อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 673 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (4)
- Home
- อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!
- ตอนที่ 673 ระหว่างความใกล้ชิดที่แยกออกเป็นสองทาง (4)
“เป็นเกียรติของผม เป็นเกียรติของผม!” ชายหนุ่มยินดีและดีใจอย่างมาก ยืนใกล้หญิงสาวจนสามารถได้กลิ่นหอมจากตัวเธอ
เย่เซียวหน้าเรียบตึง ก้าวเท้ายาวไปตรึงแขนเธอไว้ เธอหันหลังกลับมา เขาถลึงตาจ้องเธออย่างเย็นชา “ไป๋ซู่เย่ อย่าไม่รู้จักเจียมตัว! อย่าลืมนะว่าสัญญาของเรายังไม่จบ! ตอนนี้คุณยังเป็นของเล่นของผม ต้องโผล่หัวมาทุกครั้งที่เรียก!”
ประโยคท้ายเขากัดฟันพูดหนักๆ คล้ายอยากให้เธอจดจำให้ดี
หากพูดถึงสัญญาไป๋ซู่เย่ก็หมดคำจะถกเถียงเสมอไป หรืออาจพูดได้ว่าแค่อาศัยคำอ้างนี้ให้เธอได้ทำตามใจตัวเองบนความสัมพันธ์นี้สักหน่อยดี?
ชายแปลกหน้าเห็นท่าทางเธอเหมือนถูกคนรังแกก็อดที่จะเรียกร้องความยุติธรรมแทนไม่ได้ “คุณไม่เห็นหรือไงว่าเธอไม่ยอมกางร่มกับคุณ คุณ…”
“ไสหัวไป!” เย่เซียวตอบกลับผู้ชายคนนั้นเสียงเด็ดขาด
ตวัดสายตาดุดันที่เรียกให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกจากก้นบึ้งของหัวใจได้มากกว่าสายฝนลมหนาวนี้เสียอีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนสองขาอ่อนแรง
ผู้ชายคนนี้แค่ดูก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา แค่ใบหน้าเย็นชาจนน่ากลัวนั่นก็แล้ว ขนาดตัวยังสูงกว่าเขาหนึ่งช่วงไหล่ หากต่อยกันจริงๆ ไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะชนะสักนิด
คิดเท่านี้สุดท้ายชายแปลกหน้าได้แต่กางร่มเดินไปอย่างเชื่อฟัง
……………………
กลางสายฝน
เหลือแค่ไป๋ซู่เย่กับเย่เซียวสองคน
“คุณไปทานข้าวกับพวกเขาเถอะ ฉันไปนั่งรถไฟใต้ดิน” เสียงไป๋ซู่เย่อ่อนเพลียปนเหนื่อยล้า มีแผลบนหัวแล้วยังตากฝน ย่อมไม่มีทางรู้สึกดีอยู่แล้ว
เธอเหนื่อยมากจริงๆ ความเหนื่อยที่เหนื่อยมาจากใจ เธอไม่อยากทะเลาะกับเย่เซียวภายใต้สถานการณ์อย่างนี้อีก
เย่เซียวกลับทำเหมือนคร้านจะสนใจเธอ ดึงแขนเธอไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ไป๋ซู่เย่กลัวว่าจะเจอคนของกองข่าวแล้วโดนถ่ายรูปไว้อีก มันไม่มีผลดีต่อใครแต่ก็ไม่ได้ขืนตัวแต่อย่างใด สุดท้ายปล่อยให้เขากระชากเดินไปข้างหน้า เธอมองแผ่นหลังหนาของเขาอย่างล่อยลอย
พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันเพียงคืบ ใกล้เสียจนยื่นมือก็จับต้องสัมผัสได้ แต่กลับห่างไกลกันเหลือเกิน…
ความอบอุ่น ความสวยงามที่พวกเขาเคยมีด้วยกัน เป็นเพียงแค่ฟองสบู่เท่านั้น
แตะเบาๆ ก็สลาย…ไม่เหลือให้เป็นที่จดจำ…
……………………
อีกฟากหนึ่ง
บนโต๊ะอาหารเหลือเพียงน่าหลันกับถังซ่งสองคน
น่าหลันมองไปนอกหน้าต่างนิ่ง สเต๊กเนื้อตรงหน้าเย็นชืดหมดแล้วแต่เธอกลับไม่ขยับมีดส้อมเลย
ถังซ่งแอบก่นด่าเย่เซียวว่าไอ้เลว เพิ่งนั่งลงไม่ถึงสองนาทีก็หยิบร่มเดินไปโดยไม่คิดจะพร่ำบอกกันสักนิด ทำให้เขาต้องมาปลอบน้องสาวที่เศร้าโศกอยู่ตรงนี้
“ผมไม่เห็นคุณทานอะไรเลย ไม่ชอบหรือเปล่า? ถ้าไม่ชอบหยิบเมนูมาเปลี่ยนใหม่เป็นไง?” ถังซ่งเอ่ยปากโบกมือจะเรียกพนักงานมา
น่าหลันส่ายหัว “ช่างเถอะค่ะ ความจริงทานอะไรก็เหมือนกัน”
ไม่มีอารมณ์ ต่อให้ได้ทานของที่อร่อยมากแค่ไหนความจริงก็มีแต่รสชาติเหมือนเคี้ยวเทียน
ถังซ่งเองก็รู้ว่าเธอไม่มีความสุขถึงได้พยายามกระตุ้นบรรยากาศ “หรือว่าผมเล่นมายากลให้คุณดี ว่าไงล่ะ? สนุกนะ ผมเพิ่งเรียนมา”
วิธีที่ห่วยแตกสิ้นดี! แต่ปกติใช้ปลอบหญิงสาวได้ผลนะ
น่าหลันมองเขาอย่างเศร้าใจ “งั้นคุณช่วยเสกให้เย่เซียวกลับมาให้ฉันทีได้ไหม?”
“…” ถังซ่งหมดคำพูด ถอนหายใจวางช้อนน้ำซุปในมือลง “น้องสาว คุณฟังผมนะ ผู้ชายน่ะบางครั้งก็อย่างนี้แหละ…ของบางอย่างเหมือนหนามที่ยอกในอก ถ้าคุณไม่ให้เขาดึงมันออก มันก็ตำอยู่ตรงนั้นให้เจ็บปวดไปตลอดชีวิต ฉะนั้น คุณต้องให้เวลาเขา”
“ให้เวลาเขา…ถ้าฉันยอมให้เวลาเขาจริงๆ หนามเสี้ยนนั่น จะดึงมันออกได้ไหม?” น่าหลันถามเสียงเบา เป็นการพึมพำเองเสียมากกว่า สิบปีแล้ว ยังดึงไม่ออกเลย…เขาต้องการเวลาอีกกี่สิบปี?
ถังซ่งทนมองผู้หญิงเสียใจไม่ได้เลย เห็นท่าทางเธอเช่นนี้จึงรีบพูดปลอบ “ได้สิ ต้องได้แน่ๆ คุณวางใจได้ ผมเข้าใจเขา เขาหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางอนุญาตให้ตัวเองตกอยู่ในกำมือไป๋ซู่เย่สองครั้งได้หรอก อีกอย่างคุณก็รู้ว่าต่อให้เขาอยากอยู่กับไป๋ซู่เย่ ก็ต้องดูว่าลูกน้องของเขายอมไหม นอกจากจะไปตาย พวกเขาสองคนถึงมีความหวังสักเสี้ยว”
พูดถึงสุดท้ายน้ำเสียงถังซ่งเองก็หนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม หากพูดขึ้นมานี่ต่างหากสิ่งที่เขากังวลที่สุด หากเย่เซียวปล่อยวางไป๋ซู่เย่ไม่ได้อย่างแท้จริง สุดท้ายยอมที่จะเลือก…
คิดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็ไม่กล้าคิดต่อไป ประสบการณ์ที่ถูกยิงทะลุไส้เมื่อสิบปีก่อน จนทุกวันนี้ก็ทำเอาเขาขนลุกทุกครั้งที่นึกถึง
……………………
เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าเย่เซียวจะกลับไปหลังส่งเธอถึงปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ไม่คิดว่าเขาเก็บร่มและไม่ได้ไปไหน
เธอเริ่มไม่เข้าใจเขาแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
เย่เซียวไม่เคยนั่งรถไฟใต้ดิน อย่างน้อยเขาไม่เคยนั่งรถไฟใต้ดินในประเทศมาก่อน หลังจากถูกรับไปเลี้ยงในวัยเยาว์ก็ถูกพาไปต่างประเทศทันที ส่วนไป๋ซู่เย่เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินตั้งแต่เด็กจึงนับว่าคล่องพอตัว เธอไปยืนต่อแถวซื้อตั๋วก่อน ภายในสถานีรถไฟใต้ดินนี้เบียดอย่างเหลือเชื่อ เย่เซียวยืนอยู่หลังเธออย่างนั้น
เขาสูงมาก
มองผ่านไปไม่มีผู้ชายคนไหนในสถานีรถไฟใต้ดินที่สูงและกำยำกว่าเขา
ไป๋ซู่เย่หาเส้นทางไปยังใต้ตึกห้องของเธอได้ก็จองตั๋วหนึ่งใบ แต่ถูกเย่เซียวเปลี่ยนเป็นสองใบ ไป๋ซู่เย่หันกลับมามองเขา “คุณจะไปไหน?”
“คุณว่าไงล่ะ?”
“…” ไป๋ซู่เย่ไม่เข้าใจเย่เซียวมากไปอีก
รอได้ตั๋วมาถึงได้ยินเย่เซียวพูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมลืมของไว้ที่บ้านคุณ ไม่ต้องคิดเหลวไหล”
“อ้อ” ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง
ความจริงไป๋ซู่เย่ก็รู้ว่าเขาลืมของไว้ที่บ้านเธอ เป็นเนกไทเส้นหนึ่ง น่าจะได้มาจากน่าหลันเพราะบนนั้นปักคำว่า ‘หลัน’ ไว้ เมื่อวานเธอเพิ่งสังเกตเห็นตอนจัดตู้เสื้อผ้า เดิมทีกำลังชั่งใจว่าควรไปส่งให้เขาหรือไม่ แต่พอคิดอีกทีเกรงว่าเขาจะจำของเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้
ถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วเขาจำได้แม่นยำ เห็นทีนั่นคงเป็นของสำคัญสำหรับเขามาก
ขณะที่กำลังเหม่อลอยรถไฟใต้ดินก็มาถึง เนื่องจากคนจำนวนมากทำให้เธอถูกกลุ่มคนเบียดเข้าไปในรถไฟทันทีที่เพิ่งยกเท้า เพียงครู่เดียวเธอกับเย่เซียวก็คลาดกัน
เข้าไปในโบกี้รถไฟใต้ดินโดยที่เธอถูกกลุ่มคนเบียดไปมาจนถึงมุมด้านในสุด ยืนพิงประตูอีกฟากและหวังจะเชิดตาตามหาเย่เซียวสักหน่อย กลับพบว่ากลุ่มคนเดิมที่เบียดอัดเป็นปลากระป๋องแยกออกเป็นสองทาง เย่เซียวหน้านิ่งเดินมายืนข้างเธอ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดอะไร
เย่เซียวที่เบียดอยู่ท่ามกลางผู้คน มันช่าง…ไม่เข้าเลยจริงๆ
ฉะนั้น คนในรถไฟใต้ดินแอบหันสายตามาทางพวกเขาด้วยความสงสัยเป็นระยะๆ
ไป๋ซู่เย่ยังรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์ที่น่าวิเศษเสียจริง อยู่ดีๆ ก็มาเบียดในรถไฟใต้ดิน แถมยังอยู่กับเย่เซียวสองคน
…………………………