อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 709 เจอกันในที่ที่เคยใช้ชีวิตมา (1)
“บัตรเชิญ!” ไป๋หลางยื่นซองบัตรเชิญสีแดงหนึ่งให้เธอด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านดังเดิม “เขานี่มันเก่งจริงๆ ที่มาเชิญคนระดับสูงในกระทรวงความมั่นคงเราไปร่วมงานหมั้นของเขา หนึ่งในนั้นรวมถึงคุณด้วย!”
ไป๋ซู่เย่เปิดซองบัตรเชิญ บัตรเชิญหล่นออกมาจากข้างใน
เป็นบัตรเชิญอย่างที่คิดไว้เลย
สีแดงฉาน เป็นมงคลน่ายินดีนัก…
บนนั้นเขียนไว้สองชื่อ ‘เย่เซียว’ กับ ‘น่าหลัน’
เธออ่านไปอ่านไปก็รู้สึกตาใกล้จะแดงเต็มทีแล้ว
“คุณอย่าเศร้าไป ผมจะเอาบัตรเชิญนี้ไปทิ้งถังขยะให้เดี๋ยวนี้เลย!” ไป๋หลางว่าแล้วทำท่าจะเอาบัตรเชิญไปทิ้ง
“บัตรเชิญดีๆ จะทิ้งไปทำไม?” ไป๋ซู่เย่เอาบัตรเชิญกลับแล้วสอดไว้ใต้หมอน จากนั้นโยนโทรศัพท์ตัวเองให้ไป๋หลาง ไป๋หลางมองเธออย่างฉงนใจ “ทำไมเหรอ?”
“โทรศัพท์ฉันเหมือนจะเสียเพราะตกพื้น นายเอาไปซ่อมให้หน่อย ข้างในมีอีเมลเยอะมาก ให้คนของกระทรวงความมั่นคงจัดการก็พอ”
“แล้วบัตรเชิญนี่…” ไป๋หลางรับโทรศัพท์มาแล้วมองเธอด้วยความกังวลใจหลายที
“ฉันจะปรึกษากับท่านผู้นำเอง นายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
ไป๋หลางอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา ได้แต่กล่าวเพียง “คุณหมอฟู่ให้คุณนอนโรงพยาบาลสักสองวัน สองวันนี้คุณไม่ต้องไปไหน อยู่โรงพยาบาลเฉยๆ ก็พอ”
“ได้ ฉันรู้แล้ว” นานทีไป๋ซู่เย่จะเชื่อฟังขนาดนี้
ไป๋หลางปิดประตูออกไปแล้ว
ชั่วขณะห้องพักขนาดใหญ่นี้เหลือเพียงเธอคนเดียว ภายในห้องเงียบสงัด เงียบเสียจนน่าหวั่นใจ เธอคลำบัตรเชิญใต้หมอนมาอีกครั้งแล้วนั่งมองนิ่งๆ อยู่พักใหญ่
ความจริงวันนี้ก็ต้องมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว…
เพียงแต่ตอนมาถึงจริงๆ ความเจ็บปวดในหัวใจกลับไม่อาจเก็บซ่อนได้…
……………………
หลังจากนั้นหลายวันไป๋ซู่เย่ออกจากโรงพยาบาลก็จดจ่อกับงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันไป๋หลางจะแอบมองเธอด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ไป๋ซู่เย่กำลังรอปลัดกระทรวงมาหาเธอด้วยตัวเอง และเป็นไปตามที่คิดเมื่อสองวันก่อนวันหมั้นเธอถูกเรียกไปที่ชั้นบนสุด
“งานหมั้นครั้งนี้ คุณมีความคิดยังไง?” ปลัดถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
“ไฟเรนเซ่เคยมีข้อบาดหมางกับกระทรวงเรา ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรครั้งนี้ถึงเชิญเราไป ถ้ามีทางเลือกได้ ฉันย่อมเลือกที่จะไม่ไป”
สายตาปลัดกระทรวงกวาดมองประเมินเธออยู่พักหนึ่งราวกับกำลังเดาใจเธอ สุดท้าย “ไปเถอะ ถึงความจริงเรากับไฟเรนเซ่จะเหมือนไฟกับน้ำ แต่ก็ต้องไว้หน้าอยู่ดี ในเมื่อเขากล้าเชิญเราไป ก็ต้องไม่กล้าทำอะไรเราอยู่แล้ว”
“ในเมื่อคุณอยากให้ฉันไป งั้นฉันก็จะไป” ไป๋ซู่เย่พยักหน้าตามใจอีกฝ่าย
ปลัดกระทรวงแสดงความพึงพอใจกับคำตัดสินใจนี้อย่างเห็นได้ชัด “ให้ไป๋หลางกับรองปลัดไปกับคุณ ส่วนของขวัญที่ให้ว่าที่คู่แต่งงานใหม่ ทางกระทรวงจะเตรียมเอง คุณไม่ต้องห่วง ตั๋วเครื่องบินพรุ่งนี้เช้า วันนี้คุณกลับไปเตรียมตัวก่อน”
……………………
วันรุ่งขึ้น
ที่เมืองเยียว
อุณหภูมิเมืองเยียวในวันนี้ต่ำกว่าอุณหภูมิของเมือง S หลายองศา
โรงแรมที่พวกเธอมาพักเป็นไปตามการจัดการของไฟเรนเซ่ล่วงหน้าทั้งหมด—โรงแรมนี้เป็นกิจการภายใต้การดูแลของเย่เซียวซึ่งเป็นโรงแรมทรงเรือระดับเจ็ดดาวโดยมีทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเยียว โรงแรมนี้เองก็มีชื่อเสียงระดับโลกที่ครองอันดับแถวหน้า
ไป๋หลางถือกระเป๋าเดินทางตามหลังเธอพลางกวาดมองโรงแรมแล้วพูดด้วยเสียงอึ้งทึ่ง “ได้ยินมานานแล้วว่าไฟเรนเซ่กับเย่เซียวมีทรัพย์สินพอๆ กับประเทศหนึ่ง พอมาดูแล้วไม่ได้โกหกสักนิดเลย”
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ความจริงคนในกระทรวงความมั่นคงรู้เกี่ยวกับกิจการเปลือกนอกเหล่านี้ของเย่เซียวเป็นอย่างดี โรงแรมนี้เธอก็คุ้นเคยดี
เธอหันมองโรงแรมรอบหนึ่งพบว่าในโรงแรมถูกจัดแต่งให้มีบรรยากาศมงคล
บนบัตรเชิญเขียนไว้ชัดเจนว่างานหมั้นจะถูกจัดขึ้นในห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดของโรงแรมแห่งนี้ในอีกสองวันข้างหน้า คิดว่าน่าจะเป็นพิธีหมั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองเยียวแล้ว
พนักงานโรงแรมพาพวกเขาสามคนขึ้นไปยังห้องพักสวีทชั้นบนสุด
ภาพทิวทัศน์รอบโรงแรมดีมาก ห้องที่เธอพักนั้นค่อนข้างพิเศษที่สามารถทอดมองยังทะเลที่อยู่ด้านหลัง หน้าต่างติดพื้นถูกเปิดออกเกิดช่องเล็กๆ ทำให้อากาศมีกลิ่นทะเล เสียงคลื่นซัดกระทบหู
เมืองเยียว…
จากไปสิบปี เธอกลับมาอีกแล้ว…
อดีตเคยรู้จักกับเย่เซียวที่นี่ ทำความเข้าใจกัน รักกัน…
ในสิบปีนี้เธอไม่กล้าก้าวมาในผืนแผ่นดินนี้แม้แต่ก้าวเดียว ความรู้สึกผิดปนอดีตที่หวานชื่นกลบเธอให้มิด…
เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการกลับมาเหยียบบนแผ่นดินนี้อีก จะเป็นการกลับมาเพื่อร่วมงานหมั้นของเย่เซียว
โลกนี้ช่างไม่มีอะไรแน่นอน
“รัฐมนตรี ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ รองปลัดนัดเพื่อนไว้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้ว” ไป๋หลางโทรมาที่ห้องของเธอแล้วชักชวน
“นายทานคนเดียวเถอะ ค่ำๆ ฉันมีธุระอื่น” ไป๋ซู่เย่ปฏิเสธ
ไป๋หลางเงียบไปชั่วครู่ “รัฐมนตรี คุณคงไม่ได้จะไปหา…เย่เซียวหรอกนะ?”
“พูดบ้าอะไร” ไป๋ซู่เย่คร้านจะคุยไร้สาระกับไป๋หลางไปมากกว่านี้เลยวางสายทันที
จากนั้นเธอหยิบเสื้อพิธีการสีดำจากกระเป๋าเดินทางมาเปลี่ยนและสวมแว่นกันแดดเดินออกจากโรงแรมเพียงลำพัง สิบปีที่ไม่ได้มา เมืองเยียวได้เปลี่ยนโฉมไปจากเดิมอย่างมาก เธอนั่งรถแท็กซี่แล้วใช้ภาษาประเทศ T บอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับรถแล้วนั่งเงียบๆ ในรถ มองเมืองที่แปลกตาทว่าคุ้นเคยนี้ผ่านตาตัวเองไปช้าๆ
เธอแทบเคยเดินจับมือเย่เซียวผ่านถนนตรอกซอยทุกแห่งของที่นี่…
แต่สิบปีผ่านไป ยาวนานเหมือนภพชาติ…
“คุณ ถึงแล้ว” คนขับรถจอดรถ
ไป๋ซู่เย่จ่ายเงินลงจากรถ ตรงหน้าเป็นสุสานแห่งหนึ่ง ป้ายสุสานแต่ละป้ายที่เรียงอยู่ตรงนั้นราวกับมีดคมที่จะปาดคอเธอทีละเล่มๆ
เธอสูดหายใจลึก หมุนตัวเดินไปที่ร้านดอกไม้ข้างๆ ร้านดอกไม้ขายดีไม่น้อย สักพักถึงมีพนักงานว่างออกมาต้อนรับเธอ
“คุณ อยากซื้อดอกอะไรบ้าง?”
“ดอกเดซี่สีขาว” เธอพูดภาษาของประเทศ T ได้อย่างคล่องแคล่ว “เดี๋ยวจัดให้ฉันยี่สิบห้าช่อ”
“เยอะขนาดนั้นเชียว?” เจ้าของร้านตกใจหน่อยๆ
เธอแย้มปากยิ้ม “ใช่ ยี่สิบห้าช่อ”
เมื่อนั้นลูกน้องยี่สิบห้าคนของเย่เซียวที่ตายอย่างอนาถในสนามรบ สุดท้ายเถ้ากระดูกถูกฝังไว้ที่นี่ด้วยกันทั้งหมด
“งั้นคุณรอสักครู่นะ เดี๋ยวฉันจะรีบเอาของจากโกดังมาให้”
“ได้ค่ะ ไม่รีบ”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับและรออยู่ที่ร้านดอกไม้เป็นเวลายี่สิบนาทีถึงยกช่อดอกไม้ทั้งยี่สิบห้าช่อขึ้นไป ดอกไม้เต็มไม้เต็มมือจนแทบจะตกพื้นเรียกสายตาคนเดินผ่านไปมาต้องหันมามองอย่างสงสัยไม่ได้
สุสานทั้งยี่สิบห้าเธอได้นำช่อดอกไม้เดซี่วางไว้ทีละสุสานอย่างจริงใจและรู้สึกผิด เธอคุกเข่าลงตรงหน้าป้ายสุสานทุกป้ายแล้วก้มหัวโขกพื้นเสียงดัง รอก้มเสร็จป้ายที่ยี่สิบห้านั้นหน้าผากก็ถลอกเป็นแผลใหญ่จนเลือดไหลเสียแล้ว
เธอรู้ว่าถึงแบบนี้ก็ไม่อาจชดเชยอะไรแก่คนที่ยังอยู่ได้ ไม่อาจได้รับการยกโทษจากพวกเขาที่หลับใหลไปตลอดกาลได้ ยิ่งไม่อาจชุบหัวใจที่ถูกความรู้สึกผิดทรมานมายาวนานนับสิบปี…
แต่นี่กลับเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้
……………………………