อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 734 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (1)
“นายท่าน!” หยูอันร้องขึ้นมา รีบรุดหน้าไปหาโดยไม่คิดจะสนใจข่ายปินอีก
แต่สายไปเสียแล้ว…
เย่เซียวได้ฉีดเลือดที่ติดเชื้อไวรัสเข้าร่างตัวเอง
ทุกคนต่างตกใจกับการกระทำของเขาหลังรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไฟเรนเซ่เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาตบล้อเก้าอี้เข็นทีหนึ่งเพื่อให้ยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล กางมือตบหน้าเย่เซียวฉาดใหญ่ ตะคอกเสียงกร้าวด้วยแรงอารมณ์ “เจ้าคนไม่รักดี!นี่แกกล้ามาไม้นี้กับฉันงั้นเหรอ!แกกล้าสละชีวิตเพื่อผู้หญิงคนเดียวงั้นเหรอ!”
“ผมเคยสัญญากับเธอว่าจะไม่ปล่อยให้เธอตาย และไม่มีวันที่จะรอดไปคนเดียว!” ดวงตาเย่เซียวหนักแน่น ต่อให้เผชิญกับความตายก็ไม่หวั่นไหวยำเกรง มีแต่ความดื้อรั้น
ไฟเรนเซ่หอบหายใจหนัก ยกนิ้วชี้เขา “ชีวิตของแกเป็นของฉัน!ฉันเป็นคนให้แก!ไม่ได้รับคำอนุญาตของฉันใครอนุญาตให้แกตาย!ข่ายปิน แกช่วยชีวิตมันให้ได้!ถ้ามันตาย พวกแกก็ต้องตายตามไปทั้งหมด!”
“นายน้อย รีบเข้าไปในห้องตรวจกับผมเลยครับ!” ข่ายปินไม่กล้าชักช้า คนในทีมรักษาที่อยู่ด้านหลังต่างก็ใจหล่นวูบกันทั้งนั้น
เย่เซียวกลับไม่สะทกสะท้าน แค่จ้องไฟเรนเซ่ ไฟเรนเซ่จ้องกลับอย่างวาวโรจน์ “อยากให้ฉันยกแกเข้าไปด้วยตัวเองหรือไง?!”
“เอาปืนบังคับให้ผมไปก็เปล่าประโยชน์ ผมแค่ต้องการให้ท่านยอมช่วยเธอ”
“ถ้าฉันไม่ช่วยล่ะ?” ไฟเรนเซ่กัดฟันกรอด
“งั้นท่านก็อาจจะช่วยผมไม่ได้!การมีชีวิตอยู่ต่อมันยาก แต่การตายกลับง่ายมาก!”
ไฟเรนเซ่แทบจะเป็นลมเพราะอารมณ์เดือดพล่าน นิ้วมือที่ชี้เขาสั่นระริกอยู่กลางอากาศ “ดี ดีมาก!บนโลกนี้ก็มีแค่แกที่กล้าขู่ฉัน!ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉันยิงกะโหลกมันไปแล้ว!”
เย่เซียวไม่มีท่าทีหวาดหวั่น
“ได้ จะให้ช่วยเธอก็ได้ แต่แกต้องตกลงเงื่อนไขหนึ่งข้อ!ไม่อย่างนั้น ต่อให้ตอนนี้ช่วยเธอให้ฟื้นได้ แต่ไม่มียารักษาที่ต่อเนื่อง เธอก็ไม่รอดอยู่ดี!”
“ท่านพูดมาเลย”
“รอพวกแกหายดี รีบแต่งงานกับน่าหลัน!ไม่ใช่แค่จัดงานแต่งงาน แต่ต้องจดทะเบียนสมรสจริงๆ!”
“…” คราวนี้เปลี่ยนเป็นเย่เซียวที่เงียบ
ไฟเรนเซ่ถอยกลับไปนั่งบนเก้าอี้เข็นพลางแค่นหัวเราะที “ดูเหมือนความคิดแกที่อยากช่วยเธอไม่ได้หนักแน่นอย่างที่ฉันคิดไว้ ได้ พวกแกอยากตายด้วยกันก็ไปตายด้วยกัน!เฉิงหมิง เข็นฉันไป!”
“คุณไฟ!” เฉิงหมิงเรียกขานเสียงต่ำทีหนึ่ง
“ไป!” ไฟเรนเซ่แค่นหัวเราะอีกที จากนั้นหันมาสบตาเย่เซียว “รอแกตาย ทุกปีที่จุดธูปไหว้แกฉันจะบอกแกให้รับรู้ว่าแม่ของแกกำลังโดนคนที่เกลียดชังโกรธแค้นแกทรมานแบบไหนอยู่!ถึงตอนนั้น แกอย่าหาว่าฉันไม่สนใจแม่ของแก!”
“พ่อครับ!” เย่เซียวหันหลังมาจ้องแผ่นหลังนั่น
ไฟเรนเซ่กลับไม่ยอมหันมา
เย่เซียวกำหมัดที่ทิ้งข้างลำตัวแน่น เขากล่าวเสียงนิ่ง “ผมตกลง!”
“แกพูดอีกทีสิ!”
“ขอแค่ท่านยอมช่วยเธอ ไม่ว่าอะไรผมก็ตกลง!”
“นี่แกพูดเองนะ มีคนมากมายเป็นพยานอยู่ตรงนี้ แกต้องพูดได้ทำได้!”
เย่เซียวตีหน้าเรียบตึง เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ“ผมพูดได้ทำได้!”
“ดี ช่วย!” ไฟเรนเซ่สั่ง ทุกคนในที่นี้ล้วนพรูลมหายใจยาว
ข่ายปินกล่าว “นายน้อย เชิญตามเราเข้าไปในห้องตรวจโดยด่วน”
เย่เซียวไม่ยอม ตอบเพียง “ให้เธอตรวจก่อน”
ข่ายปินทำอะไรไม่ได้ จำต้องให้ทีมพยาบาลรีบเข็นไป๋ซู่เย่เข้าไปในห้องตรวจทันที
ไฟเรนเซ่แค่นเสียงที ให้เฉิงหมิงเข็นตัวเองไปจากตรงนี้ การไม่เห็นคงดีที่สุด!
“นายท่าน” หยูอันเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร” เย่เซียวเงียบไปอึดใจ “เรื่องเมื่อกี้ ห้ามพูดต่อหน้าเธอแม้แต่คำเดียว!”
หยูอันไม่เข้าใจเสียจริง เย่เซียวยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอแล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกเธอ?
…………
เย่เซียวนั่งอยู่นอกห้องตรวจรอ สองมือลูบหน้าและประสานอยู่ใต้จมูก
ในหัวเดี๋ยวเป็นประโยคที่เธอพูดเมื่อคืน ‘ฉันคิดถึงคุณมากๆ’ เดี๋ยวเป็นประโยคของพ่อบุญธรรม ‘แต่งงานกับน่าหลันทันที’…
สองประโยคประเดประดังสลับกันไปมาราวกับเลื่อยที่ตัดเส้นประสาทเขาอยู่ไม่ขาดสาย
เขารู้สึกปวดศีรษะคล้ายว่าจะระเบิดอยู่ทุกเมื่อ
สูดหายใจเข้าลึก เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาและแตะนิ้วสัมผัสหน้าจอสักครู่ คลิปเสียงหนึ่งดังขึ้น
เขาหลับตา เอนตัวพิงเก้าอี้โดยที่ศีรษะแตะกำแพงเย็นยะเยือกด้านหลัง
‘เย่เซียว รับโทรศัพท์ได้แล้ว’
‘เย่เซียว รับโทรศัพท์ได้แล้ว’
……
เสียงที่ดังเข้าโสตประสาทไม่หยุดหย่อน เสียงนั้นเหมือนเป็นยารักษาเขาที่ได้ผลที่สุด เขาคอยรับฟังอย่างหลงใหลจนรู้สึกความปวดตรงศีรษะที่บรรเทาลงบ้าง
“นายท่าน?”
“นายท่าน?”
“นายท่าน!”
หยูอันเรียกเขา แต่เสียงของหยูอันค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ…
กระทั่งท้ายที่สุดเขาล้มตึงกับพื้นดัง‘ปึง–’ภาพตรงหน้ามืดสนิท ไม่ได้ยินเสียงของหยูอันอีกต่อไป…
…………………………
ไป๋ซู่เย่ฟื้นมาอีกทีคืออีกหนึ่งคืนหลังจากนั้น มีเข็มสายน้ำเกลือปักอยู่หลังมือโดยมีถุงน้ำเกลือหลายถุงห้อยอยู่บนราว
เธอรู้สึกเหมือนโดนรถทับทั้งตัว หนักอึ้งเสียจนแม้เธอจะขยับปลายนิ้วเดียวยังเป็นเรื่องยาก
เธอกวาดมองรอบข้าง เห็นเพียงสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา
สีขาวโพลน
ขาวจนตาลายวิงเวียนศีรษะ
ยังมีกลิ่นฉุนจมูกของยาที่หลากหลาย
นี่คือที่ไหน?
เธอเป็นอะไรไป?
ไป๋ซู่เย่คิดว่าตัวเองไม่ใช่อาการไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบธรรมดา จากสถานการณ์ของเธอในเวลานี้ทรมานกว่าไข้ขึ้นสูงมากนัก
“คุณอย่าขยับ!” กำลังคิดจะลุกขึ้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามา คนที่เข้ามาคือถังซ่ง
เห็นเขา ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็เป็นคนคุ้นเคย
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ไป๋ซู่เย่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเบาหวิว เธอทิ้งตัวกลับไปใหม่
“คุณป่วย เย่เซียวไม่ไว้วางใจคนรักษาที่นี่เลยให้ผมมาเฝ้าเอง เผื่อว่าระหว่างนี้พวกเขาคิดจะเล่นอะไรอีก” ถังซ่งเดินมาข้างเตียง “นอนดีๆ ผมขอเช็คตาคุณหน่อย”
ไป๋ซู่เย่นอนราบอย่างดี ไฟฉายของถังซ่งสาดแสงลงมาจนเธอปวดตาไปหมด
“ฉันอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ในห้องวิจัยของคุณหมอข่ายปิน อ้อ เขาเป็นคนคุณหมอประจำตัวของไฟเรนเซ่”
“แล้ว…ฉันมาที่นี่ได้ยังไง?” ไป๋ซู่เย่มองถังซ่งแวบหนึ่ง “ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกว่าฉันไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบ แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้วจะไม่ใช่”
“ที่ของพี่ผมทำไมถึงมีหมอห่วยๆ แบบนั้น?” ถังซ่งเก็บไฟฉาย อธิบายอาการของเธอให้เธอฟัง
ไป๋ซู่เย่ฟังจบแทบจะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงทันที “แล้วเย่เซียวล่ะ? เขาอยู่กับฉันตลอดเวลา เขาถูกกัดบ้างมั้ย?”
“คุณสนใจตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”
“เย่เซียวเป็นยังไงกันแน่?”
ถังซ่งนึกถึงคำสั่งของเย่เซียวที่ย้ำนักหนา จึงกล่าวเพียง “คุณสบายใจได้ เขาไม่เป็นอะไร”
“จริงเหรอ?”
“อือฮึ”
ไป๋ซู่เย่ถึงเบาใจลง “แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ไหน?”
“เขายุ่งมาก มีงานที่ต้องจัดการหน่อย อีกอย่างคุณก็รู้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาไม่ชอบคุณมากขนาดไหน ฉะนั้น…ระยะนี้ เขาอาจจะมาพบคุณไม่ได้”
…………………………