อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 774 รักมาก(3)
อาจเป็นเพราะเรื่องเมื่อครู่เป็นประเด็นอ่อนไหวเกินไปทำให้ทั้งคู่ต่างเงียบฉับพลัน บรรยากาศเริ่มแปลกซึ่งก็ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน
สุดท้ายขณะไป๋ซู่เย่วางถ้วยไว้ในเครื่องล้างจาน เย่เซียวได้ใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพ เขากลัดกระดุมแขนเสื้อปรายตามองเธอแวบหนึ่งแล้วกล่าว “ไปโรงพยาบาล”
“โอเค” เธอตอบรับที เดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องนอน
ระหว่างที่เปลี่ยนเสื้ออยู่เธอมองตัวเองในกระจกนิ่ง อดคิดไม่ได้ว่าหากผลจากการตรวจครั้งนี้ออกมาว่าเป็นเนื้อร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เกี่ยวกับเธออีกต่อไปแล้วใช่ไหม? เธอสามารถอ้างเหตุผลสุขภาพในการขอยุติการปฏิบัติภารกิจถึงขั้นลาออก จากนี้เป็นต้นไปก็ห่างไกลจากเรื่องพวกนี้ได้?
แต่…
หากเธอไปจริง กระทรวงความมั่นคงไม่มีวันปล่อยเย่เซียวไปแน่
พอจะคาดเดาได้ว่าจะมีการปฏิบัติการลอบสังหารที่ดุเดือดมากขนาดไหนหลังจากนั้น
นึกได้เช่นนั้นไป๋ซู่เย่ก็รู้สึกตีบตันที่หัวใจ พรูลมหายใจออกมานิ่งๆ ร่างกายของเย่เซียวในตอนนี้ต้านอะไรไม่ไหวเลยแม้แต่น้อย เธอไม่กล้าเสี่ยง อย่างน้อยตอนนี้ไม่กล้า
ส่ายศีรษะห้ามตัวเองคิดมากไปกว่านี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา เย่เซียวเห็นเธอใส่เพียงเสื้อผ้าสองชั้นก็ทำหน้าไม่พอใจ หยิบเสื้อกันหนาวคลุมไหล่เธอกระชับเสื้อเธอให้มิดชิดสีหน้าถึงดูดีขึ้นบ้าง
…………
ถึงโรงพยาบาลทำการตรวจใหม่ทุกอย่าง เย่เซียวยืนรออยู่ข้างนอกสักพัก ตัดสินใจเดินหนีออกมาเพราะรู้สึกอึดอัดตรงหน้าอก ไปสูบบุหรี่ในบริเวณสูบบุหรี่ อัดบุหรี่เข้าปอดแรงๆ
ไป๋ซู่เย่ออกมาตามหาอยู่พักใหญ่ถึงเจอเขาที่บริเวณสูบบุหรี่
ภายใต้ควันบุหรี่สีหน้าเขาหนักอึ้งและท่าทางสิ้นหวัง ไป๋ซู่เย่รู้ว่าเขาเป็นห่วงตนจึงจุดยิ้มมุมปากให้ตัวเองดูผ่อนคลายให้มากที่สุด เปิดประตูเข้าไปในเขตบริเวณสูบบุหรี่
เย่เซียวได้ยินเสียงเคลื่อนไหว มองไปทางประตูเห็นเธอเลยดับไฟบุหรี่ ย่างกรายเข้าไปหาเธอ
มือใหญ่จูงมือเธอมากุมไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ตรวจเสร็จแล้วเหรอ?” เย่เซียวถาม อาจจะด้วยสาเหตุที่เมื่อครู่สูบบุหรี่หนักเกินไปเสียงเลยติดแห้งเล็กน้อย
“อืม คุณหมอบอกว่าสองชั่วโมงหลังจากนี้ถึงจะรู้ผล” ไป๋ซู่เย่มองเขาครู่หนึ่ง “ถังซ่งบอกว่าร่างกายตอนนี้ของคุณแย่มาก สูบบุหรี่ไม่ได้ ฉันว่าคุณเลิกสูบจะดีกว่า”
นานทีเย่เซียวจะยอมเชื่อฟังขนาดนี้ พยักหน้ารับ “ได้”
ไป๋ซู่เย่หัวเราะทีหนึ่ง “นี่คุณสัญญากับฉันแล้วนะ คุณพูดแล้วต้องทำให้ได้”
เย่เซียวล้วงซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋าออกมาใส่มือเธอ ความจริงแล้วทุกเรื่องที่เขาสัญญากับเธอ เขาไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน
ไป๋ซู่เย่เห็นของที่ถูกยัดเต็มมือก็นึกดีใจ โยนทิ้งถังขยะต่อหน้าเขา เขาไม่แม้แต่จะกระตุกคิ้วสักนิด แค่เธอมีความสุขก็พอ
ทั้งสองคนเดินจูงมือเข้าลิฟต์
หลังออกจากโรงพยาบาลเดิมทีไป๋ซู่เย่นึกว่าเขาจะพาตนกลับโรงแรมแล้วเขาควรเข้าบริษัท แต่ผลปรากฎว่าเย่เซียวกลับพาเธอมาที่ห้างสรรพสินค้า
“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“ซื้อของ ลงรถ”
ไป๋ซู่เย่รับคำในลำคอแล้วลงรถตามเย่เซียว
ไป๋ซู่เย่เดินเข้าร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงถึงรู้ว่าที่แท้แล้วเย่เซียวพาตนมาซื้อเสื้อผ้า
อีกทั้งเขาไม่ดูก่อนด้วยซ้ำ แค่เลือกตัวที่หนาที่สุด
“ไปลองก่อนว่าอุ่นหรือเปล่า” เย่เซียวยัดเสื้อไหมพรมและเสื้อกันหนาวหลายตัวที่พนักงานเลือกให้ใส่มือเธอ
ไป๋ซู่เย่นึกขัน
“เย่เซียว ผู้หญิงเลือกเสื้อผ้าสำคัญที่ว่าใส่แล้วสวยหรือเปล่า อุ่นหรือไม่อุ่นมันไม่สำคัญเลยสักนิด”
“ผมคิดว่ามันสำคัญมาก” เย่เซียวโต้กลับเธอด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
อย่างไรเสียในสายตาเขา เธอสวมชุดไหนก็สวย
แน่นอนว่าต่อให้สวยขนาดไหนก็สวยสู้ตอนเธอไม่ใส่อะไรเลยไม่ได้
“คุณคิดอะไรอยู่?” ไป๋ซู่เย่สังเกตถึงสายตาของเย่เซียวที่มองมาทางตนอย่างผิดแปลกไปเลยหรี่ตาจ้องมองเขาเย่เซียวถึงหลุดจากภวังค์ แววตาลึกซึ้งขึ้น “ถ้าคุณไม่ลองอีก งั้นผมจะช่วยคุณเอง”
“ได้สิ คุณช่วยฉันลอง แต่มีไซซ์ที่คุณใส่ได้…” ยังไม่ทันจบคำว่า ‘ไหม’ ดี ไป๋ซู่เย่ถูกเย่เซียวคว้าข้อมือกึ่งบังคับลากเข้าห้องลองเสื้อ
จากนั้น…
“เย่เซียว คุณทำอะไร?” ภายในห้องลองเสื้อมีเสียงคุกรุ่นของหญิงสาวดังแว่วมา
“ช่วยคุณลองเสื้อไง” เขาตอบกลับอย่างไม่รู้สึกผิด ท่าทางธรรมชาติมาก
“แต่ตอนนี้คุณกำลัง…ถอดเสื้อผ้าฉันอยู่นะ” กดเสียงเบาลงเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย
“ไม่ถอดเสื้อแล้วจะลองยังไง?”
“อื้อ อย่าทำบ้าๆ นะ เย่เซียว หยุดทำบ้าๆ ได้แล้ว…” หญิงสาวเสียงเริ่มลน “ถ้ายังทำบ้าๆ อีกฉันจะโกรธแล้ว”
“ฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ!”
“เย่เซียว ทำไมคุณนิสัยไม่ดีขนาดนี้นะ…”
เพิ่งสิ้นเสียงพร่ำบ่นของไป๋ซู่เย่ก็ถูกชายหนุ่มโน้มหน้าประกบจูบทันที ห้องลองเสื้อแคบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอสองคนมายืนอยู่ข้างในเลยทำให้เบียดเสียดเป็นพิเศษ ไป๋ซู่เย่แทบจะถูกกักอยู่ในวงแขนเขาทั้งตัว
จูบเขาประทับลงมา ทำให้อุณหภูมิในห้องลองเสื้อพุ่งพรวด เร่าร้อนจนฉุดไม่อยู่
ขณะที่ไป๋ซู่เย่ถูกจูบจนสติเริ่มพร่ามัว ลมหายใจผิดจังหวะ เย่เซียวถึงผละห่างจากริมฝีปากเธอช้าๆ แววตาเขาล้ำลึกจดจ้องเธอไม่ห่าง
พวงแก้มไป๋ซู่เย่ขึ้นสีระเรื่ออย่างสวยงาม ดวงตาวูบไหวสั่นคลอนให้ความรู้สึกเย้ายวนใจแก่คนพบเห็น
เย่เซียวเห็นทุกอย่างในสายตาแล้วกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เขาถามเสียงแหบ “กลัวมั้ย?”
ประโยคไร้ที่มาที่ไปของเขาทำให้ไป๋ซู่เย่ใจหด ความตื่นกลัวกำลังคืบคลานเข้ามา
เดิมทีเธอเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่าต่อให้เป็นเนื้อร้ายก็ไม่กลัว นั่นเป็นแค่ชีวิตหนึ่งเท่านั้น
เธอเข้มแข็งมาโดยตลอด
แต่ ณ เวลานี้พอถูกเย่เซียวถามเช่นนี้เข้า ทุกความเข้มแข็งของเธอก็ฝืนต่อไม่ไหวแล้ว
เธอกลัว
กลัวอยู่แล้ว
กลัวตาย กลัวทรมานจากวิธีการรักษาที่หลากหลาย กลัวต้องจากลาเขาไปตลอดชีวิตทั้งที่เพิ่งเริ่มต้น
ไป๋ซู่เย่ขยับปากสองทีกลับพูดอะไรไม่ออก แค่เขย่งปลายเท้ากางแขนกอดเย่เซียวไว้ทั้งตัว เย่เซียวเองก็หลับตาลงกอดเธอตอบราวกับถ่ายทอดพลังทั้งหมดที่ตัวเองมีแก่เธอ
“ไม่ต้องกลัว มีผมอยู่ ผมไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่หนักหนาแค่ไหน ถังซ่งต้องช่วยคุณให้ได้”
เสียงของเขาทุ้มต่ำแหบแห้ง
เขาปลอบคนไม่เป็น แต่ทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกมามักทำให้ใจเธอสงบลงได้ เธอคิดแล้วว่าหากผลที่ออกมาในวันนี้ไม่เป็นไปตามที่หวัง หากได้อยู่เคียงข้างเย่เซียวเธอคงไม่กลัวอีกต่อไป
เพียงแต่ยังรู้สึกเสียดายอยู่ไม่มากก็น้อย
“อะแฮ่มอะแฮ่ม ทั้งสองท่านลองเสื้อเสร็จหรือยังคะ? ถ้าลองเสร็จแล้วออกมาดูหน่อยเถอะค่ะ” ข้างนอกพนักงานเคาะประตูห้องลองเสื้อ
นี่อย่าหาว่าเธอขัดอารมณ์เลย แต่ว่า…
นี่มันที่สาธารณะเชียวนะ หากชายหญิงคู่หนึ่งทำอะไรกันข้างใน มีข่าวลือออกไปคงไม่เหมาะ
ข้างใน
ไป๋ซู่เย่ได้ยินเสียงคนข้างนอกก็นึกเขิน รู้ว่าคนข้างนอกต้องเข้าใจผิดไปแล้ว ทุกความเศร้าของเธอมลายหายไปในอากาศทันที ได้แต่ดันเย่เซียว “คุณออกไปก่อน ฉันจะรีบออกไป”
“อืม” เย่เซียวยังคงท่าทางเรียบนิ่งเหมือนเดิม ไม่ได้ดูลำบากใจแต่อย่างใด
ไป๋ซู่เย่ลองลวกๆ ทีหนึ่งรออุ้มเสื้อผ้ากองใหญ่ออกมานั้นเห็นเพียงพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มตาหยี“สามตัวทั้งหมดสองหมื่นสามพันค่ะ ขอบพระคุณค่ะ”
………………………