อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 735 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (2)
“…อ่อ” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ แม้บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าสนใจ แต่ความผิดหวังก็จับจองเต็มหัวใจ
เขาอยู่ที่นี่ มีชีวิตของเขา…
ชีวิตเหล่านี้เธอล้วนเข้าร่วมไม่ได้ นี่เป็นโลกที่ต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง…
“จากอาการของฉัน ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเท่าไหร่?” ไป๋ซู่เย่ถามถังซ่ง
“อย่างน้อยก็ต้องครึ่งเดือนล่ะ หลังครึ่งเดือนไวรัสในร่างกายอาจจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก ทำไม อยากไปแล้วเหรอ?”
“ฉันอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ต้องบอกคนในครอบครัวก่อน”
“คนที่บ้านคุณโทรมาหาผมถึงที่แล้ว” ถังซ่งโยนโทนศัพท์ให้เธอ “คุณบอกพวกเขาเอง”
“ขอบคุณ”
ไป๋ซู่เย่รับโทรศัพท์มาอย่างอ่อนแรง
ถังซ่งไม่ว่าอะไร แค่หันไปสั่งให้คนเอายาเข้ามาส่งพร้อมจับตาดูเธอให้ทานยาตรงเวลาในปริมาณที่กำหนดไว้
อีกฟากหนึ่ง
เย่เซียวเองก็เริ่มมีอาการไข้ขึ้นซ้ำไปมา แต่ทุกครั้งที่ได้สติคนแรกที่เขาถามถึงรวมถึงเรื่องแรกกลับเป็นเธอ ได้ยินถังซ่งบอกว่าเธออาการดีขึ้นเขาถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายก่อนจะสลบเหมือดไปอีก
น่าหลันมาทุกวันแต่ทุกครั้งที่มาตรงกับเวลาที่เย่เซียวหลับอยู่ ไม่รู้ว่าเขาไม่อยากสนใจเธอเป็นทุนเดิมหรือไม่ได้สติจริงๆ
เธอมาด้วยใจที่คาดหวังอยู่ทุกคราแต่กลับต้องจากไปพร้อมความผิดหวังที่ไม่อยากจะยอมรับ
…………
พริบตาเดียว
สิบกว่าวันผ่านไป
ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ริมหน้าต่างคอยมองไปยังกิ่งไม้โล่งเปล่าข้างนอกด้วยใจที่รู้สึกวังเวง
รวมถึง…ความน้อยใจที่สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ…
ถังซ่งบอกว่าระยะนี้เย่เซียวจะไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยจริงๆ…
อีกห้าวันเธอจะกลับประเทศแล้ว หรือว่าจะไม่ได้เจอเขาก่อนกลับประเทศ?
คิดถึงนี่แม้แต่ลมหายใจยังเริ่มหนักอึ้ง เธอเปิดหน้าต่างยื่นศีรษะออกไปสูดอากาศเข้าปอดหลายที อยากให้ตัวเองหายใจสะดวกขึ้นบ้าง
“ข้างนอกหนาว อย่าไปยืนตากลมริมหน้าต่าง ถ้าเป็นหวัดเข้าภูมิคุ้มกันจะลดลง ไม่แน่เชื้อไวรัสอาจกลับมาอีก ถึงตอนนั้นจะยุ่งยากกว่านี้” ขณะนั้นเองถังซ่งโผล่มาพลางเตือนเธอด้วยใบหน้ามุ่นคิ้วเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ริมหน้าต่าง
ไป๋ซู่เย่เก็บอารมณ์ที่ล่องลอยรับคำทีหนึ่งหมายจะเอียงตัวไปปิดหน้าต่าง แต่ชั่วขณะที่จะปิดหน้าต่างร่างแสนคุ้นตาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา
ในสวนดอกไม้ที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มกำลังยืนอยู่บนถนนหินกรวดเส้นเล็ก
ตาเธอเป็นประกายอย่างดีใจ
มีชั่ววูบที่คล้ายว่าตัวเองได้กลับไปวัยสาวแรกแย้มตอนอายุสิบแปดปี
“คุณหมอถัง ตอนนี้ฉันออกไปเดินเล่นหน่อยได้มั้ย?” เธอหันมาถามถังซ่ง
ถังซ่งพยักหน้า “ใส่เสื้อหนาหน่อยน่าจะไม่มีปัญหา แต่ออกไปอย่าเกินสิบนาทีเด็ดขาด”
ถังซ่งเองก็เห็นชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ชั้นล่าง
ไป๋ซู่เย่เตรียมหมุนตัวหยิบเสื้อกันหนาวแต่ถังซ่งที่ทิ้งสายตาอยู่นอกหน้าต่างเสมอกลับหรี่ตาลงกะทันหัน จากนั้นยกแขนดึงตัวเธอไว้
“อะไรเหรอ?” เธอหันกลับมาถามถังซ่ง
ถังซ่งถึงได้ปรายตามาทางเธอช้าๆ และใช้แววตาซับซ้อนมองเธอแวบหนึ่ง พยักพเยิดปลายคางไปนอกหน้าต่างที่ทำให้ไป๋ซู่เย่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสงสัย ชั่วครู่นั้นใจสะท้านและยืนแน่นิ่งกับที่
มือที่จับเสื้อกันหนาวอยู่ กระชับแรงแน่นกว่าเดิมมากโดยไม่รู้ตัว…
ที่แท้…
คนที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้มีเพียงเขา
ยังมี…น่าหลัน
พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินขนาบข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรและไป๋ซู่เย่ไม่รู้ว่าทำไมเย่เซียวถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ แต่เธอกลับรู้ดี…เมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่าเธอเผลอคิดเข้าข้างตัวเอง เขาไม่ได้มาเพื่อเธอ…
………………
อีกด้านหนึ่ง
น่าหลันเขย่งเท้าเอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่เย่เซียว “คุณหมอข่ายปินบอกแล้วว่าตอนนี้คุณจะโดนลมมากไม่ได้ ห้ามเป็นหวัด”
“…” เย่เซียวไม่ตอบโต้ ทำท่าหนักใจ
“เย่เซียว คุณพ่อบอกแล้ว…รอคุณหายดี เราจะแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องจริงใช่มั้ย?” น่าหลันได้เปลี่ยนสรรพนามเรียกเป็น ‘คุณพ่อ’ แล้ว
เย่เซียวชะงักฝีเท้าหันข้างมองเธอด้วยแววตาล้ำลึกยากจะคาดเดา ดวงตาคู่นั้นมีความเย็นชาอย่างที่เขาเป็นราวกับต้องการจะแช่แข็งตัวเธอ น่าหลันถูกเขาจ้องมองจนเริ่มลน ไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้—ผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นสามีของเธอ กำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ เธอเม้มปากน้อยๆ “ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ?”
“ตั้งแต่แรกเริ่ม คุณต้องการอะไรกันแน่?”
เย่เซียวถามเสียงเรียบ
แพขนตาน่าหลันสั่นไหว “ฉันไม่เข้าใจที่คุณถาม”
แววตาเย่เซียวลึกล้ำกว่าเดิม จู่ๆ ยกมือลูบไล้ใบหน้าเธอ
ท่วงท่ากลับอ่อนโยนผิดแปลกแต่ยิ่งอ่อนโยนยิ่งทำให้น่าหลันหวาดกลัว เธอสบตาเย่เซียวอย่างหวาดระแวง จากนั้นเบี่ยงหน้าอยากหลุดพ้นจากมือเขา แต่เย่เซียวกลับจับปลายคางเธอแน่นไม่ให้เธอขยับ
“ใบหน้าของคุณ มีตรงไหนบ้างที่ไม่ผ่านมีดหมอ?” ถามออกเสียงที่เย็นชากว่าเดิม
มือที่จับปลายคางเธออยู่นั้นก็เพิ่มแรงมากขึ้น
“…ที่แท้ คุณรู้หมดแล้ว” ขนตาน่าหลันสั่นระริกอย่างรุนแรง ความจริงไม่แปลก เย่เซียวเป็นคนฉลาด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะปกปิดเขาได้อย่างไร?
“ลองบอกจุดประสงค์ของคุณมาดีกว่า” เย่เซียววางมือลง สีหน้าเย็นชามากขึ้นในพริบตา “ทำไมถึงทุ่มเทเพื่อเข้าใกล้ผมมากขนาดนั้น? ยอมทุกอย่างกระทั่งเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้หญิงอีกคน”
น่าหลันใช้ดวงตาน่าสงสารมองเขา “เย่เซียว ในมุมมองคุณ คุณคิดว่าจุดประสงค์ฉันคืออะไร?”
เย่เซียวคงสีหน้าเย็นชาดังเดิม “ผมไม่เคยเสียแรงไปเดาใจผู้หญิง”
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่อยากเสียแรงไปเดา แต่คุณไม่อยากเสียแรงไปรู้สึกมันต่างหาก!” เสียงแตกร้าวของน่าหลันถูกปรับสูงขึ้น “ตอนที่ฉันอายุสิบหก คุณเคยช่วยชีวิตฉันในสงครามหนึ่ง ฉันไม่มีพ่อแม่ ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องอยากอยู่กับคุณ แต่คุณกลับมีท่าทีเย็นชาต่อฉันขนาดนั้น ทิ้งเด็กผู้หญิงอายุสิบหกในหมู่บ้านเก่าคร่ำครึแห่งหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม จากไปอย่างไม่ลังเล”
“ผมช่วยคุณนั่นเป็นเพราะผมเมตตา คุณไม่ควรไม่สำนึก”
“ในเมื่อแบบนี้ตอนนั้นจะเสียแรงมาช่วยฉันทำไม? ใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกใบนี้ไปตลอดชีวิต ฉันยอมตายไปพร้อมกับพ่อแม่ในเพลิงสงครามดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น…คุณช่วยฉัน แต่กลับเอาหัวใจฉันไปด้วย…”
ประโยคสุดท้ายของเธอเรียกให้เย่เซียวมุ่นคิ้วเล็กน้อย
น่าหลันยกมือเขามากดทับตรงหน้าอกตัวเอง
นัยน์ตาหญิงสาวรื้นด้วยน้ำใสบางๆ “คุณลองรู้สึกดู…นี่เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ดวงหนึ่ง!เย่เซียว คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันรัก และเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ฉันจะรักในชีวิตนี้…ขอแค่ได้อยู่กับคุณ อย่าว่าแต่เอามีดกรีดใบหน้าเลย ต่อให้ฆ่าฉันทิ้ง ควักหัวใจฉันไป ล้วงเอาปอดของฉันไปฉันก็ยอม!ดังนั้น ตอนที่คุณพ่อให้ฉันเข้าใกล้คุณ ฉันมีอะไรให้ต้องลังเลอีก?”
…………………………