อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 657 อาศัยด้วยกันอย่างอบอุ่น (2)
เธอกลัวว่าหากอยู่ต่อไปจะต้องอดห้ามใจไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อยไม่ได้แน่ๆ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่เป็นความจริง ยิ่งคิดมากยิ่งทำให้รู้สึกโลภมาก
เย่เซียวมุ่นคิ้ว เธอกลับยอมรับได้หน้าตาเฉย
“หยุดนะ! ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” เย่เซียวเรียกเธอไว้ด้วยเสียงเย็นชา “ผมอยู่นี่ไม่ใช่เพื่อเข้าครัวให้คุณ!”
เขารู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้มันแปลกมากๆ เดิมทีอยากมาทรมานเธอมากกว่า แต่อยู่ดีๆ ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่ต้องมาปรนนิบัติเธอ?!
“ถ้าคุณไม่อยากทำก็วางไว้เถอะ ฉันทำเองก็ได้” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากฝืนใจเขา
เย่เซียวเหลือบมองมือของเธอแวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งเฉยชามาแต่ต้น กล่าวคำสั่งเรียบๆ “ต้มน้ำ ผมหิวน้ำ!”
ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรจึงหันกลับไปต้มน้ำอย่างเชื่อฟัง เย่เซียวเองก็ไม่ได้วางงานในมือที่ทำมาแต่แรกลงและวุ่นต่อไป ห้องครัวไม่ถือว่ากว้างใหญ่มาก เมื่อก่อนมีเพียงเธอพื้นที่จึงเหลือถมไป แต่ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ในนี้ด้วย ทั้งบริเวณนี้เลยดูคับแคบเป็นพิเศษ เธอยืนอยู่ข้างหลังเขา มองแผ่นหลังเขาอย่างหลงใหลหน่อยๆ คอยดูท่าทางยุ่งเหยิงของเขา ดมกลิ่นหอมที่โชยมาจากตัวเขา
ทั้งที่เบียดมากแต่ไม่อยากออกไปทั้งอย่างนี้ อยากใกล้ชิดเขาแบบนี้ต่อไป ดูเขาทำงาน กลับรู้สึก…มีความสุขหน่อยๆ…
ไม่รู้ว่าสิบปีนี้…เขาเคยเข้าครัวให้ผู้หญิงอีกมากแค่ไหน…
เธอปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไปไกล เย่เซียวกำลังผัดกับข้าวจะหาจาน ไม่คิดว่าหันหลังกลับมาจะปะทะหน้ากับเธอเข้าอย่างจังพอดี อีกทั้งอกแกร่งกระแทกศีรษะเธอพอดิบพอดีจนเธอครางฮึมในลำคอ รู้สึกเพียงหัวหมุน ใช้มือกุมศีรษะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ส่วนด้านหลังนั่นเป็นตู้เย็น เย่เซียวเผลอกลั้นหายใจโยนตะหลิวในมือทิ้ง ถลาเข้าไปใช้มือรองหลังศีรษะเธอไว้โดยแทบไม่ต้องคิด
เพราะมีมือเขารองอยู่เลยทำให้หลังศีรษะที่บาดเจ็บของเธอไม่โขกใส่ตู้เย็น แต่ก็เจ็บจนหลุดเสียง ‘โอ๊ย’ ออกมาเสียงหนึ่ง ย่นคิ้วเข้าหากันพลางเงยหน้าพบว่าใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของเย่เซียวอยู่ไม่ห่างจากหน้าตัวเอง ลมหายใจแทบรดใส่ปลายจมูกของตัวเองด้วยซ้ำ เธอเผลอกลั้นหายใจ ลืมถอนสายตาไปพักใหญ่
เขากวาดสายตาเรียบนิ่งมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย อ้าปากเตรียมเอ่ยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับเป็น “ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามาเป็นภาระผมที่นี่”
เย็นชา แข็งขืน
ประโยคเดียวเรียกสติของไป๋ซู่เย่กลับมาทั้งหมด ความหวั่นไหวเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยความใจเย็นและสติของเธอ
เธอหลังแนบตู้เย็นยืนหลังตรง ขยับศีรษะออกจากมือของเขา “ฉันมาต้มน้ำให้คุณเพราะคำสั่งของคุณ น้ำเดือดแล้ว เดี๋ยวคุณเทน้ำเองแล้วกัน ฉันออกไปก่อน”
พูดจบก้าวออกไปจากห้องครัวอย่างไม่รอช้า
เพียงแต่…
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยู่ด้วยกันกับเขา ความหวั่นไหวที่หลงคิดว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก กลับยังเหมือนดังสิบปีก่อนไม่มีผิด
ยิ่งไปกว่านั้น…
อาจเป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านไปนานขนาดนี้ถึงได้เข้มข้นกว่าอดีตมากโข และบ้าคลั่งกว่าเดิม
…………………………
เย่เซียวทำอาหารกลางวัน ไป๋ซู่เย่ชิมคำหนึ่ง เป็นรสชาติจืดจางทั้งหมด
“คุณชอบรสชาติจืดจางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ไป๋ซู่เย่ถามเย่เซียว
“หรือคุณยังจำได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบรสชาติไหน?” เย่เซียวแค่นเสียงไปที ชำเลืองมองผ้าก๊อซบนหัวเธอแวบหนึ่ง ในเมื่อมีแผลย่อมต้องทานจืดๆ หน่อย
“จำได้อยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่ขยับปากตอบ “ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าข้อมูลของคุณอยู่ในมือเราทั้งหมด ตั้งแต่หนึ่งวันคุณนอนกี่ชั่วโมงถึงธุรกิจเหล่านั้นในมือคุณ เจอผู้คนอะไรมาบ้างในทุกวัน”
เย่เซียวไม่ชอบฟังเธอคุยเรื่องนี้เลยจริงๆ “พอแล้ว ทานดีๆ”
เธอไม่ได้พูดอะไรอีก ชิมอาหารที่เขาทำหนึ่งคำแล้วอดชมไม่ได้ “เย่เซียว ที่แท้ฝีมือทำอาหารของคุณดีขนาดนี้ แม่บ้านแม่ศรีเรือนจริงๆ นะ”
เย่เซียวแค่นเสียงกล่าว “ทานอาหารฝีมือผมได้ ชาติที่แล้วคุณคงทำบุญมาเยอะ”
ชาติที่แล้ว…
หรือว่าความจริงแล้วชาติที่แล้วพวกเขาต่างมีกันและกันในชีวิตของตัวเอง?
ไป๋ซู่เย่แอบคิด มุมปากยกยิ้มน้อยๆ เหมือนแสร้งไม่สนใจ “ไม่ใช่ว่ามีฉันเคยทานคนเดียวสักหน่อยนี่?”
เย่เซียวกระชับมือที่จับตะเกียบแน่น สายตาที่มองเธอล้ำลึกขึ้น ความจริง…หลายปีขนาดนี้ไม่ได้มีแค่เธอที่เคยทานอาหารฝีมือเขาอย่างว่าจริงๆ แต่หากหมายถึงผู้หญิง เขาเคยเข้าครัวเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้นจริงๆ
เย่เซียวครุ่นคิด ตัวเองน่าจะติดค้างเธอเมื่อชาติที่แล้วมากเกินไป เธอถึงได้มาทวงเขาคืนในชาตินี้
………………
ตอนเที่ยงไป๋ซู่เย่กลับไปนอนพักกลางวันในห้อง รอตื่นมาอีกทีพบว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า เดินมาห้องหนังสือเห็นเย่เซียวยังนั่งเปิดเอกสารโปรเจคงานบริษัทต่อไป ความสงบและความสบายใจที่ยากจะอธิบายเติมเต็มในใจในพริบตา
ราวกับทั้งคู่ได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อนในฉับพลัน…
แต่พอได้สติกลับคืนมาเธอก็รู้ว่าระหว่างพวกเธอ ความจริงมันย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว…
เธอหันหลังเข้าไปในครัว เทชาร้อนสองแก้ว รอกลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง เย่เซียวก็วางเอกสารโปรเจคลงและกำลังคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงในห้องหนังสืออยู่ คุยแต่เรื่องงานทั้งสิ้น
ไป๋ซู่เย่วางชาหนึ่งแก้วไว้ข้างโน้ตบุ๊คของเขา โต๊ะหนังสือถูกเขาจับจองเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะข้อมูลเอย เอกสารเอย แทบกองไปกว่าครึ่งโต๊ะ ไม่มีที่เหลือสำหรับเธออีกแล้ว เธอจำต้องย้ายโน้ตบุ๊คไปไล่ตอบอีเมลที่โต๊ะคอมพิวเตอร์โต๊ะเล็กแทน เย่เซียวคุยโทรศัพท์ไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ หลังกลับมาเห็นชาร้อนแก้วนั้นสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างมาก เขาวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ยกแก้วชาจิบหนึ่งอึก รสชาติติดหวานปนหอมจางๆ
ความรู้สึกอย่างนั้นไหลลงไปตามลำคอซึมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง กลับมาอิ่มเอมมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เผลอหันมองเธออีกแวบหนึ่ง เธอกำลังยกแก้วน้ำชาอ่านอีเมลอย่างใจจดใจจ่อ น่าจะเจองานหนักเข้าคิ้วเรียวสวยถึงได้ขมวดเป็นปม น้ำชาในแก้วเย็นแล้วโดยที่ไม่ทันได้ดื่มด้วยซ้ำ
เย่เซียวไม่ส่งเสียงรบกวน แค่นั่งทำงานตัวเองต่อไปเงียบๆ
อืม ต่างคนต่างทำงานไม่รบกวนกันและกัน เงียบสงบ กลับเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง
……………………
เวลาผ่านพ้นไปท่ามกลางความเงียบสงบนี้จนหมดไปอีกครึ่งวัน ไม่มีใครเอ่ยเสียงพูดสักประโยค ได้ยินเพียงเสียงพลิกเอกสาร บางครั้งเย่เซียวจะไปยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงเป็นการคลายความเหนื่อยล้าสักหน่อย
ต่อให้เป็นเช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
รอไป๋ซู่เย่เงยหน้าอีกทีก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น หน้าโต๊ะหนังสือไร้เงาเย่เซียว เธอเดินออกไปเห็นเย่เซียวกำลังวุ่นอยู่ในห้องครัวขณะที่ใส่เสื้อกันเปื้อนอยู่
เธออมยิ้ม เผลอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายแผ่นหลังนั่นจากที่ไกลๆ
มีชั่วขณะที่เผลอมองจนเหม่อลอย เมื่อหลุดจากภวังค์ก็รีบเก็บโทรศัพท์ เธอรู้สึกตัวเองเป็นเหมือนหัวขโมยน้อยที่มีร่องรอยหลักฐานบางอย่างที่แอบซ่อนไว้เพียงลำพัง ห้ามใครคนอื่นเห็น
…………………………………..