อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 664 วางไม่ได้ ลืมไม่ลง (4)
“บางทีฉันพูดแบบนี้คุณอาจจะคิดว่ากะทันหันเกินไป แต่ความจริงก็คือก่อนที่คุณยังไม่ปรากฏตัว ฉันกับเย่เซียวมีความสุขมาก คุณไป๋ คุณเป็นมือที่สามระหว่างฉันกับเย่เซียว นี่เป็นความจริงที่ไม่มีข้อโต้แย้ง บางทีคุณอาจจะบอกว่าพวกคุณเคยรักกันตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว แต่พวกคุณจบกันตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทำไมสิบปีผ่านมา คุณยังมาตามตื๊อกับเขาอีก?”
น่าหลันเจ็บปวดจริงๆ พูดไปพูดมา ขอบตาก็มีน้ำตาเอ่อคลอชั้นบางๆ
เธอร้องไห้แล้ว
ร้องไห้อย่างน่าสงสารแบบที่ใครเห็นก็ต้องเห็นใจ
ไป๋ซู่เย่ขยับปากแดงทีแต่กลับมีเพียงประโยคเย็นชาออกมาเพียงประโยคเดียว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้มาตามตื๊อเขา”
น่าหลับกลับทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูด ได้แต่พูดเองเออเองต่อไป “ฉันรักเขา รักเขามากจริงๆ ฉะนั้นต่อให้ฉันรู้ว่าพวกคุณนอนด้วยกัน ฉันก็ไม่เคยซักถามสักคำได้แต่ทนอยู่เงียบๆ ทำเหมือนไม่เห็น ฉันยังรักเขาอยู่ ฉันรักเขาจนยอมลดคุณค่าตัวเอง รักจนยอมทิ้งอารมณ์ตัวเอง ศักดิ์ศรีของตัวเอง ทุกอย่างของฉัน…แล้วคุณล่ะ? คุณไป๋ คุณไม่กล้า สิ่งที่คุณปล่อยวางไม่ได้ มีมากเกินไป!”
ไป๋ซู่เย่คอยฟังคำร้องเรียน คำสารภาพของเธอเงียบๆ คอยมองท่าทางเสียใจของเด็กสาว จู่ๆ ไม่รู้ว่าตนควรดีใจแทนเย่เซียวหรือไม่ที่ข้างกายมีผู้หญิงสักคนที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ ไม่โกหกเขา ไม่หลอกใช้เขา…
เธอเคยหวังให้เขาตามหาความสุขตัวเองให้เจอมากขนาดไหนกันนะ แต่เมื่อพบว่าความสุขนั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง หน้าอกก็ยังเจ็บเหมือนเดิม…
เจ็บมาก…
น่าหลันกับเธอในอดีต ยังมีส่วนแตกต่างอยู่มาก
ไม่ว่าจะการที่รักผู้ชายสักคน เธอไป๋ซู่เย่ยังมีความภาคภูมิใจของตัวเอง อีกอย่างเธอไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกอย่างไม่คิดปกปิดได้อย่างน่าหลัน
ความรักที่เธอต้องการ แบกรับภาระที่หนักหนามากมายเหลือเกิน…
หนำซ้ำเป็นอย่างที่น่าหลันบอก สิ่งที่เธอปล่อยวางไม่ได้ ยังมีอีกมาก
และสิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้มากที่สุด ก็คือเย่เซียว…
ยิ่งปล่อยวางไม่ได้ก็ยิ่งต้องปล่อยวาง ต่อให้เหมือนถูกดึงเส้นเอ็น ถลกหนังก็ตาม…
เพราะ…
“สิ่งที่เย่เซียวรับไม่ได้ที่สุดไม่ใช่ตัวเองถูกหักหลัง แต่เขาต่างหากที่หักหลังคนอื่น จุดนี้ฉันเชื่อว่าคุณไป๋น่าจะรู้ดีกว่าฉัน”
คำพูดเดียวของน่าหลันจี้ตรงจุดที่ไป๋ซู่เย่ไม่อยากไปคิดและไม่อยากไปแตะต้องที่สุด
เธอยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่งขณะที่ปลายนิ้วยังสั่นระริกน้อยๆ ความรู้สึกอัดอั้นในอกไม่ว่าอย่างไรก็กดทับลงไม่ได้สักที ได้ยินเพียงน่าหลันพูดต่อ “ถ้าเย่เซียวหลงรักคุณเข้าอีกครั้งนั่นจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา เขาเป็นคนมีคุณธรรม ทรยศคนอื่นจะทรมานเขามากกว่าถูกคนอื่นทรยศ ทำให้เขายากจะรับได้และเจ็บปวดมากกว่า คุณไป๋ สิบปีก่อนคุณเคยทำผิดต่อเย่เซียวมาแล้ว สิบปีหลัง ฉันขอร้องคุณ…ไว้ชีวิตเขาด้วย…”
ประโยคท้ายน่าหลันแทบพูดด้วยเสียงขอร้อง
ไป๋ซู่เย่หายใจรุนแรง เธอรู้ผลของมันดี รู้มากกว่าน่าหลันมากนัก
สิบปีก่อนคือการยิงทะลุไส้
หากสิบปีหลังพวกเขายังอยู่ด้วยกัน จะเป็นแค่การยิงทะลุไส้หรือ?
เขาจะสูญเสียชีวิตได้…
เธอไม่อยากให้เขาต้องสังเวยชีวิต…
ไป๋ซู่เย่เงียบอยู่พักใหญ่ พยายามระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในอก มือที่จับแก้วน้ำเกร็งแน่นจนปลายนิ้วขาวซีด พักใหญ่คล้ายสงบสติอารมณ์ได้เธอเชยตามองน่าหลันตรงข้ามแวบหนึ่ง “คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องให้คุณบอกฉันเองก็รู้ ในเมื่อคุณอยากได้เย่เซียวขนาดนี้ก็พยายามไปไขว่คว้าเอง ไม่จำเป็นต้องมาร้องไห้สารภาพความในใจหรือคร่ำครวญต่อหน้าฉัน ความรักของคุณไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่สนใจสักนิด ส่วนเย่เซียว…ฉันมีการตัดสินใจของฉันเอง”
เธอพยายามใจเย็นถึงวินาทีสุดท้าย ทุกคำคมชัดและมีสติ
น่าหลันถูกเธอว่าเข้าก็หน้าแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้ พานรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย
ไป๋ซู่เย่เงียบ วางเงินบนโต๊ะลุกขึ้น “ฉันยังมีธุระอื่น คงอยู่คุยกับคุณต่อไม่ได้ ขอตัวก่อน”
ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วลุกขึ้นเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานไปกว่านี้
น่าหลันเองก็ลุกตาม มองเธอแวบหนึ่ง
“คุณเคยรักเขาไหม?” อยู่ๆ น่าหลันโพล่งถาม
ไป๋ซู่เย่สะท้านชะงักปลายเท้า มือที่ถือกระเป๋ากระชับแน่น แน่นจนปลายนิ้วที่บาดเจ็บอยู่เสียดสีจนเริ่มเจ็บอีกครั้งถึงตอบกลับ “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน คุณน่าหลันอย่าถามเลยดีกว่า ฉันไม่สนใจที่จะสอดรู้เรื่องความรักของคนอื่น และไม่มีความสนใจที่จะแบ่งปันเรื่องความรักของฉันให้คนอื่น”
“คุณมีสติและเหตุผลขนาดนี้ ยากจะคาดคิดได้ว่าคุณเคยรักเย่เซียวจริงๆ ฉันรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเขาเท่านั้นเอง”
มีสติและเหตุผล?
น่าหลันอาจจะไม่มีทางได้รู้ชั่วชีวิตว่าคนที่ยิ่งมีสติและมีเหตุผลมากเท่าไร ก็ยิ่งมีบาดแผลในใจมากเท่านั้น
…………………………
ไป๋ซู๋เย่พิงกระจกรถแท็กซี่โดยทิ้งสายตาว่างเปล่าไปนอกหน้าต่าง แสงไฟทุกอย่างในสายตาเธอนั้นเหลือเพียงภาพสีเทาหม่นเท่านั้น
เธอกับเย่เซียวได้ยืนอยู่ตรอกซอยทางตันที่ถูกวางกับดักไว้เต็มเกลื่อน…
ยิ่งก้าวไปข้างหน้าก็มีแต่จะสร้างบาดแผลให้แก่กันและกัน ก้าวถอยหลังถึงจะเป็นฟ้าที่สดใส จุดนี้เธอเชื่อว่าเขาเองก็รู้ดี
…………………………
ตอนที่ไป๋ซู่เย่หยิบกุญแจไขประตูเข้ามาเปิดไฟในห้อง เย่เซียวนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาด้วยใบหน้าเรียบตึง
ดึกขนาดนี้แต่ยังเท้าเปลือยไม่ใส่รองเท้าแตะ ไป๋ซู่เย่คิดจะหารองเท้าแตะจากตรงหน้าประตูออกมาแต่หาตั้งนานก็ไม่เจอ พอหันหลังอีกทีพบว่ารองเท้าแตะถูกม้วนเป็นก้อนยัดใส่ถังขยะ
“คุณทิ้งรองเท้าได้ยังไง?”
เย่เซียวเบนสายตาจากโทรทัศน์มาทางเธอ “รองเท้าเน่าๆ ที่คนอื่นเคยใส่ จะเก็บไว้ให้ผมใส่อีกเหรอ?”
“…” ประโยคนี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกขัดหู
ไป๋ซู่เย่สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “สิบกว่าวันที่เหลืออยู่ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ คุณไม่ใส่ก็ช่าง แต่รองเท้าเป็นของฉัน คุณจะโยนมันทิ้งไม่ได้”
เธอเก็บรองเท้าจากถังขยะออกมาจัดวางใหม่
เย่เซียวที่อัดอั้นอารมณ์ไว้ตลอดช่วงบ่ายและกลางคืนจนไฟสุมเต็มอก ตอนนี้เห็นเธอนิ่งขนาดนี้สุดท้ายเขาก็ทนต่อไม่ไหว โยนรีโมทใส่โต๊ะเตี้ยแรงๆ เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ที่เป็นเสียงน่าสะเทือนใจอย่างมากเมื่อได้ยินตอนกลางคืน
ก้าวขายาวไปตรงประตู ใช้ขาข้างเดียวเตะรองเท้าแตะที่เธอเพิ่งจัดวางเสร็จออก
เตะโดนมือเธอ เธอหุบนิ้วแน่นและรอผ่านไปครู่ใหญ่โดยที่ยังนั่งยองอยู่ตรงนั้นไม่พูดอะไร แต่ต่อจากนั้นเย่เซียวก็กระชากแขนเธอขึ้นจากพื้น
“เย่เซียว ถ้าคุณจะซักถามฉันเรื่องของอวิ๋นช่วน ฉันจะคิดว่าคุณกำลังหึง”
เย่เซียวตะลึงงัน
เขาไม่คิดเลยว่าเขายังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรกลับถูกไป๋ซู่เย่ชิงพูดดักทางก่อน!
หึง?
“คุณรู้ตัวไหมว่าคุณพูดอะไรออกมา?!” สายตาของเขาเย็นชา
หึง? น่าขำสิ้นดี!
“แล้วคุณล่ะ รู้ไหมว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่?” ไป๋ซู่เย่มองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ฉันกับอวิ๋นช่วนไม่เคยจูบกัน ยิ่งไม่เคยทำอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น คุณกลับสนใจเขาขนาดนั้น ระแวงเขา เห็นเขาต้องโมโหทุกครั้ง แม้แต่รองเท้าที่เขาเคยใส่คุณยังทนมองไม่ได้ขนาดนี้ เย่เซียว คุณถามใจตัวเองก่อนว่าคุณอิจฉาหรือเปล่า หรือว่า…ความจริงแล้ว คุณยังชอบฉันอยู่?”
……………………