อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 728 แสงแรกของเขา(3)
ไม่รอเย่เซียวพูดอะไรเธอลุกขึ้นหมายจะออกไปจากอ้อมกอดของเขา แต่ถูกเย่เซียวรั้งเอวไว้ไม่ให้ขยับตัว
เธอก้มมองเขา เขาจับปลายคางเธอแล้วประกบจูบเธอทันที
เธอครางเสียงฮึมในลำคอทีหนึ่ง…
ปลายลิ้นนุ่มชื้นของเขาไล้เลียไปตามกลีบปากเธอเบาๆ
เธอถูกเขาหยอกเย้าจนตัวสั่นไม่หยุดและเผลอโอบลำคอเขาโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเพียงเสียงแหบของเขากล่าวเสียงต่ำว่า “ผมได้รสชาติเปรี้ยวๆ ล่ะ…คุณหึงเหรอ?”
ประโยคท้ายพูดโดยมองตาเธอไปด้วย ทำให้ทุกหยาดอารมณ์ของเธอหมดหนทางที่จะซุกซ่อน
อีกทั้งเป็นประโยคคำถามที่เป็นประโยคบอกเล่ามากกว่า
ไป๋ซู่เย่มองเขา “คุณ…เป็นคนหึงก่อนหรือเปล่า?”
สิ่งที่ตอบเธอกลับเป็นจูบดูดดื่มของเย่เซียว
ทั้งคู่คล้ายลืมสิ้นทุกอย่างไปชั่วขณะ ปล่อยวางทุกอย่างเหลือเพียงกอดกันอย่างแนบแน่นและจูบอีกฝ่ายอย่างร้อนแรงปนใจร้อน
จูบนี้ดำเนินอยู่ยาวนาน
คล้ายจะเอาจูบที่ติดค้างไว้สิบปีนี้กลับมาในครั้งเดียว
แล้วคล้ายต้องการจูบให้ความหึงหวงที่ผุดขึ้นมาในใจของอีกฝ่ายดับมอด ให้หมดไป…
“พอแล้ว…” สุดท้ายเย่เซียวเป็นฝ่ายผละออกจากปากของเธอก่อน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขามีความเจ็บปวดที่พยายามอดกลั้นอารมณ์บางอย่าง
ไป๋ซู่เย่รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเบื้องล่างของเขาเกิดปฏิกิริยารุนแรงมาก แต่ที่นี่ ณ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำเรื่องนี้จริงๆ
“ฉัน…ลุกขึ้นก่อน?” ไป๋ซู่เย่ว่าแล้วจะลุกขึ้น
ถูกเย่เซียวกดตัวลงทีเดิมอีกครั้ง “อย่าขยับตัว…”
ไป๋ซู่เย่เลยอยู่นิ่งๆ เธอพิงหน้าอกของเย่เซียวทั้งที่ลมหายใจหอบหนักเช่นกัน รู้สึกได้ว่าเขากำลังพยายามปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างสุดความสามารถ
ผ่านไปสักพัก…
ลมหายใจของเขาคงที่มากกว่าเดิม
ไป๋ซู่เย่ถามเขา“คุณตามหาคุณแม่ของคุณเจอแล้วเหรอ?”
“อืม พ่อบุญธรรมของผมตามหาท่านเจอก่อนผมหนึ่งก้าว แม้ว่าตอนนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ถือได้ว่าท่านกำลังถูกพ่อบุญธรรมของผมกักตัวทางอ้อม”
“คุณไม่เคยคิดจะพาท่านหนีไปเหรอ?”
“พาท่านไป? พาไปไหน?” เย่เซียวกอดเธอโดยที่ทอดสายตามองไปที่ไกลและมีความรู้สึกที่ยากจะเอื้อนเอ่ย “ตลอดชีวิตของแม่ผมฝ่าฝันเรื่องราวมามากนัก ถูกคนทรมานมาตลอดชีวิต ท่านเจอเรื่องการจากลาจนกลัวขึ้นใจ ตอนนี้อยู่กับพ่อบุญธรรมผม มีพ่อบุญธรรมผมคอยคุ้มกันอยู่กลับกลายเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยไม่มีใครกล้าวางแผนอะไรกับท่าน ถึงพ่อบุญธรรมผมจะกักตัวอย่างอ้อมๆ ก็เป็นการปกป้องแบบหนึ่ง”
ไป๋ซู่เย่นึกถึงคราวก่อนที่ไฟเรนเซ่ใช้มารดาเขามาขู่เข็ญตน บัดนี้ถือว่าเย่เซียวได้กลับมาพบกับตน ไฟเรนเซ่รู้เรื่องไหม?
“คิดอะไรอยู่?” เย่เซียวไม่ได้ยินเสียงเธอเลยก้มมองเธอ
“กำลังคิดถึงพ่อของคุณ งั้นคุณตามหาพ่อของคุณเจอหรือยัง?”
เอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าเย่เซียวกลับเย็นชาในฉับพลันจนหนาวเข้ากระดูก ไม่มีสีหน้าอ่อนโยนปนอบอุ่นดั่งที่กล่าวถึงมารดาของเขาเมื่อสักครู่
“เจอตั้งแต่แปดปีก่อนแล้ว”
“งั้นตอนนี้เขา…”
“ตายแล้ว!” สองพยางค์ที่เขาพูดเล็ดลอดไรฟัน
“?” ไป๋ซู่เย่แหงนหน้ามองสีหน้าที่เย็นชาของเขาอย่างไม่เข้าใจ
ดวงตาเย่เซียวประสานกับของเธอ “ผมเป็นคนฆ่าเขาเอง”
ใจของเธอกระตุกวูบ ลมหายใจหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม “เขา…คุณ…”
“ปีนั้นเขาเอง—เขาที่เป็นสามีและพ่อคน กลับขายแม่ของผมที่กำลังออกไปหาเงินเพื่อรักษาอาการป่วยของผมให้ไปอยู่ที่ชนบทในป่าในเขาเพื่อเงินพนันพันหยวน บนภูเขายากจนและลำบากอย่างมาก ไม่มีหญิงสาวคนไหนยอมแต่งงานไปอยู่ที่นั่น ฉะนั้นเลยมีแต่ผู้ชายโสดนับสิบคน ส่วนแม่ของผม…”
เย่เซียวพูดถึงนี่ก็สูดหายใจเข้าอย่างเจ็บปวดราวกับทำใจได้แล้วถึงพูดต่อ“เขามองแม่ของผมถูก…คนพวกนั้นย่ำยีอย่างไม่สนใจใยดี!ตลอดสิบวัน แม่ผมไม่มีแรงขัดขืน จะตายก็ตายไม่ได้…เพราะคนสารเลวนั่นขู่เธอว่าถ้ากล้าฆ่าตัวตาย ต่อให้ผมจะป่วยตายก็ไม่มีวันสนใจผมอีก”
“หลังจากนั้น…ท่านถูกเขาขายเป็นทอดๆ เหมือนสินค้าอย่างหนึ่ง…”
พูดถึงเรื่องพวกนี้เย่เซียวตัวสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาแดงก่ำ
ไป๋ซู่เย่รู้ว่าภายในใจเขากำลังสะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้มากเพียงใด ผู้ชายคนนั้นเป็นถึงบิดาของเขา!ทุกคนล้วนมีหัวใจที่นับถือเคารพและชื่นชมบิดาตัวเอง แต่ผู้ชายคนนั้น เหลือไว้เพียงการทำร้ายและสะเทือนใจที่ไม่อาจลบเลือนแก่เย่เซียว
เธอปวดใจแทบตาย แยกขาออกคุกเข่ากับพื้นทรายใช้สองมือกอดเขาแน่นให้ใบหน้าเขาแนบอกตัวเอง
ลูบหลังเขาเป็นเชิงปลอบเบาๆ “ไม่ต้องพูดแล้ว…มันผ่านไปแล้ว เย่เซียว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว…”
เย่เซียวไม่ได้พูดอะไรแค่กอดเธอไว้แน่น
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความมืดมน สิ้นหวัง กดดัน เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในหุบเหวที่ไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์
มีเพียงเธออยู่…
เธอเป็นดั่งแสงแรกที่ปรากฏในชีวิตของเขา และเป็นแสงแรกเพียงหนึ่งเดียว…
แต่แสงนี้จะอยู่ในชีวิตเขานานเท่าไรเขากลับไม่สามารถมั่นใจได้ แสงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคว้าจับได้อยู่แล้ว ต่อให้ตัวเองจะพยายามมากขนาดไหน ต้องการมากเพียงใด
คิดแบบนี้หน้าอกเย่เซียวก็ยิ่งเจ็บอย่างทวีคูณ ได้แต่กอดกระชับตัวเธอไว้แน่นแล้วเงยหน้าขึ้นใช้ปากคลำหาปากของเธอ
ไป๋ซู่เย่รู้สึกถึงใจที่อยู่ไม่นิ่งของเขา ความเจ็บปวดของเขา การปลอบประโลมที่เขาต้องการ เธอโน้มหน้ายื่นปากไปหาด้วยตัวเอง
หากตนสามารถปลอบเขาได้แม้เพียงนิด ให้เธอทำอะไรเธอก็ยอม
…………………………
แสงอาทิตย์พ้นจากขอบฟ้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ชั่วขณะที่สาดแสงปกคลุมผืนดินทะเลทรายจนกลายเป็นสีทองอร่ามนั้น ไป๋ซู่เย่หาววอดค่อยๆ ลืมตาขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมาก เย่เซียวกลับกำลังมองเธอ
สายตาคู่นั้นที่ไม่ทันถอนกลับ มองจนเธอเผลอใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลางถามเสียงต่ำ “ทำไมไม่ปลุกฉัน?”
“ดูตอนนี้ก็เหมือนกัน”
ทีนี้เขาถึงละสายตาไปมองผืนทรายที่ปกคลุมด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ห่างไกลออกไป
ไป๋ซู่เย่จัดผมเผ้า ซบศีรษะที่ลาดไหล่เขาเบาๆ
คันตรงหลังคอหน่อยๆ เธอเอื้อมแขนไปเกาสองที น่าจะถูกแมลงในทะเลทรายกัดซึ่งเธอไม่ได้เก็บมาคิดมาก
“เย่เซียว…”
“หืม?”
“สมมติ ฉันบอกว่าสมมติน่ะนะ…” ไป๋ซู่เย่หรี่ตามองแสงสีทองตรงหน้า “ถ้าเกิดว่าวันนี้คุณกับฉันตายอยู่ที่นี่…คุณจะเสียใจทีหลังมั้ย?”
เย่เซียวเบนหน้าหันมามองเธอด้วยแววตาล้ำลึก “ผมไม่มีวันให้คุณตาย”
ประโยคสั้นๆ ไม่กี่พยางค์กลับเต็มไปด้วยพลังที่ไม่เปิดโอกาสให้ได้สงสัย
ไป๋ซู่เย่หัวเราะที ผู้ชายคนนี้ ทุกคำที่พูดจากปากล้วนทำให้คนเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย ต่อให้พวกเขาในตอนนี้จะหมดสิ้นเสบียงอาหาร เธอก็เชื่อเขา!
แต่ทันใดนั้นเอง…
“พึ่บพึ่บพึ่บ–” เสียงดังขึ้นอย่างฉับพลัน
เธอลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ แหงนหน้า “เฮลิคอปเตอร์!”
อีกทั้งไม่ใช่แค่ลำเดียว!
บนพื้นระนาบเดียวกันยังมีรถถังที่ขับเคลื่อนมาทางนี้อย่างโอ่อ่า
หยูอันพุ่งตัวลงมาจากรถบ้านโดยที่แบกปืนอยู่ “นายท่าน สารเลวพวกนั้นมาอีกแล้ว!”
มองดูสถานการณ์นี้ ไป๋ซู่เย่ใจหายวาบแล้วใจหายวาบอีก
………………………