อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 736 รักที่ไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้ (3)
คำสารภาพรักของหญิงสาวทุกตัวอักษรเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจแก่เขาได้
นอกจากผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าจะเป็นคนไหน เขาไม่มีความสามารถที่จะหวั่นไหวหรือใจสั่นอีก
ใบหน้าราบเรียบและดึงมือจากตรงหน้าอกเธอกลับมา เขากล่าวเสียงเย็น “คุณกลับไปเถอะ หลังจากนี้ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
เขาทิ้งน่าหลันเดินนำหน้าไปหนึ่งก้าว และแทบจะเงยหน้ามองโดยอัตโนมัติ
เงาร่างที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างทำเขายืนชะงัก
ระยะที่ห่างไกล ทั้งสองคนประสานสายตากลางอากาศ
ต่างฝ่ายต่างนิ่ง
จากนั้นคนที่ได้สติก่อนเป็นคนที่อยู่ตรงริมหน้าต่าง
เธอยิ้มให้เขาจางๆ ทีหนึ่ง หุบยิ้มก่อนจะปิดหน้าต่าง
ไป๋ซู่เย่พิงกระจกยืนเหม่ออยู่พักใหญ่ ความเย็นที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากฝ่าเท้ากลบตัวเธอจนมิด
นิ้วมือจิกเข้าฝ่ามือ
เมื่อครู่คาดหวังในใจมากเท่าไร ตอนนี้…ก็ผิดหวังในใจมากเท่านั้น…
แต่ยิ่งผิดหวังถึงจะยิ่งมีสติ…
เธอเกือบลืมแล้วเชียวว่าเขามีคู่หมั้น…
หากเธอยังไม่ยอมตัดใจจากผู้ชายคนนี้ คอยนึกถึงแต่ผู้ชายของผู้หญิงคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย…
นั่นเป็นสิ่งที่มือที่สามจะทำ!
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?” ถังซ่งมองเธออย่างนึกห่วงแวบหนึ่งพลางถามเสียงเบา
เธอหลุดจากภวังค์
แย้มปากเหยียดยิ้มอย่างฝืนใจทีส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ข้างนอกหนาวเกินไป ฉันไม่ออกไปแล้ว”
เธอวางเสื้อกันหนาวลงแล้วเลิกผ้าห่มบนเตียงก่อนซุกตัวกลับเข้าไปใหม่ สายตาเบี่ยงไปทางอื่นที่ถังซ่งมองไม่เห็น รู้สึกเพียงขอบตาเริ่มร้อนผ่าวอย่างทรมาน
ถังซ่งมองเธอเงียบๆ อยู่สักพัก อยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด
แค่ตรวจอาการเธออีกทีถึงเปิดประตูเตรียมออกไป
“ถังซ่ง” เสียงเรียกจากไป๋ซู่เย่ตรึงเขาไว้อย่างฉับพลัน
เสียงเบาหวิวล่องลอย
ตัวถังซ่งที่เดินถึงหน้าประตูหยุดชะงัก หันกลับมามองเธอ เธอกึ่งพิงหัวเตียงปล่อยผมยาวคลอไหล่ ใบหน้าเล็กขาวซีดน้อยๆ
“ฉัน…ขอกลับไปก่อนได้มั้ย?”
ถังซ่งส่ายหน้า “คงไม่ได้ อย่างน้อยต้องให้อาการคงที่แล้วถึงจะไปได้ อีกไม่กี่วันเย่เซียวก็จะแต่งงานแล้ว ผมเข้าใจความรู้สึกคุณดี แต่อย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเอง”
เขา…จะแต่งงานแล้ว?
ประเด็นสำคัญที่ไป๋ซู่เย่จับได้กลับเป็นประโยคนี้ของถังซ่ง แพขนตาเธอกะพริบสั่นไหวดูคล้ายวิญญาณออกจากร่าง
แต่กลับไม่ได้ถามให้มากความแค่แสร้งพยักหน้าเหมือนไม่เป็นอะไร ตอบกลับว่า ‘โอเค’ ทิ้งตัวลงนอนซุกในผ้าห่มอีกครั้ง
ประตูถูกปิดเบาๆ
เธอตะแคงร่างที่หนักอึ้งทว่าข้างในกลวงพลิกตัวหันแผ่นหลังให้กับประตู
สายตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่างนิ่ง
หมอนเปียกเป็นดวงใหญ่โดยไม่รู้ตัว
เธอรู้ว่าไม่นานก็ข้าเขาต้องแต่งงาน แต่ว่า…
ที่แท้…
ต่อให้เตรียมใจมากเท่าไร รอวันนี้มาถึงจริงๆ…ทุกเส้นเขตแดนที่สร้างเพื่อคุ้มกันหัวใจก็ถูกทำลายทิ้งอย่างง่ายดายอยู่ดี…
…………………………
ถังซ่งเดินออกจากห้องผ่านทางเดินยาว ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นเขา
กำลังพิงกำแพงสูบบุหรี่
ถังซ่งขมวดคิ้วยื่นมือไปแย่งบุหรี่ในมือเขาโยนทิ้งไปไกล
“อยากตายหรือไง?”
“อยาก แต่ยังตายไม่ได้” เย่เซียวพูดเสียงนิ่ง เขาต้องมีชีวิตต่อไป อย่างน้อยจนกว่ามารดาของเขาจะปลอดภัยดี
ถังซ่งมองเขานิ่งๆ แวบหนึ่ง “เมื่อกี้นายกับน่าหลันในสวนดอกไม้ ทั้งนวดทั้งคลึง เธออยู่ข้างบนเห็นหมดแล้ว”
“ทั้งนวดทั้งคลึง?”
“นายไม่ใช่แค่ลูบหน้าเธอแต่ยังจับหน้าอกเธอด้วย นี่ไม่ใช่ทั้งนวดทั้งคลึงหรือไง?”
เย่เซียวไม่ได้แก้ตัว เขาไม่ถนัดเรื่องการแก้ตัวอยู่แล้ว
ถังซ่งกล่าว “เรื่องที่นายจะแต่งงานกับน่าหลัน ฉันก็บอกเธอแล้ว”
เย่เซียวนิ่งไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามเสียงเรียบ “เธอ…มีปฏิกิริยายังไง?”
“…ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น นิ่งสงบ ไม่พูดสักประโยคก็นอนแล้ว” เขาพูดไปพร้อมเหลือบสังเกตสีหน้าเย่เซียวไป
เย่เซียวล้วงบุหรี่ในกระเป๋ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้จุดไฟแค่คีบไว้เท่านั้น สีหน้าของเขาหม่นหมองถึงที่สุด
ถังซ่งถอนหายใจ ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่รู้ว่าที่นายเสี่ยงชีวิตช่วยเธอจะคุ้มหรือเปล่า”
“ไม่เคยมีคุ้มหรือไม่คุ้ม มีแต่ว่าฉันยอมหรือไม่ยอม”
ถังซ่งหัวเราะ “เมื่อก่อนคิดว่ามีแค่พี่ฉันที่รักเดียวใจเดียว คนเขาแต่งงานแล้วแท้ๆ เขากลับยังไม่ลืมสักที ส่วนนายกลับตรงกันข้าม ตัวเองใกล้จะแต่งงานแล้วแท้ๆ ยังไม่ลืมเธอ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีผลลงเอย พวกนายสองคนยังเฝ้ารอกันแบบนี้มันทรมานตัวเองชัดๆ!”
“เธอจะหายดีเมื่อไหร่?” เย่เซียวพูดเบี่ยงประเด็น
“นายหายดีแล้วเธอก็ต้องหายดีแล้วเหมือนกัน แต่นายบอกเองว่าอยากให้เธออยู่ต่อสักหน่อย ถึงได้ให้เธออยู่นี่เรื่อยๆ ถ้าอยากไปจริงๆ วันนี้ก็ไปได้”
“รอผ่านวันเสาร์เถอะ” เย่เซียวตอบ
“วันเสาร์เป็นวันพิเศษอะไรเหรอ?”
เย่เซียวไม่พูดอะไรอีก แค่หันหลังเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง แผ่นหลังดูโดดเดี่ยว
……………………
ไป๋ซู่เย่อยู่ในห้องวิจัยต่ออีกหลายวัน อากาศข้างนอกเย็นลงเรื่อยๆ เย็นเสียจนคนอาจไม่มีความกล้าที่จะออกไปเดินเล่น
แต่เธอกลับรู้สึกว่าการหมกอยู่แต่ในห้องนั้นเป็นความทรมานแบบหนึ่ง
เธอมักคิดอยู่เสมอว่าขอแค่ได้ไปสูดอากาศข้างนอกทุกอย่างจะดีขึ้น แต่หลังลองทำดูหลายครั้งถึงพบว่าเสียแรงเปล่า…
ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไรก็ไม่หายไปสักที
หนึ่งวันก่อนไปจากเมืองเยียว
เธอเดินรับลมเฉกเช่นปกติ เดินสวมเสื้อกันหนาวอยู่ในสวนของห้องวิจัยไปมาอย่างไม่ตายใจ
เดินไปเดินไป…
จู่ๆ รถคันหนึ่งก็เทียบจอดตรงหน้าเธอ
เท้าของเธอหยุดชะงัก มองชายหนุ่มที่ย่ำเท้าก้าวลงจากรถช้าๆ ชั่วขณะนั้นเผลอกลั้นหายใจไปด้วย
ที่แท้ไม่ได้เห็นเขาใกล้ขนาดนี้มาสิบกว่าวันแล้ว…
บางที…
ผ่านวันนี้ไป ผ่านช่วงเวลานี้ไป หลังจากนี้อาจไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว…
เย่เซียวเองก็มองเธอ
ทั้งสองคนมองกันและกันเงียบๆ อย่างพร้อมเพรียง
“ขึ้นรถ” สุดท้ายเขาเป็นคนพูดก่อน เปิดประตูด้านหลังของรถ
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามมากแค่ก้าวขึ้นรถตามคำสั่งของเขา ความจริงไม่จำเป็นต้องถามมาก แค่ได้อยู่กับเขาแค่วินาทีเดียวก็นับว่ามากเกินไปแล้ว แล้วจะไปสนจุดหมายปลายทางของพวกเขาทำไมกัน?
หยูอันเป็นคนขับรถ
เย่เซียวกับไป๋ซู่เย่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยกัน ทั้งสองคนกลับไม่มีบทสนทนาใดๆ
บรรยากาศภายในรถอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาของหยูอันแค่กล้าที่จะมองไปยังหนทางข้างหน้าไม่กล้ามองเหลวไหล แม้แต่หายใจยังต้องระวัง
รถยนต์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ขับถึงโรงแรมทรงเรือใบก็จอดลง
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ภายในโรงแรมจำรถของเย่เซียวได้ตั้งแต่ขับมาแต่ไกล รีบทิ้งงานในมือก่อนจะออกมาต้อนรับ
“นายน้อย!”
“ทำงานพวกคุณต่อ ไม่ต้องสนใจฉัน” เย่เซียวสั่งเสียงเรียบ
ผู้จัดการโบกมือไล่ ทุกคนจึงกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง
“นายน้อย ห้องของคุณเตรียมเสร็จแล้วครับ” ผู้จัดการเป็นคนสุดท้ายที่เดินจากไป ก่อนไปได้กระซิบบอกเย่เซียว
………………………