อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 726 แสงแรกของเขา (1)
“ความจริงไม่เป็นไรจริงๆ” แม้ไป๋ซู่เย่จะว่าอย่างนั้นแต่ก็ไม่อยากสร้างความไม่พอใจแก่เย่เซียวเลยย้ายไปนั่งข้างเย่เซียวอย่างเชื่อฟัง
เย่เซียวเปิดกล่องปฐมพยาบาลเพื่อทำแผลตรงหูให้เธอ เมื่อเทียบกับแผลตรงแขนแล้วแผลแค่นี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย แต่สีหน้าเย่เซียวกลับดูไม่ดีเหมือนเดิม
เพิ่งผ่านช่วงเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อชีวิตรอด ตอนนี้ศัตรูทุกคนถูกจัดการหมดแล้ว ทั้งสามคนถึงได้ผ่อนคลายลงได้สักที
หยูอันนั่งบนพื้นพิงรถบ้านพลางหอบหายใจ สายตาจดจ่อที่ตัวหญิงสาวตรงริมหน้าต่างอยู่นาน เงียบไปพักใหญ่คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
เย่เซียวมองไปทางเขา
สายตาล้ำลึก ยิ่งดูเย็นชาภายใต้แสงจันทร์ “ดูอะไร?”
หยูอันได้สติกลับมาถึงรู้ว่าใครบางคนไม่พอใจกับสายตาที่มองเขม็งของตนอย่างชัดเจน เขารีบถอนสายตาจากตัวไป๋ซู่เย่แล้วอธิบาย “ท่านอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้คิดอย่างอื่น”
“เด็ดขาดหน่อย มีอะไรก็พูด อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ใช่นิสัยของแกนะ” เย่เซียวปิดกล่องปฐมพยาบาล
ไป๋ซู่เย่ฟังไม่เข้าใจ “พวกคุณสองคนคุยอะไรกัน?”
“ถามเขา” เย่เซียวแค่พยักพเยิดปลายคางไปทางหยูอัน
ไป๋ซู่เย่เลยมองไปทางหยูอันตามสายตาของเขา หยูอันเบี่ยงหน้าหนีด้วยความทำตัวไม่ถูก แล้วคว้าปืนลุกยืน “ผมจะออกไปดูสักหน่อยว่าพวกนั้นตายหมดหรือยัง”
เขายกปืนเดินไปที่ประตูรถบ้าน รอเดินถึงหน้าประตูนั้นกลับชะงักฝีเท้าและโพล่งออกมาหนึ่งคำ
“ขอบคุณ”
สองพยางค์ที่แข็งกระด้างและอิดออด
ไม่แม้แต่จะหันกลับมาด้วยซ้ำ สิ้นคำก็กระโดดลงจากรถไป
ไป๋ซู่เย่นิ่งไปชั่วขณะ สองพยางค์นั่นทำให้ใจเธอสั่นไหวไม่น้อย หยูอันเป็นคนแบบไหนเธอรู้ดี รักพวกพ้องจงรักภักดี เกลียดชังคดแค้น เรื่องเมื่อสิบปีก่อนเขายังจดจำฝังใจได้ขนาดไม่ยอมรับคำขอบคุณของเธอได้ง่ายๆ พอจะคิดได้ว่าคำเมื่อกี้นั้นต้องยากเพียงใดเมื่อต้องออกจากปากเขา
ขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิดหน้าต่างก็ถูกหยูอันเคาะจากข้างนอก เธอก้มมองไปอย่างสงสัยได้ยินเพียงหยูอันกล่าว “แต่มันคนละเรื่อง ขอบคุณไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้!”
ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่นหนึ่งที
ความจริง…
เธอไม่เคยนึกถึงคำว่า ‘ยกโทษ’ เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
เย่เซียวที่อยู่ข้างๆ ก็สีหน้านิ่งลง แต่ไป๋ซู่เย่เดาใจเขาไม่ได้ เธอคิดว่าเย่เซียวต้องมีความคิดอย่างเดียวกับหยูอันเป็นแน่แท้ มาช่วยชีวิตเธอคืออีกเรื่อง แต่จะให้ยกโทษใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้นเชียว?
ระหว่างพวกเขาคั่นกลางด้วยความทรยศหักหลังของความรัก คือชีวิตยี่สิบห้าชีวิตของผู้คน…
แม้ไม่เคยคาดหวังใดๆ แต่ความคิดเจียมตัวนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่บ้าง
“จะออกไปสูดอากาศอยู่ไหม?” เสียงเย่เซียวกระชากความคิดเธอกลับมา
ไป๋ซุ่เย่มองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน สุดท้ายทิ้งทุกความคิดอันวุ่นวายไปแล้วพยักหน้ารับ “พระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายสวยมาก คุ้มค่าที่จะดูสักครั้ง”
เอ่ยถึงพระอาทิตย์ขึ้น ราวกับว่าทั้งคู่หวนนึกถึงภาพที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขามู่เจี้ยพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สบตากันแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงด้วยห้วงอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาในวันนั้น ทั้งสิ้นหวังและอัดอั้นถึงเพียงนั้น…
เย่เซียวถึงขั้นพูดกระซิบหูเธอด้วยตัวเองว่าปล่อยเธอไป นั่นเท่ากับว่าหัวใจได้ปล่อยวางเธอไปแล้วสินะ!
พวกเขาในยามนั้นจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าสักวันนอกจากพวกเขาจะได้เจอกันอีก แต่ยังร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันภายใต้สถานการณ์แบบนี้?
“ถ้าคุณไม่ง่วง ก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน” เย่เซียวชิงพูดขึ้นก่อน
“นอนมาทั้งวัน ตอนนี้ฉันสดชื่นมาก”
ทั้งสองคนเดินตามกันลงจากรถบ้านไป รอบข้างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หยูอันค้นหากระบอกปืนและอาวุธอื่นจากตัวพวกเขามาโยนใส่รถเผื่อยามฉุกเฉิน
“แกไปนอนพักสักหน่อย ครึ่งค่อนคืนหลังฉันเฝ้าเอง” เย่เซียวกล่าวกับหยูอัน ขณะที่ดูแลเธอเมื่อครึ่งค่อนคืนก่อน มองใบหน้ายามหลับใหลของเธอเขาก็ได้พักสายตางีบไปครู่หนึ่ง
“ผมไม่เหนื่อย” หยูอันปฏิเสธ
“ตอนนี้เราต้องเก็บเรี่ยวแรงไว้ ไม่ใช่เวลาจะมาฝืน ขึ้นไป!” คำพูดเย่เซียวหนักแน่นห้ามปฏิเสธ
หยูอันชั่งใจเพียงครู่ สุดท้ายพยักหน้ายกปืนขึ้นรถไป
………………
ด้านนอก เงียบสงบ
ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงคลื่นลมที่พัดผ่านมา
ดวงจันทร์ประกบดาว ทะเลทรายที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังถูกไล่ฆ่าอยู่จนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไม่นั้น ภาพตรงหน้าช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามเสียจนน่าเรียกให้คนมานั่งเชยชมดีๆ สักที
“เย่เซียว เราไปนั่งตรงนั้นสักพักเถอะ” ไป๋ซู่เย่ชี้ไปที่กองทรายไม่ใกล้ไม่ไกล ชิงวิ่งเหยาะๆ ไปตรงนั้นก่อนหนึ่งก้าว
เย่เซียวขมวดคิ้วทีหนึ่ง
ก้าวตามไปแล้วคว้าตัวเธอมาอยู่ใต้วงแขนเป็นการปกป้องอย่างอัตโนมัติ “ตามผมไว้ อย่าวิ่งเพ่นพ่าน!”
ใต้แสงจันทร์ สีหน้าของเขายังตึงเครียดไม่เปลี่ยนจากเดิม
ใบหน้าที่คงท่าทางเย็นชากับดวงตาที่จับตามองเธอไม่ห่าง
ไป๋ซู่เย่เงยหน้ามองเขา อยู่ๆ ก็หัวเราะเสียงเบาที รอยยิ้มของเธอเย้ายวนใจเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์ เขาสติหลุดไปชั่วขณะ “หัวเราะอะไร?”
“เย่เซียว คุณเครียดเกินไปแล้ว” ไป๋ซู่เย่ใช้นิ้วแตะแก้มที่เขาขบกรามแน่น “ผ่อนคลายหน่อย ความจริงฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิด และไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
เย่เซียวจ้องมองเธอนิ่ง
ไม่ผิด
เธอกล้าหาญมาก มีฝีมือที่ไม่เลว หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่พร้อมจะสิ้นชีพภายใต้สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายนี้ได้เสมอคงสติกระเจิดกระเจิงไปนานแล้ว ไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้
แต่ว่า…
ดันกลายเป็นว่าเธอกล้าหาญมากเท่าไร เก่งกาจมากเท่าไร ในสายตาของเย่เซียวกลับคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอจนต้องได้รับการปกป้องตลอดเวลา
อีกอย่าง ภาระ? เขาหวังให้เธอเป็นภาระของตัวเองเสียจริงๆ!
“เย่เซียว?” เห็นเขาไม่ตอบกลับตัวเอง ไป๋ซู่เย่จึงเผลอจับติ่งหูเขาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “สติกลับมาได้แล้ว”
เย่เซียวถูกเธอขัดความคิด เขากระชากมือเธอลงมากุมไว้ “อย่าจับมั่วๆ!”
สามคำที่น้ำเสียงแข็งกระด้างและปนด้วยเสียงแหบที่ติดจะเซ็กซี่หน่อยๆ
จู่ๆ ไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกขบขัน ผู้ชายคนนี้…ยังยั่วยวนง่ายเหมือนเดิม อืม ความจริงง่ายกว่าเมื่อสิบปีก่อนด้วย
สิบปีก่อนอาจเป็นเพราะเธอยังอายุน้อย เย่เซียวเลยควบคุมตัวเองได้ดีเสมอมา แต่สิบปีให้หลังต่างจากเดิมอย่างชัดเจน หลายครั้งที่เจอกันก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นความบ้าคลั่งของเขามาก่อนแล้ว
แต่ว่า…
ต่อหน้าผู้หญิงอีกคน—ต่อหน้าคู่หมั้นของเขา เขาก็ถูกยั่วยวนได้ง่ายขนาดนี้หรือ?
นึกถึงเธอ ไป๋ซู่เย่ก็อารมณ์ดำดิ่งลงไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
เย่เซียวคล้ายจะรู้สึกได้พลางหันกลับมามองเธอ “คิดอะไร?”
“…เปล่า ไม่ได้คิดอะไร” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ จากนั้นกระชับมือเย่เซียว “ไปกันเถอะ เราไปกัน”
ในช่วงเวลานี้เธอจะคิดมากไม่ได้ วันพรุ่งนี้ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร จะเดินออกไปจากทะเลทรายแห่งนี้ได้หรือเปล่ายังไม่มีใครทราบได้ แล้วจะมัวมาคิดมาก คิดถึงคนและเรื่องราวนอกเหนือจากพวกเขาไปทำไม?
………………………