อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 689 โซ่ตรวนรัก (4)
“ไป๋ซู่เย่!” เย่เซียวกัดฟันกรอด ผู้หญิงคนนี้กำลังดูถูกเขา?
“คุณปล่อยฉันก่อน” ไป๋ซู่เย่แกะมือของเย่เซียว “เมื่อกี้ตอนมาจากเรือนรอง ข้างนอกฝนตกชุดนอนฉันเลยเปียก เลยขอยืมเสื้อผ้าคุณใส่ก่อนชั่วคราว ถ้าคุณไม่ชอบ รอคุณเข้าห้องน้ำเสร็จฉันเปลี่ยนกลับก็ได้ ตอนนี้คุณปล่อยฉัน ไปเข้าห้องน้ำ ฉันจะไปหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิให้คุณ”
“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณกำลังพูดอยู่กับใคร?” ผู้หญิงคนนี้กลับใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง
“คุณจะเอาปืนยิงฉันอีกเหรอ?” ไป๋ซู่เย่จับมือเขาที่วางบนเอวตนลงมา “ตอนนี้คุณเจ็บหนักขนาดนี้ ไหนจะโดนฉีดยากล่อมประสาทอีก ถ้าคิดจะเอาปืนยิงฉันคงไม่ง่ายขนาดนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าฉันจะทำให้คุณได้แผล”
เย่เซียวแค่นเสียงเย็นชา “ถ้าคุณกล้าทำอะไรผม ยังไม่ทันเดินออกจากห้องนี้คุณก็จะถูกรุมทึ้งไม่เหลือชิ้นดี!”
ไป๋ซู่เย่ใช้นิ้วจิ้มผ้าพันแผลบนอกเขาทีหนึ่ง เย่เซียวร้องออกมาด้วยความเจ็บพลางกุมหน้าอกไว้ถลึงตาวาวโรจน์จ้องเธอ
“คุณกล้าท้าทายผม?”
“อือฮึ ฉันก็ไม่เห็นโดนรุมทึ้งอะไรนี่” ไป๋ซู่เย่เลิกคิ้วสูง หันหลังปิดประตูห้องน้ำออกไป
“ไป๋ซู่เย่!”
ด้านในของประตูเป็นเสียงกัดฟันกรอดของเขาที่ฟังดูจะอ่อนแรงสักหน่อย
ไป๋ซู่เย่พรูลมหายใจออกมายาวๆ อย่างที่คิดไม่มีผิดว่าระหว่างพวกเขามีเพียงตอนเขาหลับใหลเท่านั้นถึงจะไม่ทะเลาะกัน ตื่นมาก็ได้แต่ทรมานกันและกันเท่านั้น
เมื่อครู่ความจริงเธอไม่ได้ใช้แรงมากมายจิ้มแผลเขาแถมจงใจหลีกเลี่ยงปากแผลเขาให้มากที่สุด แต่…ไม่มั่นใจเลยว่าโดนแผลเขาหรือไม่
เธอไม่ได้รออะไร หยิบเครื่องวัดอุณหภูมิจากลิ้นชักออกมา
รออยู่ริมหน้าต่างสักครู่เย่เซียวถึงออกมาจากข้างใน อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของยากล่อมประสาทที่ทวีความรุนแรงขึ้นทำให้ฝีเท้าของเขาเริ่มช้าลง เธอเดินไปใช้มือหนึ่งช่วยจับเสาน้ำเกลือ อีกมือพยุงเขา
ไออุ่นและร่างกายอ่อนนุ่มของเธอแนบชิดเข้ามา เย่เซียวรู้สึกเพียงร่างกายยิ่งอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ปลายคางวางซ้อนบนไหล่เธอและตั้งใจหลบไม่ให้โดนแผลไหล่ขวาของเธอ ตาค่อยๆ ปิดลงจนสนิท
“เย่เซียว?” ไป๋ซู่เย่เรียกเขาเบาๆ
เขาแค่ทิ้งร่างพิงเธอไว้ไม่มีเสียงตอบกลับ
หน้าหันข้างเล็กน้อยก่อนจะซุกเข้ากลุ่มผมหอมอ่อนๆ ของเธอ
ไป๋ซู่เย่ร่างสะท้าน หัวใจสั่นไหวรุนแรง เมื่อครู่…ปากของเขาเลื่อนผ่านผิวกายเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่เป็นปากที่แห้งและเย็นเฉียบ แต่…กลับทิ้งความร้อนผ่าวไว้บนผิวกายเธอเสียอย่างนั้น…
เธอถอนหายใจอย่างเอือมระอา
ยั่วยวน?
ถ้าจะบอกว่ายั่วยวน น่าจะเป็นเขาเสียมากกว่าหรือเปล่า?
“คุณ…หลับแล้วเหรอ?” ไป๋ซู่เย่ถามเสียงเบา
เสียงที่ตอบกลับมีเพียงเสียงหายใจของเย่เซียว รวมถึง…สองแขนที่จู่ๆ ก็โอบกระชับกอดเอวเธอแน่น…
ไป๋ซู่เย่รู้สึกแสบที่ปลายจมูก น้ำตาเอ่อคลอทันใด
“ไป๋ซู่เย่…”
เขาที่ไม่ตอบอะไรมาตั้งแต่ต้นจู่ๆ ก็พึมพำเรียกชื่อเธอ
เธออยากตอบรับ
แต่ลำคอกลับเหมือนถูกสำลีอุดไว้ พักใหญ่ที่นอกจากเสียงหอบหายใจหนักอึ้งกลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยสักคำออกมาได้ ได้ยินเพียงเสียงแหบแห้งของเขาถามต่อ “ทำไม…ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้?”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันเปล่า…คุณจะเชื่อไหม?” เสียงของไป๋ซู่เย่ก็แหบแห้งเช่นกัน เธอสูดหายใจหนักๆ “ฉันไม่รู้เรื่องที่คุณถูกดักฟัง…”
“ไม่รู้เหรอ?” ใบหน้าที่ซุกในกลุ่มผมเธอไม่เคยยกเงยขึ้น “เครื่องดักฟังถูกติดตั้งไว้มิดชิดขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ทันระวัง คิดว่าตอนนี้เราเองก็ยังไม่เจอ…”
ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัด “คุณคิดว่า ฉันเป็นคนติดตั้งเครื่องดักฟัง?”
“นอกจากคุณ ผมคิดไม่ออกว่าจะเป็นใครอีก…”
เธอหัวเราะที หางตากลับมีน้ำตาซึม
“เย่เซียว คุณฟังให้ดี ฉันจะบอกแค่ครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่รู้ว่าคุณเจอเครื่องดักฟังที่ไหน ฉันยิ่งไม่รู้เลยว่าเครื่องดักฟังได้ยินอะไรมาบ้าง แต่ฉันไม่ใช่คนติดตั้งเครื่องดักฟัง ถ้าฉันเป็นคนทำจริงๆ ฉันไม่มีวันปฏิเสธ! เหมือนเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ฉันไม่เคยปฏิเสธตั้งแต่ต้น…”
“ถ้าไม่อยากถูกรุมทึ้งก็หุบปากซะ!” เย่เซียวได้สติมากขึ้นกว่าเดิมถึงเงยหน้าจากกลุ่มผมเธอ แต่ไม่ได้มองเธอ แค่พูดเสียงออกคำสั่ง “พยุงผมกลับเตียง”
ไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าท่าทางตอนนี้ของเย่เซียวเชื่อหรือไม่เชื่อ
แต่หากเขาไม่ยอมเชื่อตน ต่อให้พูดต่อไปก็ไร้ความหมาย อย่างที่ถังซ่งบอกว่าระหว่างพวกเขาความจริงก็ไม่เคยมีความเชื่อใจกัน ต่อให้ตอนนี้เขาบอกว่าเชื่อเธอ นั่นเป็นแค่ความคิดฉาบหน้า แต่ความคิดจริงๆ ในใจเขา เธอรับรู้มันไม่ได้
เธอพยุงเย่เซียวกลับไปที่เตียง
เย่เซียวถึงสังเกตเห็นผ้าพันแผลตรงนิ้วมือเธอ กำลังอยากถามแต่สุดท้ายแค่เบี่ยงสายตาหนีไม่ได้ถามอะไร
“คุณนอนนะ อย่าขยับ ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อน” ไป๋ซู่เย่คิดว่าอย่างมากเดี๋ยวตอนกลับไปเปลี่ยนชุดสะอาดที่ห้อง ท่าทางของเขาในตอนนี้ เธอเองก็อยากสงบลงสักที
แต่แรกเย่เซียวหลับตาอยู่พอได้ยินคำพูดของเธอก็ลืมตาขึ้น มุ่นคิ้ว “รอเดี๋ยว!”
“หืม?”
“เครื่องวัดอุณหภูมิ!”
ไป๋ซู่เย่ถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ พลางหยิบกล่องใส่เครื่องวัดอุณหภูมิข้างๆ มาเปิดฝา พอฆ่าเชื้อเสร็จให้เขาหนีบไว้ใต้วงแขน
เจ้าตัวยังไม่ทันไปดีเขากล่าวขึ้นอีก “ผมอยากดื่มน้ำ ให้คนเทน้ำเข้ามาให้ผม”
“ครั้งนี้มีแผลที่กระเพาะ คุณจะดื่มน้ำไม่ได้ ได้แค่ใช้คอตตอนบัดจุ่มน้ำแตะปาก”
“งั้นก็ได้”
“คุณรอเดี๋ยวนะ”
ไป๋ซู่เย่ลุกขึ้นเปิดประตูออกไป เย่เซียวทิ้งศีรษะไว้บนหมอนทำให้ไม่นานเจ้าตัวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา ข้างหูยังได้ยินเสียงพูดสั่งคนรับใช้เบาๆ ของเธอ ในหัวกลับเต็มไปด้วยประโยคเมื่อครู่ของเธอ ‘ฉันไม่ใช่คนติดตั้งเครื่องดักฟัง…’
ยังเชื่อได้อีกไหม?
ไป๋ซู่เย่…
คำพูดของคุณ ยังเชื่อได้อีกครั้งหนึ่งหรือเปล่า?
เมื่อไป๋ซู่เย่กลับมาอีกทีก็พบว่าเย่เซียวหลับไปแล้ว บรรยากาศรอบข้างราวกับเงียบสงบขึ้นมาทันใด
เธอยืนอยู่ตรงนั้นคอยมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและเริ่มเหม่อลอย จนประตูห้องถูกผลักเข้ามา คนข้างๆ ยื่นน้ำมาเธอถึงได้สติ
ดึงเครื่องวัดอุณหภูมิลงมาให้มั่นใจว่าไม่ได้เป็นไข้สูง เดี๋ยวหยอดน้ำเกลือหมดขวดไข้น่าจะลดแล้ว ถึงได้หยิบคอตตอนบัดมาจุ่มน้ำก่อนจะแตะๆ ริมฝีปากเขาให้เปียกชื้น
คล้ายกับว่าเขากระหายน้ำเหลือเกิน พอน้ำแตะโดนปากเขาก็ยื่นลิ้นออกมาเลียเบาๆ อย่างสะลึมสะลือ
เธอเห็นก็อดหัวเราะไม่ได้ “เย่เซียว คุณรู้ไหมว่าท่าทางของคุณตอนนี้เหมือนสุนัขตัวเล็ก…ไม่สิ สุนัขตัวโต พันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์”
เธอพึมพำไปพลางใช้คอตตอนบัดที่จุ่มน้ำแตะกลีบปากบางแสนเซ็กซี่ของเขา
จากนั้น…
สายตาจดจ่อกับกลีบปากของเขา
ไม่อาจเลื่อนสายตาไปไหนได้อยู่พักใหญ่
เธอ กลับต้องการจะจูบเขา…
………………………………