อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 656 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (1)
พูดถึงตรงนี้เขาหยุดชะงักเพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดคำว่า ‘น้ำตา’ ออกมา
สีหน้าเริ่มเรียบตึงเมื่อพูดถึงเรื่องสิบปีก่อน
ไป๋ซู่เย่เองก็รู้ว่าเขาต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่ๆ จึงไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ กล่าวเพียง “รีบไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”
……………………
สิบปีให้หลังมาเดินตลาดกับเย่เซียว ช่างเป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าคาดคิดมาก่อน
ทั้งคู่เดินอยู่ท่ามกลางตลาดเสียงอึกทึกครึกโครม เปอร์เซ็นต์ที่ดึงดูดสายตาคนรอบข้างแน่นอนว่าต้องเต็มร้อย ไป๋ซู่เย่รู้ว่าสายตาเหล่านี้ล้วนมีให้เย่เซียว ครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ก็ถูกจับตามองแทบพรุน แต่ปัจจุบันเดินทั่วตลาดจนคุ้นชินแล้ว
“พอแล้ว เสี่ยวหรุ่ย เธอจะขายของต่อไหม?” ไป๋ซู่เย่หยิบต้นหอมกำหนึ่งใส่บนชั่ง “หยิบรากบัวให้ฉันหน่อย แล้วก็ข้าวโพด ซี่โครง เมล็ดสน แครอท”
“เอ๊ะ ได้ๆๆ รอเดี๋ยวนะ” เสี่ยวหรุ่ยปากตอบอย่างนั้นแต่ดวงตาน่ารักคู่นั้นกลับเหล่มองเย่เซียวเป็นพักๆ
เย่เซียวเย็นชาจนเคยชิน รับรู้ได้ถึงสายตาของผู้อื่นแต่ก็ย่นคิ้วน้อยๆ ไม่ปรายตามองคนอื่นแม้แต่แวบเดียว
เสี่ยวหรุ่ยยิ้มคิกคัก “พี่ซู่เย่ นี่แฟนพี่เหรอ? แฟนพี่หล่อจังเลยเท่จังเลย”
“…ไม่ใช่”
“ไม่ใช่? จริงเหรอ?” เสี่ยวหรุ่ยตาวาว
“งั้น…พี่เอาเบอร์เขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? ฉันไม่มีแฟนพอดีเลย”
ไป๋ซู่เย่รู้สึกขำ “เบอร์ของเขาฉันเองก็ไม่รู้ ถ้าเธอไม่กลัวเขา งั้นเธอลองถามเองดูไหมล่ะ?”
เย่เซียวได้ยินคำพูดของเธอก็ตวัดสายตาเย็นชาให้ไป๋ซู่เย่ฉับพลัน เสี่ยวหรุ่ยไม่กลัวตายจริงๆ หากไปขอจริงๆ เธออาจไม่ได้เบอร์โทรตามที่หวังหรอกแต่ได้พูดกับเทพบุตรสักสองประโยคก็ดีมากนี่นา!
ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ ตบบ่าเสี่ยวหรุ่ย “พอแล้ว เธอไม่ต้องคิดแล้ว เขามีแฟนแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ?”
“อืม เพราะฉะนั้นรีบคิดเงินให้ฉันเถอะ”
“งั้นก็ได้”
เสี่ยวหรุ่ยทำหน้าเสียดายพลางวางของบนตาชั่ง ใส่ถุงเสร็จสรรพพลางพูดเสียงเบาๆ “พี่ซู่เย่ เขาหล่อขนาดนี้ สูงขนาดนี้ เท่ขนาดนี้ พี่สวยขนาดนี้ ทำไมไม่แอบฮุบไว้ล่ะ? พวกพี่เหมาะสมกันจะตาย”
“…” ไป๋ซู่เย่เคาะกะโหลกเธอไปทีหนึ่งอย่างระอา “แม่หนู ในหัวคิดอะไรเนี่ย!”
เสี่ยวหรุ่ยหัวเราะคิกคัก “ทั้งหมด 123 หยวน ไม่เอาเศษ งั้น 120 พอ”
ไป๋ซู่เย่ค้นกระเป๋าแต่เย่เซียวกลับยื่นธนบัตรสองใบไปก่อนหน้า จากนั้นหยิบถุงที่ใส่ผักทั้งหมดไปถือไว้อย่างเป็นธรรมชาติ เขม่นตามองไป๋ซู่เย่หนักๆ สองที ไม่พูดอะไรก็เดินนำออกจากตลาดไปก่อน
“เอ๊ะ ยังไม่ได้ทอนเงินเลย” เสี่ยวหรุ่ยมองแผ่นหลังนั่นรีบพูดขึ้น
“ให้ฉันเถอะ”ไป๋ซู่เย่เองก็ถอนสายตาจากแผ่นหลังนั่นมา
“นั่นสิ ให้พี่หรือให้เขาก็ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหน” เสี่ยวหรุ่ยหยิบเงินออกมา 80 หยวน “พี่ซู่เย่ ฉันว่าถ้าพี่แอบฮุบกินนะต้องสำเร็จแน่ๆ ถ้าไม่คิดอะไรกับพี่ ผู้ชายคนไหนจะยอมมาเดินตลาดกับพี่ล่ะ?”
ทั้งที่รู้ว่าเด็กอย่างเสี่ยวหรุ่ยเป็นคนปากพล่อย ชอบพูดอะไรไม่มีเหตุผลแต่หัวใจเธอดันเต้นผิดจังหวะเพราะถ้อยคำอีกฝ่าย สุดท้ายคว้าเงินมาตอบกลับ “ครั้งแรกที่ไป๋หลางมากับฉัน เธอก็พูดแบบนี้ พูดมั่วๆ”
เธอเก็บเงิน 80 หยวนไว้ในกระเป๋า
เสี่ยวหรุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะ
…………………………
อีกฟากของตลาดห่างไกลออกไป
เด็กสาวอายุสิบเก้าปีคอยมองแผ่นหลังคู่นั้นอย่างสติเลื่อนลอย หัวใจเจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง ลมพัดโกรกผมยาวดำขลับของเธอให้ปลายผมแยงตา แพขนตาเธอกะพริบจนน้ำตาก็ร่วงหล่นจากดวงตา
“คุณคะ”อาชิงเห็นแล้วปวดใจแทบตาย รีบหยิบกระดาษทิชชูช่วยซับน้ำตาให้เธออย่างรีบร้อน “คุณอย่าเสียใจไปเลย นายท่าน…นายท่านกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน พวกเขาเป็นศัตรู ไม่ใช่คนรัก”
“แล้ว…เธอเคยเห็นศัตรูมาเดินตลาดด้วยกันบ้างไหม?”
“…”อาชิงเองก็ไม่รู้ควรพูดปลอบใจเธออย่างไรดี สุดท้ายเพียงถอนหายใจ “ไม่รู้ว่านายท่านคิดยังไงจริงๆ แต่คุณสบายใจได้ นายท่านไม่มีทางอยู่ด้วยกันกับไป๋ซู่เย่หรอก ต่อให้เขาอยาก ลูกน้องของเขาก็ไม่มีทางยอมตกลง นายท่านเป็นคนยึดมั่นในความสัมพันธ์พวกพ้อง เรื่องที่ต้องทรยศหักหลังพวกพ้อง เขาทำไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เคยทรยศเขาแล้วฆ่าพี่น้องของเขาไปตั้งมากมาย”
น่าหลันสูดหายใจเฮือกใหญ่ จิกปลายเล็บเข้าเนื้อช้าๆ สายตาที่เธอใช้มองแผ่นหลังไป๋ซู่เย่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นและแหลมคม “งั้นก็รอดู…ว่าในใจของเย่เซียว ไป๋ซู่เย่สำคัญกว่าหรือพี่น้องพวกนั้นสำคัญกว่า…”
………………………………
นิ้วมือของไป๋ซู่เย่ถูเสียดสีจนเลือดออกในคืนนั้น ไม่ได้หนักหนาสาหัสมากจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ตอนล้างผักกลับเริ่มเจ็บแสบขึ้นมาเนืองๆ
เธอจำต้องวางผักลงไปค้นกล่องยา หยิบพลาสเตอร์ติดแผลแปะตรงนิ้วมือหนึ่งนิ้ว
ผ่านไปสักพักคิดจะกลับห้องครัวแต่ได้ยินเสียงซูซ่าของน้ำแต่ไกล ในห้องครัวที่ไม่มีประตู เย่เซียวกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้น ท่วงท่าคล่องแคล่ว ไป๋ซู่เย่รู้ว่าเขาทำงานบ้านได้
ตอนเด็กๆ ครอบครัวเขามีฐานะยากจน เมื่อเขาอายุห้าขวบเคยป่วยหนัก คุณแม่ของเขาถูกพวกค้ามนุษย์หลอกจับตัวไปตอนที่ออกไปทำงานหาเงินเป็นค่ารักษาพยาบาลของเขา ทุกวันนี้ไร้ข่าวคราวใดๆ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเย่เซียวก็เริ่มเติบโตขึ้น เริ่มลงครัวทำกับข้าวเอง ภายหลังด้วยความบังเอิญครั้งหนึ่ง เพราะความเย็นชาและความโหดร้ายของเขาถูกตาต้องใจพ่อเลี้ยงของเขาเข้า จากนั้นมาเขาจึงถูกพาตัวไปเลี้ยงที่ต่างประเทศ อาศัยคนอื่นถึงได้มีชีวิตสุขสบายไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม
“ยืนมองอย่างนั้น มาผูกเสื้อกันเปื้อนให้ผมจะดีกว่า”
เสียงเย่เซียวดึงความคิดเธอกลับมา
เธอรับคำว่า ‘อ่อ’ก่อนจะหาเสื้อกันเปื้อนในตู้ให้เขา เขาไม่ได้รับแค่หยิบมีดหั่นผักไปอย่างคล่องมือ ขณะเดียวกันก็พูดขึ้น “มัดให้ผมที”
เสื้อกันเปื้อนของเธอเป็นแบบครึ่งตัว ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังกว้างหนาของเขาแวบหนึ่ง มือหนึ่งกำเสื้อกันเปื้อนอ้อมผ่านเอวเขา จากนั้นใช้อีกมือผูกเชือกไว้หลังเอวอย่างชำนาญมือ เสื้อกันเปื้อนของเธอเป็นสีเทา พออยู่บนตัวเขาแล้วกลับไม่ได้แปลกตาอะไร
เธอกวาดตามองเขาอย่างประเมินจนเริ่มหลุดเข้าไปในภวังค์ เธอกลับนึกอย่างโลภมากไม่ได้ว่า…หากชีวิตดำเนินอย่างนี้ต่อไป จะดีแค่ไหน พอคิดอยู่ๆ ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังไม่ทันรู้ตัว
“ยิ้มอะไร?”เย่เซียวนิ่งงันไปเมื่อเห็นใบหน้าแต้มยิ้มของเธอจนเกือบจะเฉือนโดนนิ้วตัวเองรอมร่อ
เธอหลุดจากภวังค์ทันที “ที่แท้คุณก็แม่บ้านแม่ศรีเรือนขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นคุณลงครัวเลย”
แม่บ้านแม่ศรีเรือน?
“นี่ไม่ใช่คำชมที่น่าดีใจเลยสักนิด”
ฟังดูเป็นผู้หญิงเกินไป!!
“แต่ฉันคิดคำอื่นมาบรรยายคุณไม่ออกจริงๆ คุณทำต่อเถอะ ฉันไปจัดการเอกสาร ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกฉันได้เสมอ”
…………………………………………..