อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 621
“รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของประเทศ S เธอว่าเป็นคนธรรมดาไหมล่ะ?” น้ำเสียงน่าหลันปนด้วยความรู้สึกขมขื่นใจเป็นส่วนใหญ่
“เธอคือ…รัฐมนตรี? คงไม่ใช่…พี่สาวของท่านประธานาธิบดีหรอกนะคะ?”
“เธอนั่นแหละ”
“เก่งขนาดนี้เชียว” น้ำเสียงของอาชิงเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อไป๋ซู่เย่
“ปกติเธอไม่ดูข่าวในประเทศบ้างหรือไง?”
อาชิงส่ายหัวรัว “น่าเบื่อจะตาย ประชาชนตัวเล็กๆ ที่อยู่สงบเสงี่ยมอย่างดิฉันติดตามไม่ไหวจริงๆ”
น่าหลันไม่พูดอะไรอีก สายตาจ้องมองแผ่นหลังนั่นกระทั่งไป๋ซู่เย่หายเข้าไปในห้องปิดประตูลงเธอก็ไม่ได้ถอนสายตาออกแต่อย่างใด
“คุณคะ?”อาชิงยกมือโบกหน้าเธอไปมา
น่าหลันหลุดจากห้วงภวังค์ “เรา…คล้ายกันมากใช่ไหม?”
“…ค่ะ เหมือนจริงๆ ก่อนหน้านี้ทุกคนก็พูดกัน”
“แต่…เทียบกับเธอแล้ว ฉันเหมือนตัวตลกที่เลียนแบบเขาแต่ไม่เหมือนใช่ไหม? เธอเก่งขนาดนี้ อะไรก็ดีไปหมด แต่ฉันกลับไม่ใช่อย่างนั้น…เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรเลย…” เธอหลุบตาลงอย่างเศร้าโศก เทียบกับเธอแล้วไม่ว่าจะเรื่องนิสัยหรือหน้าที่การงานของตัวเองหรือแม้แต่เบื้องหลังครอบครัว แทบไม่มีสิ่งไหนเทียบได้เลย
ผู้ชายอย่างเย่เซียว คงคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีเลิศไปเสียทุกเรื่องแบบนี้สินะ!
อาชิงจับสังเกตอารมณ์ที่ผิดปกติของเธอได้จึงรีบพูดปลอบ “คุณคะ คิดอะไรเหลวไหลอีกแล้วล่ะ! ถึงคุณจะเป็นเด็กกำพร้าแต่มีนายท่านคอยปกป้องคุณไงคะ! ถ้าคุณไม่ใช่เด็กกำพร้า บางทีนายท่านอาจไม่ยอมเก็บคุณมาเลี้ยงดูก็ได้! อีกอย่างเธอเก่งขนาดนั้นแล้วมีประโยชน์อะไร? ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่เก่งกาจเกินไป ชอบผู้หญิงที่เหมือนคุณแบบนี้มากกว่า อ่อนโยนและต้องการการปกป้อง”
น่าหลันหัวเราะ มองเธอ “ที่พูดมาเป็นความจริงหรือแค่ปลอบใจฉันน่ะ?”
“จริงแท้แน่นอนสิคะ คุณคิดสิ ถ้าเกิดกลางดึกคุณอยู่ข้างนอก นายท่านจะทำใจให้คุณย้อนกลับไปเองดึกดื่นได้ยังไง? ดิฉันว่า นายท่านต้องมัวแต่เป็นห่วงคุณว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรระหว่างทางหรือเปล่า!”
ความรู้สึกผิดและน้อยเนื้อต่ำใจของน่าหลันถูกถ้อยคำพูดนี้ของอาชิงกวาดทิ้งไปอยู่มุมลึกของหัวใจ หายไปในกลีบเมฆทันที
…………………………
ไป๋ซู่เย่วางกระเป๋าเดินทางเสร็จไม่ได้อยู่นานไปกว่านั้น กลับย้อนไปที่กระทรวงความมั่นคงแทน
ในกระทรวงงานยุ่งมากจนหัวหมุน ไม่เหลือช่องว่างให้เธอได้ครุ่นคิดเรื่องส่วนตัวสักนิด วันนี้ทำงานดึกตามเคย เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูอีกทีถึงรู้ว่าเที่ยงคืนแล้ว
เย่เซียว…ตอนนี้น่าจะกลับไปแล้วล่ะมั้ง!
นึกถึงเขาก็นึกถึงภาพที่อยู่ในห้องน้ำชายวันนั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ ได้แต่รู้สึกว่ากลีบปากร้อนผ่าวราวกับโดนไฟลน
“รัฐมนตรี ผมจะไปส่งคุณกลับเอง” ไป๋หลางเคาะประตูเข้ามา
“ฉันขับรถเอง”
“ดึกขนาดนี้ ผมกลัวคุณง่วง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” ไป๋ซู่เย่ยืนยันคำขาด ไม่อยากให้ไป๋หลางรู้ข้อแลกเปลี่ยนของตัวเองกับเย่เซียว ยิ่งน้อยคนรู้ยิ่งดี
เธอขับรถไปยังปราสาทของเขา เธอคิดว่าโชคดีที่เลยเที่ยงคืนมาแล้วเขาต้องเข้านอนแล้วแน่ๆ เช่นนี้แล้วดูเหมือนตัวเธอจะรอดพ้นมาอีกหนึ่งวัน…
ขณะที่ติดไฟแดงอยู่เธอหยิบสมุดจากกระเป๋า ขีดฆ่าเส้นแดงทับบนเล็กที่ยี่สิบแปด
พริบตาเดียวกลับเหลือเพียงยี่สิบเจ็ดวันแล้ว…
เธอควรรู้สึกโล่งใจ แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปไวนัก…
เธอเข้าไปในเขตสวนเพื่อส่งกุญแจ กดกริ่งประตูที่คราวนี้ไม่มีใครขวางเธออีก น้าหลี่เป็นคนมาเปิดประตู
“คุณไป๋”อาจเป็นเพราะเหตุการณ์โหดร้ายคราวก่อนที่น้าหลี่เห็นเองกับตา น้าหลี่จึงไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอเหมือนอาชิง
“ลำบากแย่ที่ต้องมาเปิดประตูให้ฉันดึกขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ นายท่านบอกแล้วว่าต่อจากนี้ให้ฉันดูแลคุณคนเดียวพอ” น้าหลี่รับเสื้อนอกจากมือเธอไป ถามเสียงเบา “ทำงานจนดึกดื่น ต้องหิวแน่เลยใช่ไหมคะ? อยากทานอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวฉันจะไปทำให้ที่ครัว”
หิวแล้วจริงๆ
แต่ว่า…
“ดึกขนาดนี้ไม่รบกวนคุณดีกว่า รีบไปนอนเถอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงในครัวก็มีของสำเร็จรูปแล้ว แค่อุ่นแป๊บเดียวก็พอ”
ไป๋ซู่เย่จึงไม่คิดปฏิเสธอีก พยักหน้ารับ “ได้ งั้นฉันขอเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อน เดี๋ยวออกมาช่วยที่ครัว”
น้าหลี่หัวเราะ “คุณเป็นแขกคนสำคัญของนายท่านเชียว จะให้เข้าครัวได้ยังไง? ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ไป๋ซู่เย่กลับเข้าไปอาบน้ำในห้อง แผลใต้ร่างยังไม่หายดี ยังรู้สึกเจ็บแสบอยู่เมื่อน้ำร้อนไหลผ่าน เธอกำลังคิดว่าหากเธอกลับมาเวลานี้ทุกวัน ยี่สิบเจ็ดวันที่เหลือจะผ่านไปแบบนี้เลยใช่ไหม?
จะรู้สึกเสียใจทีหลังหรือเปล่า?
เธอถามตัวเอง
ก็อาจจะสินะ
การกลับมาเจอกันในสิบปีให้หลัง สามสิบวันนี้ถือเป็นการอำลา และ…ลาจากตลอดกาล…
ชุดนอนส่วนมากของเธอเป็นชุดนอนเส้นไหมของแท้ เธอเลือกตัวสีขาวมาสวมใส่ก่อนออกจากห้องไป
ภายในบ้านเงียบสงบ แม้แต่เวรยามก็ยืนตรงแน่นิ่งราวกับรูปปั้นที่ไม่เหล่มองไปไหน ไป๋ซู่เย่เดินไปยังห้องครัวที่เปิดไฟสว่างเห็นน้าหลี่กำลังวุ่นอยู่
เธอถาม “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”
“คุณแค่นั่งรอทานก็พอ ฉันอุ่นโจ๊กนิดหน่อย ได้ไหมคะ?”
“ไม่มีปัญหา แค่ดมกลิ่นก็หอมมากแล้ว” น้ำเสียงของเธอสดใส ขณะที่พูดก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หลับตาทำท่าดมอย่างเคลิบเคลิ้ม น้าหลี่เห็นท่าทางเธอก็แอบประเมินในใจ
“ทำไมเหรอคะ?”เธอลืมตาขึ้นพลางสบตาน้าหลี่พอดี
“ความจริง…ฉันรู้สึกว่าคุณไป๋ก็เป็นคนดีอยู่นะ ถึงจะมีตำแหน่งหน้าที่สูงและเป็นพี่สาวแท้ๆ ของท่านประธานาธิบดีแต่ไม่ถือตัวอะไรเลย ไม่ได้เป็นอย่างที่หยูอันพูดเลย”
เธอแค่มองโจ๊กตรงหน้าอย่างตั้งใจคล้ายไม่ได้ใส่ใจอะไร “หยูอันคงเตือนพวกเธอไว้ไม่น้อยสินะว่าให้ระวังฉันให้ดี? เขาต้องบอกว่าฉันฝีมือร้ายกาจ ใจดำอำมหิตและเล่ห์เหลี่ยมเยอะเจ้าแผนการ”
น้าหลี่ทำหน้าตกใจ “ที่แท้คุณรู้หมดเลย” ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว!
ไป๋ซู่เย่ได้แต่หัวเราะอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถูกด่ามาเยอะทุกอย่างจึงทำใจยอมรับได้ง่ายขึ้น หากหยูอันรู้ว่าตัวเองมีความคิดแบบนี้จะต้องด่าเธอว่าหน้าด้านอีกแน่ๆ
“ฉันหิวแล้ว ทานได้แล้วสินะ?”
“ค่ะ”
“งั้นฉันหยิบถ้วยเอง ถ้วยอยู่ไหน?” ไป๋ซู่เย่กวาดมองรอบหนึ่ง น้าหลี่ชี้นิ้วไปที่ตู้ฆ่าเชื้อ เธอเปิดออก “ฉันจะหยิบสองใบ คุณเองก็ทานหน่อยเถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว”
น้าหลี่ส่ายหัวยิ้ม “คุณทานเถอะ ตลอดหลายปีนี้ฉันไม่ชินกับการทานโจ๊กเลย”
“งั้นก็ไม่ฝืนใจคุณล่ะ” ไป๋ซู่เย่ยิ้มน้อยๆ
น้าหลี่ยิ่งอยู่กับเธอก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ได้มีความรู้สึกถึงความต่างระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเลย
……………………
ชั้นบน เย่เซียวตื่นแล้ว
ดูเวลาแวบหนึ่งพบว่าตีสองแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกลับมาหรือยัง?
เขากลับมาตอนห้าทุ่มเห็นว่าห้องชั้นล่างมืดสนิท นั่งอยู่ชั้นบนถึงเที่ยงคืนกว่าชั้นล่างก็ยังเงียบไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดิม
ปกติเธอเลิกงานดึกขนาดนี้เลยหรือ? ตลอดทั้งวันเธอทำอะไรกันแน่?
……………………………………………….