อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 699 รักจนหมดทางหนี (5)
นอกศาลาพักร้อน
ลมหนาวโบกสะพัด
ภายในศาลากลับเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สองคนที่กอดก่ายกันแน่นจนแทบลุกเป็นไฟ
เสียงครางกระเส่าของหญิงสาวคลอเคล้าไปพร้อมกับเสียงหอบหายใจหนักอึ้งและผิดจังหวะของชายหนุ่ม ท้ายที่สุดก็ถูกลมพัดกระจายไป
ทั้งสองคนเก็บความหวังที่ราวกับได้ถลำลึกลงหุบเหว ราวกับสูดอากาศเฮือกสุดท้าย พร่ำต้องการกลิ่นอายหยาดสุดท้ายของกันและกัน อุณหภูมิหรือจะเป็น…ความใกล้ชิดครั้งสุดท้าย…
ไป๋ซู่เย่ปล่อยใจตัวเองไม่ให้คิดถึงวันพรุ่งนี้ ได้แต่ตัวอ่อนระทวยในอ้อมกอดชายหนุ่ม
คราวนี้การรุกล้ำของเย่เซียวใจร้อนทว่าร้อนแรงเหมือนเดิม แต่ก็คล้ายจะอ่อนโยนกว่าครั้งที่ผ่านมามากนัก
ครั้งเดียวสำหรับเขาแล้วไม่มีวันพอ เย่เซียวเล่นงานเธอไปสองครั้งซึ่งก็นับว่าหักห้ามใจเต็มที่แล้ว
ในเรื่องนี้พละกำลังของไป๋ซู่เย่ย่อมเทียบกับเย่เซียวไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว หลังเสร็จสิ้นครั้งที่สองเธอได้แต่ปล่อยให้เย่เซียวกอดร่างอ่อนเพลียไว้
“ตอนนี้ทำไง?” เธอพึมพำเสียงถามอย่างไม่เหลือสภาพ ทั้งสองคนไม่มีใครคิดถึงว่าจะปล่อยให้ความต้องการชักนำถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้กลางเขา แถมยังทำติดต่อกันสองครั้ง
“ตอนนี้ได้แค่ใช้ผ้าห่มไปก่อน?” ห้วงอารมณ์ที่ยังไม่จางไปไหนทำให้เสียงของเขาแหบแห้งเซ็กซี่และเรียกให้คนฟังยิ่งรู้สึกหวั่นไหวในค่ำคืนเช่นนี้
ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับอย่างขวยเขิน เธอรู้สึกโชคดีมากว่ารอบข้างมืดสนิทจึงไม่เห็นท่าทางเขินอายของเธอในตอนนี้ได้
………………
ไป๋ซู่เย่จัดการตัวเองเสร็จพอเงยหน้าอีกทีเห็นเพียงเย่เซียวกำลังยืนอยู่นอกศาลาสูบบุหรี่ หัวบุหรี่ที่กำลังเผาไหม้จู่ๆ ก็ถูกลมพัดให้สะเก็ดไฟปลิวไปตามทิศทางลม สะท้อนให้เห็นใบหน้ามุมข้างของเขา
ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าดวงนั้นยิ่งขับให้ดูเย็นชา โดดเดี่ยวและอ้างว้าง
หัวใจไป๋ซู่เย่เจ็บอยู่เนืองๆ ความต้องการจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวังปนความเหนื่อยล้าที่พุ่งกระฉูดราวกับกระแสน้ำ
“มานี่” คล้ายว่าเย่เซียวจะจับสายตาเธอได้ โยนบุหรี่ทิ้งหันสายตามาทางเธอ
ไป๋ซู่เย่วางผ้าห่มในมือลงเหยียบรองเท้าส้นสูงไป เย่เซียวยื่นมือกุมมือเธอ ร่างเธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะถูกเขาจูงเข้าไปในหิมะ
แสงจันทร์ให้ความรู้สึกเงียบเหงา
หิมะขาวโพลนไปทั่วอาณาบริเวณ
ท้องฟ้าเริ่มสว่างทีละน้อย
“ให้ผมอุ้มไหม?” เย่เซียวถาม
เธอส่ายศีรษะ “เดินสักหน่อยดีกว่า”
“ข้างบนนั่นมีที่ให้ดูพระอาทิตย์ขึ้นดีๆ ที่หนึ่ง เราเดินขึ้นไปกัน”
ไป๋ซู่เย่รับคำสั้นๆ “คุณ…เคยมาเมื่อไหร่งั้นเหรอ?”
“สิบปีก่อนเคยมา” สิบปีก่อนตอนที่ยังอยู่ด้วยกันกับเธอเคยกลับประเทศมาเพียงลำพังอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นเนื่องด้วยตารางงานที่ค่อนข้างเร่งรีบต้องปฏิเสธคำเชิญร่วมมื้ออาหารมากมาย สิ่งเดียวที่ไม่ได้ตัดออกไปคือตารางที่ปีนเขามู่เจี้ย คนที่มาด้วยตอนนั้นล้วนคิดว่าเขามีงานอดิเรกคือปีนเขา ซึ่งความจริงนั้น…
เขาแค่ต้องการมาสำรวจพื้นที่ก่อนเท่านั้น
สิบปีก่อนขณะที่เขาปีนเขาลูกนี้ ในหัวคิดถึงเธอทุกวินาที
สิบปีหลัง สิ่งที่เขาคิดถึงยังคงมีแค่เธอ
สิบปีก่อน เขาก้าวเดินตัวปลิวทุกก้าวอย่างว่องไว
สิบปีหลัง ทุกย่างก้าวของเขาล้วนหนักอึ้งผิดปกติ
…………………………
ไม่ถึงระยะทางห้าร้อยเมตรก็มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขามาถึงกลับพบว่ามีคู่รักอยู่มาก่อนแล้วประปราย มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเธอกับเย่เซียวนั่นคือพวกเขาโรแมนติกและมีความสุข
เย่เซียวดึงมือเธอนั่งลงตำแหน่งกึ่งกลาง ทั้งสองคนไหล่ชนไหล่
ไป๋ซู่เย่ซบไหล่เขาเบาๆ ไร้บทสนทนาจากพวกเขา แค่ทอดมองไปทางทิศตะวันออกเงียบๆ
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ
“พระอาทิตย์ขึ้น! พระอาทิตย์ขึ้น!” ข้างกายมีหญิงสาวคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
ดวงตาของไป๋ซู่เย่รื้นด้วยน้ำใสจางๆ
“เย่เซียว” เธอเรียกเขาด้วยเสียงที่แหบแห้งน้อยๆ
“หืม”
“…คุณไปจากประเทศ S เถอะ”
เย่เซียวตัวนิ่งค้างไม่พูดอะไร
แสงตะวันพยายามทะลุชั้นเมฆ มีเพียงแสงเล็กน้อยสาดส่องมาจนคนดูรู้สึกอัดอั้น
“คุณเหนื่อยไม่ใช่เหรอ? ความจริง ฉันเองก็เหนื่อยมาก…” เสียงไป๋ซู่เย่เริ่มสะอื้นฮัก เธอยังคงซบไหล่เขาดังเดิม “ในเมื่อคุณลงมือฆ่าฉันไม่ได้ งั้น…ก็สู้…
ให้เราไว้ชีวิตกันและกันสักทางเถอะ…”
ประโยคสุดท้ายเธอหยุดชะงักค้างไปพักใหญ่ถึงเฟ้นหาเสียงตัวเองกล่าวออกมาด้วยลมหายใจที่หอบหนักทุกตัวอักษร ราวกับได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด
สายตาเย่เซียวทอดมองที่ชั้นเมฆไกลออกไป “เครื่องดักฟังนั่น ผมอยากฟังคำอธิบายเป็นครั้งสุดท้ายจากคุณ”
“หน่วยกรองข่าวไม่ยอมให้ข้อมูลที่แม่นยำกับฉัน หน่วยกรองข่าวได้ข่าวที่คุณมาอยู่บ้านฉันครั้งก่อน ดังนั้น…ฉันเดาว่าน่าจะฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่กันทั้งคู่ พวกเขาเข้ามาที่ห้องฉันแล้วติดตั้งเครื่องดักฟังนั่น นี่เป็นคำอธิบายครั้งสุดท้ายและคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันให้คุณได้”
เย่เซียวไม่ตอบ
ไป๋ซู่เย่ดูไม่ออกว่าสุดท้ายนั้นเขาเชื่อหรือไม่เชื่อกันแน่
เมื่อชั่วขณะที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาให้แสงสีทองอร่ามปกคลุมไปทั่วหล้า บนหิมะขาวละเอียดมีแสงสีทองสาดส่อง จู่ๆ เย่เซียวหันหน้ามาจูบเธออย่างลึกซึ้ง
เธอปวดตาอย่างรุนแรง
แต่ไม่ได้ดิ้นท้วงครู่ใหญ่
นั่งนิ่งตรงนั้นไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ และไม่ได้ตอบรับเขา
แค่ได้ยินเสียงแผ่วของเขาที่พูดเล็ดลอดทั้งที่แนบปากติดปากเธออย่างอื้ออึง “ผมปล่อยคุณไป…กระสุนนัดก่อนถือว่าคุณได้ชดใช้หนี้เมื่อสิบปีก่อนให้ผมแล้ว”
เดิมทีเขาอยากให้เธอมีชีวิตแบบตายทั้งเป็น เคยพร่ำบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าต้องทรมานเธอถึงสุด แต่สุดท้ายเขากลับพบความจริงที่ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ว่าการพัวพันอย่างที่ตนทำ ก็คือการปล่อยวางไม่ได้…แค่ยังรักอยู่…
ความทรมานทั้งหมดที่มอบให้เธอ ท้ายที่สุดแล้วคนที่เจ็บก็ไม่พ้นตัวเอง
อย่างเช่นกระสุนนัดนั้น หรือนิ้วมือที่ถูกเขาหัก…
ไป๋ซู่เย่ได้ยินคำของเขาแพขนตาสั่นไหว หลับตาลงแรงๆ มือจับเสื้อเชิ้ตเขาแน่นจนจิกปลายเล็บเข้าฝ่ามือ แต่ร่างกายของเธอเหมือนเหน็บชาไปทั้งร่าง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บจากฝ่ามือ…
เสียงเย่เซียวปนด้วยความรู้สึกท้อใจ “เครื่องบินวันนี้ ผมจะไปจากที่นี่”
นิ้วเธอจิกแรงกว่าเดิม
ที่แท้เขาวางแผนไว้แล้ว…
ธุรกิจของเขาอยู่ที่นี่ด้วยหากไม่ใช่เพราะวางแผนไว้ทุกอย่างล่วงหน้าคงไม่มีทางอยู่ๆ บอกจะไปก็ไปได้
แสงอาทิตย์ค่อยๆ จุดแสงสว่างให้แก่โลกทั้งใบ ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ต่างกระโดดโลดเต้นอย่างปลื้มปีติ เธอกลับรู้สึกเหมือนแสงแยงตาไม่กล้าลืมตา
“เราควรไปแล้ว” ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสียงเย่เซียวที่ทุ้มต่ำทว่าเรียบนิ่งดังขึ้นข้างหู
เรียบนิ่งเสียจนน่าปวดใจ
ระหว่างพวกเขาได้เดินมาถึงทางตัน ไม่มีทางให้เดินต่อไปอีกแล้ว…
เธอใช้แรงสุดกำลังที่จะกลั้นน้ำตาไว้ ลืมตาขึ้นยิ้มมองเขา “คุณอุ้มฉันขึ้นมา งั้นก็แบกฉันลงไปเถอะ”
……………………………