีสีหน้าที่ผิดแปลกไปจึงเผลอยื่นคอมอง เธอชิงเก็บโทรศัพท์ไปก่อนหนึ่งก้าว “เปล่า”
“วันนี้คุณดูแปลกๆ นะ” ไป๋หลางมองประเมินเธอแวบหนึ่งคล้ายนึกถึงอะไรขึ้นมา “เมื่อคืนคุณกับเย่เซียว…ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?”
“ตอนทำงานห้ามคุยเรื่องส่วนตัว” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาต่อ จึงเดินออกจากงานไปที่รถ
ไป๋หลางมองแผ่นหลังนั่น มุ่นคิ้วแน่นเพราะความเป็นห่วง
เย่เซียวกลับมาพร้อมความแค้นและแน่นอนว่าเขาต้องการระบายความแค้นนี้ไว้บนตัวเธอทั้งหมด สำหรับเธอแล้ว มันไม่ยุติธรรมอย่างมาก!
ระหว่างที่กลับกระทรวงความมั่นคง ไป๋ซู่เย่ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกที
ร่างกายยังเจ็บอยู่
หากคืนนี้ต้องโดนซ้ำ…
เธอพรูลมหายใจ ดูเหมือนว่าตลอดทั้งเดือนนี้เย่เซียวตั้งมั่นว่าจะทรมานเธออย่างดีเชียว
……………………
มื้อค่ำครึกครื้นเป็นพิเศษ
ภายในห้องอาหารของกระทรวงความมั่นคง โต๊ะกลมที่ปูด้วยผ้าสีทองลายเมฆ จานอาหารล้วนสั่งมาตามระดับการต้อนรับแขกสำคัญจากภายนอก บุคคลที่นั่งอยู่ในนี้ไม่ใช่คนธรรมดากันทั้งนั้น
ความจริงไป๋ซู่เย่ทานมื้อนี้อย่างใจลอย เมื่อคืนถูกเล่นงานจนดึกดื่นทำให้เธอไม่ค่อยได้นอนเท่าไร วันนี้ทำงานตลอดวันเหมือนสู้รบมา นี่ก็กลางคืนสามทุ่มกว่าแล้ว เธอจึงเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดๆ
“ซู่เย่ ทำไมดูซึมขนาดนั้นล่ะ? คุณเป็นตัวหลักที่ช่วยให้เราได้ข้อมูลในครั้งนี้เชียวนะ! ประธานาธิบดีมีพี่สาวอย่างคุณเป็นลูกมือนี่เหมือนเสือติดปีก ตำแหน่งบนเวทีโลกของประเทศเราถึงได้ถูกเลื่อนขึ้นอย่างชัดเจนขนาดนี้” ประโยคเดียวของท่านปลัดกระทรวงก็เรียกสายตาของคนทั้งโต๊ะให้หันมาที่เธอ
เธอเรียกสติ “ปลัดพูดชมเกินไปแล้ว”
“เกินหรือไม่เกินไปใจคุณรู้ดีที่สุด มา แก้วนี้ฉันขอดื่มให้คุณก่อน” ปลัดกระทรวงลุกขึ้นชนแก้วกับเธอเล็กน้อย
ไป๋ซู่เย่ยกดื่มโดยไม่ปฏิเสธ
“ผมเคยได้ยินเรื่องของรัฐมนตรีไป๋กับเย่เซียวมานานแล้ว เสียดายที่เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้ ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชายใดเลยจริงๆ!” มีคนพูดชมก่อนจะชนแก้วกับเธออีกครั้ง
พูดถึงเรื่องอดีต ไป๋ซู่เย่เปลี่ยนสีหน้าน้อยๆ
เรื่องนี้คล้ายเป็นเหรียญตราที่ห้อยติดตรงอกของเธอ แต่ไม่มีใครรับรู้ว่านี่เป็นรอยแผลที่ไม่มีวันหายดีของเธอเช่นกัน
“ขอบคุณ” เธอลุกขึ้นยกดื่มอย่างไม่คิดปฏิเสธ
อีกฝ่ายยกนิ้วโป้งให้เธอเป็นการชม “รัฐมนตรีไป๋ใจเด็ดเดี่ยวจริงๆ!”
…………………………
มื้ออาหารมื้อเดียวใช้เวลาไปนานหลายชั่วโมง รอออกจากห้องอาหารอีกทีก็เลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว
เธอชนแก้วไปไม่น้อยกระทั่งเจ้าตัวตกอยู่ในสภาพสติพร่ามัว รู้สึกได้แค่ว่าตรงไหนไม่สบายตัวบ้าง ในกระเพาะรู้สึกคลื่นไส้อย่างทรมาน
ไป๋หลางจัดวางเธอไว้ในรถด้วยความปวดใจ “รู้ทั้งรู้ว่าเกินลิมิตตัวเองยังไม่รู้จักปฏิเสธ ไม่เข้าใจเลยว่าคุณคิดยังไง”
ไป๋ซู่เย่ฝืนยันตัวขึ้นมาตอบเสียงแผ่ว “ส่งฉันกลับไปเถอะ”
“ครับ” เขาขับรถพาเธอไปส่งที่พักอาศัยที่เซียงเซี่ยกู่
ไป๋หลางส่งเธอขึ้นตึก เข้าประตูเธอก็เอ่ยปากไล่ไป๋หลางทันที
“คุณเมาขนาดนี้ไหวจริงๆ เหรอ?” ก่อนไปไป๋หลางยังไม่วางใจเท่าไร ไม่ว่าภายนอกจะดูเข้มแข็งขนาดไหนแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดี
“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” ไป๋ซู่เย่ดันเขาออกไปแล้วปิดประตูแรงๆ เจ้าตัวคล้ายว่าได้ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว แนบพิงประตูไม่ทันถอดรองเท้าส้นสูงดีด้วยซ้ำก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลง รู้สึกง่วงเป็นทวีคูณในทันที ความง่วงที่จู่โจมมาทำให้หนักเปลือกตาจนเธอไม่อยากขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
แล้วเธอก็นั่งพิงประตูจนผล็อยหลับไปจริงๆ
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไรโทรศัพท์ดังขึ้นกะทันหัน
ในค่ำคืนเช่นนี้เสียงมันดังแสบหูมากกว่าปกติ เธอที่คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอก็สะดุ้งตื่นทันที เมื่อรู้ตัวว่าโทรศัพท์ดังเธอก็นวดคลึงระหว่างคิ้วที่กำลังปวดตุบๆ แล้วล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋า
“ฮัลโหล”
………………………………………..