อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 672 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (3)
- Home
- อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!
- ตอนที่ 672 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (3)
เดินผ่านเคาน์เตอร์บริการก็ได้ยินเหล่านางพยาบาลก่อนหน้านี้ซุบซิบกัน ปวดใจ? เย่เซียวกำลังปวดใจกับสภาพตัวเองหรือ? เธอไม่รู้ แต่เหมือนจะใช่ก็เหมือนจะไม่ใช่ ความคิดของเขายากจะหยั่งลึกเข้าถึง
“เปลี่ยนคนที่ไหนกันล่ะ? เธอมาใหม่ไม่รู้ล่ะสิ วันนี้คุณน่าหลันที่มาพร้อมกับเขา เมื่อก่อนผู้อำนวยการตอนล้อเล่นเรียกเธอว่า ‘พี่สะใภ้’ บ่อยเชียวล่ะ! คุณเย่เซียวได้ยินก็ไม่ปฏิเสธ พวกเขาสองคนคู่กันมาตั้งแต่แรกแล้ว”
เธอหายใจติดขัด
“หมายความว่าคุณไป๋ต่างหากที่มาทีหลัง?” เหล่าพยาบาลยังคงพูดต่อ
“แน่นอนสิ! เธอไม่สังเกตเห็นเหรอว่าคุณไป๋กับคุณน่าหลันหน้าตาคล้ายๆ กัน ฉันว่าที่คุณเย่เซียวดีกับคุณไป๋ขนาดนี้ก็น่าจะเพราะหน้าที่แอบคล้ายคลึงกับคุณน่าหลันมากกว่าเลยเผลอรักไปด้วยน่ะสิ”
ไป๋ซู่เย่คอยฟังทีละประโยคๆ ขณะเคลื่อนตัวเข้าไปในลิฟต์ช้าๆ ลงไปชั้นล่างโดยที่เจ้าตัวทำหน้าเรียบนิ่งไม่ให้คนอื่นจับอารมณ์ที่ผิดปกติได้ แต่เจ้าตัวกลับเย็นชาผิดแปลกไปจากเดิม เย็นชาจนน่ากลัวคล้ายว่าเป็นร่างว่างเปล่า ไร้วิญญาณ
…………………………
จากนั้นไป๋ซู่เย่ไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงานของถังซ่งอีก
ผลตรวจออกมาก็มีคุณหมอท่านอื่นคอยดูให้ ยังดีที่ไม่มีอะไรหนักหนา
ทำการตรวจทุกอย่างเสร็จก็ใกล้เวลาเลิกงานของโรงพยาบาล ตอนออกมาอากาศค่อนข้างดี แต่ตอนนี้กลับฝนตก
วันนี้ไม่ได้ขับรถออกมาเพราะที่จริงแล้วหลายวันนี้เธอพยายามหลีกเลี่ยงไม่ขับรถ ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่จึงไม่อยากล้อเล่นกับชีวิต เธอยืนโบกรถเมล์ด้านนอก
แต่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คนเลิกงานก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยังคงไม่มีรถแท็กซี่ที่ว่าง เธอยกแขนไว้เหนือศีรษะเพื่อบังฝนแม้จะไม่ได้ผลอะไร…เริ่มเสียใจที่ตนไม่ได้ขับรถมา
รอพักใหญ่มีรถคันหนึ่งฝ่าฝนมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะขวางทางที่เธอจะไปและรถคันนั้นกดแตรเสียงดังรัวๆ ไป๋ซู่เย่เผลอหันกลับไปมองก็เห็นป้ายรถทะเบียนที่แสนคุ้นตา รถคันที่คุ้นเคย…
มีหยาดน้ำฝนกับหน้าต่างบานหนากั้นไว้ เธอยังเห็นสายตาเย็นชาเรียบนิ่งของเย่เซียวคู่นั้นที่กำลังจดจ้องเธอนิ่งได้ชัดเจน น่าหลันนั่งอยู่ตรงข้างคนขับ สายตาของเธอแฝงด้วยความไม่สบายใจปนระแวงเช่นเคย
ไป๋ซู่เย่เบี่ยงตัวหลบโดยการที่เหยียบขึ้นไปยืนทางเท้าเดินข้างๆ
เดิมทีหลงคิดว่าพวกเขาน่าจะไปได้แล้ว กลับไม่คิดว่าเพิ่งออกมา
ขณะที่รถยนต์เคลื่อนผ่านข้างกายเธอไปกลับชะลอจอด กระจกรถเลื่อนลงช้าๆ ถังซ่งโผล่ครึ่งใบหน้ามาเชื้อเชิญเธอ “ขึ้นรถสิ ฝนหนักเกินไปแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราไม่ได้ไปทางเดียวกัน” เธอไม่ได้ซื่อขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าคนในตำแหน่งคนขับกับข้างคนขับไม่ต้อนรับเธอ เย่เซียวยังคงเหยียดหลังตรงไม่หันข้างสักนิด น่าหลันกลับเบนหน้ามามองเธอแวบหนึ่งด้วยสายตาที่สื่อความหมายชัดเจน
“หัวคุณตากฝนไม่ได้ กลับไปถ้าติดเชื้อจะสาหัสมากเลยนะ!” ถังซ่งตักเตือนตามหน้าที่ในมุมของคุณหมอ
“อืม ฉันจะไปนั่งรถไฟใต้ดินเดี๋ยวนี้”
เพิ่งสิ้นคำของเธอไม่รอถังซ่งเลื่อนกระจกขึ้นรถยนต์ก็ถูกเหยียบคันเร่งจนพุ่งทะยานออกไปไกล น้ำกระเด็นไปรอบข้าง
…………………………
รอพวกเขาจากไปไป๋ซู่เย่ยืนรอข้างถนนอยู่ราวสิบนาทีจนเจ้าตัวเหมือนลูกหมาตกน้ำ แต่ก็ไม่มีรถมาสักที เธอได้แต่เดินไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ท่าทางวันนี้จะเรียกแท็กซี่ไม่ได้เสียแล้ว ถึงจะเรียกแท็กซี่ได้จริงๆ จากสถานการณ์รถติดแทบไม่เขยื้อนตัวในขณะนี้เกรงว่าถึงบ้านอีกทีน่าจะสามทุ่มกว่า
ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินยังห่างจากโรงพยาบาลอยู่ระยะหนึ่ง อีกทั้งฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ! แต่จะทำอย่างไรได้? เดินต่อไปเถอะ!
เธอตัดสินใจไม่ใช้มือบังฝนอีก เหยียบรองเท้าส้นสูง เสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสีเขียวเข้มเดินท่ามกลางสายฝนไปช้าๆ
ลมพัดมาให้ชายกระโปรงเธอพลิ้วไหว เธอเหมือนดอกฝิ่นที่กำลังเริงระบำกลางสายฝน ความสง่าของเธอเหมือนเป็นภาพทิวทัศน์แสนงดงามให้กับโลกที่แสนโกลาหลวุ่นวายนี้
“คุณ จะกางร่มด้วยกันไหม? ตัวคุณเปียกหมดแล้ว” เดินไปได้ครึ่งทางมีชายหนุ่มคนหนึ่งถือร่มวิ่งมาจากด้านหลัง สายตาเหนือศีรษะหายไป ไป๋ซู่เย่ยิ้มให้อีกฝ่ายจางๆ “ขอบคุณ”
ไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณเองก็ทำงานแถวนี้เหรอ?” อีกฝ่ายเห็นหน้าเธอก็ตาวาว ชวนคุยด้วยความสนใจ
คนสวยนะ
ท่าทางเย็นชาโดยที่ใบหน้ายังมีน้ำฝนติดอยู่ ยิ่งขับให้คล้ายกับดอกแพร์ที่ปลิวตกบนผิวน้ำ เรียกให้คนพบเห็นใจสั่น
“เปล่า” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับสั้นๆ ผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะปกปิดความคิดตัวเอง เธอดูออก
“อา ผมรู้แล้ว คุณต้องมาโรงพยาบาลแน่ๆ ใช่ไหม? บนหัวยังมีผ้าพันแผลอยู่เลย บาดเจ็บเหรอ? บาดเจ็บอยู่ก็ยิ่งตากฝนไม่ได้ ก่อนออกจากบ้านคุณน่าจะดูพยากรณ์อากาศหน่อย”
“…” ไป๋ซู่เย่ไม่มีความเคยชินที่คุยกับคนแปลกหน้ามากนักจึงไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย
“ผมจะหยิบทิชชูให้คุณเช็ดหน้านะ” ชายหนุ่มก้มหัวค้นกระเป๋าตัวเอง
ทันใดนั้นไป๋ซู่เย่รู้สึกมีแรงจับตรงข้อมือ วินาทีถัดมาเจ้าตัวถูกคนกระชากออกจากใต้ร่มของคนแปลกหน้า เธอถูกกระชากตัวอย่างไม่ทันตั้งตัวจนตัวหมุนหนึ่งรอบก่อนจะกระแทกเข้ากับอกแกร่งของชายหนุ่มแรงๆ เหนือศีรษะกลายเป็นร่มสีเทาอีกคันที่มีพื้นที่กว้างกว่าเดิม ห้อมล้อมทั้งคู่เข้าด้วยกัน
กลิ่นอายคุ้นเคยเตะจมูก เธอแทบไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้ว่าใครคือคนกระชากตัวเอง
เขามาอยู่นี่ได้อย่างไร?
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าควรอยู่กับน่าหลันและถังซ่งหรือ?
ความรู้สึกอยากร้องไห้ตีตื้นขึ้นมา ความเฉยชาที่เสแสร้งมาก่อนหน้าเริ่มประคองต่อไม่ไหว “คุณปล่อยฉัน”
น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดีมาก แม้แต่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงโกรธ รู้แค่มีไฟนิรนามลุกโชนในใจและมันถูกกดทับไว้สองวันเต็มๆ
ตั้งแต่โทรศัพท์ในคืนนั้นมาถึงเวยป๋อของน่าหลัน แล้วก็เมื่อครู่…
น่าขำสิ้นดี
ตัวเองเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าอย่าโกรธ อย่าไปสนใจ ลืมไปแล้วหรือ? แล้วไหง…ถึงได้ลากน่าหลันมาเข้าเกี่ยว เธอไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว? นี่มันสวนทางกับคุณสมบัติอาชีพเธออย่างสิ้นเชิง
“เพิ่งสองวัน คุณก็สูงส่งจนผมแตะต้องไม่ได้เชียวเหรอ?” เย่เซียวประชด กวาดสายตาดูถูกผ่านตัวเธออย่างไม่เกรงใจ “ทุกที่บนตัวคุณ มีตรงไหนที่ผมยังไม่เคยสัมผัสบ้าง?”
“…” มือคู่นั้นของเขาที่เคยสัมผัสเธอ ก็เคยใช้สัมผัสทุกตารางนิ้วบนตัวน่าหลันเช่นกัน
เพราะความคิดนี้ไป๋ซู่เย่เริ่มหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก
“เย่เซียว ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณกลางถนน คุณไปทางของคุณ ฉันไปตามทางของฉันเถอะ ลาก่อน” เธอไม่อยากคุยกับเย่เซียวไปมากกว่านี้ หันหลังเดินไปยืนใต้ร่มของชายแปลกหน้านั่นอีกครั้งแล้วบอกอีกฝ่าย “ต้องยืมร่มคุณอีกสักหน่อยนะ ขอโทษที”
………………………