อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 704 จดจำฝังใจ (1)
“ให้ฉันเดินคนเดียวสักพัก…” ไป๋ซู่เย่ไม่ยอมขึ้นรถ แค่ใช้ดวงตาแดงก่ำร้องขอเขา “ให้ฉันอยู่คนเดียวสักพัก ได้ไหม? นายอย่ามาสนใจฉัน”
ไป๋หลางใจสะท้านเล็กน้อย
เธอไม่เคยคุยกับเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยดูไร้ที่พึ่งพิง หมดแรงและอ่อนแอขนาดนี้…
ราวกับว่าไป๋ซู่เย่ในอดีต…รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงคนนี้ คนที่ใส่เสื้อเกราะทั้งตัวหายไปในพริบตา ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้ แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการความปกป้อง ต้องการความทะนุถนอม ต้องการความรักคนหนึ่ง
ไป๋หลางทำใจไม่ได้ แต่ก็พยักหน้ายอมปล่อยเธอ
ความรักช่างเป็นสิ่งที่สร้างความทรมานแต่ดันควบคุมมันไม่ได้ วางไม่ได้แต่ก็ลืมไม่ลง…
……………………
ไป๋ซู่เย่เดินอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงลำพัง ผมยาวปลิวสะพัดไปตามลมและเสื้อกันหนาวเนื้อบาง พวงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะดื่มแอลกอฮอล์มามาก ท่ามกลางแสงหลากสียามค่ำคืนยิ่งเกิดความรู้สึกเย้ายวนใจที่ยากจะอธิบายไปอีกแบบหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้เดินบนถนนดึกดื่นเพียงลำพัง โดยเฉพาะที่มีสีหน้าใจแตกสลายจนคนมองนึกสงสาร ทำให้ผู้ชายไม่น้อยที่เดินผ่านอดมองตามไม่ได้
ไป๋หลางขับรถคอยตามหลังเธออยู่อย่างระมัดระวัง พอมีคนเพ่งเล็งเขาจะโผล่หัวออกมาใช้สายตาตักเตือนจ้องอีกฝ่ายจนคนเหล่านั้นล่าถอยไป
เธอเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินตากลมไปเหมือนดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่บนท้องถนนอย่างไร้ที่สิงสถิต คอยมองแสงไฟสว่างไสวเหล่านั้น แต่กลับไม่รู้ว่าตนมาจากไหนและควรไปที่ใด
เดินไปเดินไปจนถึงใต้ตึกใหญ่แห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ยืนอยู่ตรงนั้นแหงนหน้ากลับเห็นแค่ความมืดที่ไร้พรมแดน
ไป๋หลางจอดรถอยู่ห่างออกไป เขารู้ว่าตึกนี้เป็นบริษัทของเย่เซียว เพียงแต่บัดนี้…เขาไม่อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว…
ไป๋ซู่เย่นึกถึงผู้ชายคนนั้นในสภาพสติพร่ามัว เธอล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมา
เลื่อนแตะจอไปตามสัญชาตญาณ เพราะดื่มมามากทำให้นิ้วมือสั่นระริกน้อยๆ แต่หมายเลขนั่นก็ถูกเธอกดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ นี่เป็นเบอร์ที่จดจำขึ้นใจมาตลอดสิบปีแต่กลับเป็นเบอร์ที่ไม่กล้าโทรสักครั้ง
……………………
อีกฟากหนึ่ง
เมืองโยว
ท้องฟ้ายามรัตติกาลมืดสนิท
ในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ ชายหนุ่มยืนอยู่ริมหน้าต่างสูบบุหรี่ ทั้งที่ห้าทุ่มแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกง่วง
วันนี้เมื่อสิบปีก่อน…
เขากลับยังจำได้ดี
เขาให้การ์ดไร้วงเงินจำกัดแก่เธอหนึ่งใบทำเอาเธอโกรธจนงอนเขาไปสองวัน แต่ผู้หญิงโง่คนนี้กลับไม่รู้ว่าการ์ดใบนั่นเป็นการ์ดที่เขาให้ทางธนาคารเตรียมมาให้โดยเฉพาะ หมายเลขบนการ์ดเป็นเลขวันเกิดของเขาและเธอ 00198631219881118 ที่มีเพียงใบเดียวทั้งโลก หลังจากนั้นการ์ดใบนั้นถูกเธอเก็บไว้ในลิ้นชักห้องหนังสือ ต่อมารอเขาจะมอบให้ในปีถัดไป ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีต่อมาอีกเลย…
เย่เซียวเปิดกระเป๋าเงิน ในกระเป๋าเงินนอกจากรูปใบนั้นยังมีการ์ดใบนั้นอยู่เหมือนเดิม
สิบปีผ่านไปไม่ว่าจะรูปถ่ายเธอหรือการ์ดธนาคารใบนั้นก็เก่าคร่ำครึไปแล้ว
เขาดับบุหรี่ดึงรูปถ่ายและการ์ดธนาคารออกมาพร้อมกัน เงียบไปอึดใจก็ล้วงไฟแช็กออกมาจุดไฟ แสงสีฟ้าสะท้อนกลางอากาศและกำลังเผาไหม้ปล่อยไอร้อนออกมา ในเมื่อทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านไปล่ะ? ไม่ว่าจะรูปภาพ การ์ด หรือว่า…ความทรงจำที่เคยจำฝังใจ…
หายใจหนักอึ้งราวกับได้ตัดสินใจเด็ดขาด
แต่ขณะที่ปลายเปลวไฟเข้าใกล้รูปภาพ เสียงร้อง ‘เย่เซียว รับสายเร็ว’ ก็แผดเสียงขึ้นกลางห้อง
เขาตัวสะท้านเฮือกและขอบตาแดงก่ำ หันหน้าไปมองต้นทางของเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลงคิดว่าต้องเป็นเสียงหูแว่วของตัวเองแน่ๆ
แต่ว่า…
เสียงนั่นไม่หยุด ยังดังต่อไม่หยุด…
‘เย่เซียว รับสายเร็ว’ ‘เย่เซียว รับสายเร็ว’…
เสียงหวานใสนุ่มนวลเหมือนเสียงนกลาร์ค ดังกังวานในห้องเสียงแล้วเสียงเล่า เขารู้สึกหัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกทึ่งเจ็บจนหายใจไม่คล่องคอ
เขาโยนไฟแช็กในมือแทบจะทันทีและเปิดลิ้นชักหัวเตียง โทรศัพท์เก่าเมื่อสิบปีก่อนและหน้าจอที่ไฟขึ้นไม่หยุด
‘ซู่ซู่’ ชื่อนี้กำลังสะท้อนแยงตาเขาอยู่
โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเบอร์เมื่อสิบปีก่อนและเป็นโทรศัพท์ของเมื่อสิบปีก่อน ไม่รู้ว่าเขามีความยึดมั่นอะไรต่อให้สิบปีที่ผ่านมาเปลี่ยนโทรศัพท์มานับไม่ถ้วนหรือเปลี่ยนเบอร์มานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงเก็บไว้ ถึงขั้นที่เขาจะคอยชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มเสมอ เปิดเครื่องตลอดเวลา
ส่วนเสียงเรียกเข้านี้ก็เป็นเสียงที่เธอแอบอัดเสียงแล้วตั้งให้เขาอย่างซุกซนเมื่อสิบปีก่อน
กระทั่งตอนนี้เย่เซียวยังจำได้ว่าตนกำลังประชุมกับคนกลุ่มหนึ่งอยู่แล้วเสียงนี้ดังขึ้นทำให้ทุกคนใช้สายตาประหลาดใจและกลั้นหัวเราะมองเขา เขาในเมื่อนั้นกลับรู้สึกสุขใจอย่างน่าแปลก ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจไม่สามารถติดต่อเธอหรือตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายต่อชีวิต จะเอาออกมาเปิดฟังซ้ำซาก ยิ่งเวลาเหน็ดเหนื่อยก็จะรู้สึกมีพลังอย่างมาก
คิดถึงเธอจนไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไป ไม่กล้าให้ตัวเองบาดเจ็บเพราะกลัวเธอเป็นห่วง กลัวเธอจะหวาดกลัว เมื่อนั้นเขาถึงขั้นเคยจะจบชีวิตในมุมมืดแบบนี้เสีย
แต่…
ภายหลังถึงรู้ว่าความคิดนี้ของตนไร้เดียงสาขนาดไหน
ไม่กี่ปีแรกที่เธอจากไป เขาจะรู้สึกว่ามีเสียงเรียกเข้านี้ดังทุกครั้งที่เขาฝัน แต่พอลืมตาตั้งสติหยิบโทรศัพท์มาดูถึงพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพหลอนของตน…
แต่ตอนนี้…
กำลังดังขึ้นจริงๆ
โทรศัพท์ที่เงียบไปสิบปี ณ เวลานี้ยังสว่างอยู่ ภายในห้องมืดมนนี้ฉายชื่อ ‘ซู่ซู่’ ให้เห็นอย่างชัดเจน
สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาหยิบโทรศัพท์มากดรับแล้วแนบหู
ไม่พูด แค่คอยฟังเงียบๆ
หัวใจเต้นรัวเร็ว เร็วมากๆ…
คล้ายกำลังตื่นเต้น
กลัวเป็นอย่างที่เคยว่าจะดีใจเก้อ
กระทั่ง…
“เย่เซียว…”
อีกฟากของสายมีเสียงอ่อนนุ่มแว่วมาราวกับกำลังออดอ้อนหรือกำลังหัวเราะ แต่ก็ปนด้วยเสียงสะอื้นอยู่น้อยๆ
เย่เซียวกระชับมือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่น
เธอดื่มมา
อีกทั้งชัดเจนว่าดื่มจนเมาแล้ว
“ฉันรู้ว่าคุณเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว…คุณเปลี่ยนเบอร์ไปตั้งนานแล้ว…” ไป๋ซู่เย่พึมพำเสียงเบา
ที่ประเทศ S ในที่สุดเธอก็เหมือนจะเดินจนเหนื่อยพลางเตะรองเท้าส้นสูงทิ้ง ย่ำเท้าเปลือยเปล่าเดินบนพื้นเย็นอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้น โน้มตัวนั่งยองลงปล่อยให้ผมยาวสยายปรกลงมาบดบังใบหน้าเล็กกว่าครึ่งของเธอและเผยอีกครึ่งที่ยิ่งอยู่ยิ่งซีดเซียวไร้สีเลือด
เย่เซียวหายใจหอบ พยายามเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “ในเมื่อรู้ว่าผมเปลี่ยนเบอร์ แล้วจะโทรมาอีกทำไม?”
“นั่นสิ ทำไมถึงโทรล่ะ?” เธอพูดปนผิดหวังเบาๆ “ทั้งที่รู้ว่าคุณไม่มีทางรับ…”
ผู้หญิงคนนี้ดื่มไปมากขนาดไหนกันแน่? ถึงได้ดื่มจนไม่ได้สติขนาดนี้
……………………………