อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 776 คำสารภาพรักที่มาช้า(1)
ฝ่ามืออ่อนนุ่มและความร้อนที่อบอุ่นนั่นทำให้หัวใจเย่เซียวสั่นสะท้านแต่ไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่จรดสายตาไว้บนถนนด้านหน้ารถเหมือนเดิมดังนั้นเลยไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาเธอที่มีหยาดน้ำตาแต้มอยู่
“ความจริง ฉันฝันถึงคุณบ่อยๆ ทั้งดี ไม่ดี ทั้งหวานชื่น เสียใจ…” ไป๋ซู่เย่เอ่ย สายตาจ้องหลังมือเขาตลอดไม่ได้เงยหน้า เสียงแผ่วเบาราวกับไม่ได้พูดให้เขาฟังกลับคล้ายพึมพำเองมากกว่า “ฉันคิดถึงคุณมาก คิดถึงจนภายหลังตัวเองเริ่มผิดปกติ…”
ลมหายใจเย่เซียวหอบหนัก
แค่ไม่กี่ประโยคสั้นๆ ของเธอได้สร้างความวูบไหวแก่หัวใจชั่วขณะ
เขาแทบจับพวงมาลัยไว้ไม่แน่น
นี่ถือเป็นคำสารภาพรักไหม?
ต่อให้ช้าไปสิบปีก็ตาม
ไป๋ซู่เย่ไม่รู้อารมณ์ความคิดเขาได้แต่จมอยู่ในห้วงความคิดในอดีตของตัวเอง น้ำเสียงยิ่งน่าสงสารลงเรื่อยๆ “เพราะแบบนี้ ฉะนั้น ถึงเลยได้ทรมานตัวเองเหมือนพร้อมตายตลอดเวลา…”
สิ้นคำของเธอเย่เซียวไม่ได้ปริปากพูดอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่แม้แต่ส่งสายตาให้เธอสักนิด แค่ขับรถต่อไปเงียบๆ
ไป๋ซู่เย่เดาไม่ออกว่าใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่คำสารภาพรักที่ไม่ได้รับการตอบรับเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่สร้างความผิดหวังแก่เธอ
ดังนั้นเธอไม่พูดอะไรอีก แค่เบนหน้ามองไปนอกหน้าต่างพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง
แต่ว่า…
ผ่านไปครู่เดียวจู่ๆ รถยนต์ก็หักเลี้ยวจากนั้นได้ยินเสียงล้อเสียดสีกับพื้นดัง ‘เอี๊ยด–’ ก่อนจะจอดข้างทาง
เธอหันหน้าไปอย่างฉงน ยังไม่ทันรอรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกเย่เซียวจับปลายคางให้เธอหันหน้าไปประจันหน้าเขา
ทั้งคู่สบสายตา ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ
ใกล้ถึงขนาดทุกสีหน้าของเขาตกอยู่ในสายตาของเธอทั้งหมด
สายตาซับซ้อนที่แฝงด้วยหลายห้วงอารมณ์ เธอเห็นมันก็รู้สึกใจวูบไหว
ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย
“เย่เซียว…” เธอเรียกชื่อเขาเสียงเบาทีหนึ่งด้วยน้ำเสียงแหบแห้งน้อยๆ ยกมือขึ้นจับมือเขา
เสียงลมหายใจของเขาหนักอึ้งเช่นกัน “ที่พูดเมื่อกี้ เป็นความจริงใช่มั้ย? ไม่ได้โกหกผมใช่มั้ย?”
ความเชื่อใจระหว่างพวกเขายังคงมีสิ่งบางๆ บางอย่างกั้นไว้อยู่ เขาอยากเชื่อแต่ก็ลองเชิง กลัวที่จะเชื่อ
ไป๋ซู่เย่ยิ้มขมขื่นไม่บีบบังคับให้เชื่อ นี่เป็นสิ่งที่เธอทำตัวเอง
“ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ฉันไม่มีทางจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าเป็นความจริงหรือโกหก จะให้คุณเข้าฝันฉันเพื่อพิสูจน์ก็ไม่ได้”
เย่เซียวจ้องเธอ วินาทีถัดมากัดปากเธอแรงๆ ราวกับเป็นการลงโทษไปในตัว เป็นการกัดจริงๆ ที่ไป๋ซู่เย่รู้สึกเจ็บจนหลุดเสียงร้องออกมา “เย่เซียว เจ็บ…”
เขารีบผ่อนแรงลงแต่ยังแนบปากชิดปากเธอไม่ถอยห่าง สายตาจ้องมองเธอนิ่ง“ถ้าคิดถึงขนาดอย่างที่คุณว่า ทำไมสิบปีนี้ไม่มาหาผมเลย?”
ไป๋ซู่เย่ได้แต่กระชับมือเขาแน่น ส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด ไม่อาจให้เหตุผลอธิบายอะไรได้
เหตุผล พวกเขาต่างรับรู้กันดีอยู่ในใจ
ก้าวนั้นใช่ว่าจะก้าวผ่านได้ง่ายๆ? ต่อให้ผ่านไปสิบปี ยังไม่ทำให้ปมในใจพวกเขาคลายลงสักนิด
เธอยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไร้ข้อแก้ตัวที่สุด แล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะเป็นฝ่ายเรียกร้องก่อน?
เย่เซียวไม่ถามให้มากความ เขาไม่ได้สืบเสาะความจริงของคำพูดเหล่านี้อีก ต่อให้เธอหลอกเขาอีกครั้ง ณ เวลานี้ เขาอยากเดินตามหัวใจของตัวเอง
หากมีวันใดวันหนึ่ง—วันที่เธอทรยศหักหลังเขาอีกหน เขาจะตายไปพร้อมกับเธอ ตายด้วยกัน ถือว่าไม่ได้เสียแรงที่ยืดเยื้อกันมายาวนานถึงสิบปี
“เย่เซียว โทรศัพท์คุณดัง” เสียงเตือนของไป๋ซู่เย่ดึงสติของเขากลับมา
เขาหลุดจากภวังค์มองเธอแวบหนึ่ง
เธอยังปรับอารมณ์ไม่ทัน ดวงตามีความเจ็บปวดเกี่ยวกับอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ สีหน้าท่าทางดั่งหญิงสาวที่แตกสลายแบบนั้นทำให้เขารู้สึกแน่นหน้าอก
เขาเกิดความรู้สึกขึ้นมาในฉับพลันว่าหญิงสาวตรงหน้าคือไป๋ซู่เย่เมื่อสิบปีก่อน ไป๋ซู่เย่ที่ทำเขาปวดใจได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่เธอที่กลับมาพบกันอีกครั้งในสิบปีให้หลังที่เต็มไปด้วยหนาม ใส่ชุดเกราะเหล็ก ต้องการเอาชนะและดื้อดึง กระตุ้นไฟโทสะเขาได้อย่างง่ายดายอยู่เสมอ
แต่…
ไม่ว่าจะเป็นเธอในรูปแบบไหนเขาก็หนีไม่พ้นบทสรุปตกอยู่ในเงื้อมมือตกหลุมครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาลูบผมเธอไปมา น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “ผมขอรับโทรศัพท์ก่อน”
“ได้” เธอพยักหน้า
เย่เซียวนั่งหลังตรงโดยที่มือยังจับเธอไม่ปล่อย โทรศัพท์ดังอยู่หลายครั้ง รอเขาปรับอารมณ์ได้ดีแล้วถึงหยิบมาแนบหู
“ฮัลโหล อืม คุณพูดมาเลยผมฟังอยู่ อืม แน่ใจแล้วนะ? โอเค ผมรู้แล้ว”
เขาพูดไม่มากแต่ไป๋ซู่เย่กลับสัมผัสได้ชัดเจนว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายประโยคน้ำเสียงร่าเริงขึ้นไม่น้อย
วางสายแล้วเขากล่าวกับเธอว่า “เรากลับโรงแรม”
“คุณอารมณ์ดีมาก”
เย่เซียวขับรถไปนิ้วมือกระตุกเล่นปลายนิ้วเธอไป สักพักถึงตอบ “…คุณไม่เป็นอะไร”
“หืม?”
“เป็นเนื้อดี” เย่เซียวผ่อนคลายลงทันที ท่วงท่าขับรถก็สบายขึ้นกว่าเดิมมาก “เนื้อดี ไม่อันตรายมาก รอเจอถังซ่งค่อยให้เขาผ่าออกมาให้คุณก็พอ”
ไป๋ซู่เย่เข้าใจความหมายเลยถอนหายใจโล่งอกตาม
เธอเอนตัวพิงศีรษะไว้ตรงไหล่เย่เซียว “ฉันบอกแล้วว่าต้องเป็นเนื้อดี คุณพูดให้ตัวเองตกใจ”
เย่เซียวก้มมองเธอแล้วแค่นเสียงกล่าว “อืม มีแต่คุณที่ฉลาด ผมน่ะโง่ ชอบเป็นห่วงไปเรื่อย”
ไป๋ซู่เย่รู้สึกหวานหยดในใจ มีใครสักคนที่เป็นห่วงเรามากกว่าตัวเราเองนับว่าเป็นเรื่องที่มีความสุขเรื่องหนึ่งแล้ว ส่วนคนคนนั้นบังเอิญว่าเป็นคนที่ตัวเองเป็นห่วงเป็นใยยิ่งกว่าเป็นห่วงตัวเองด้วยเช่นกัน นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว
เธอเชยตามองใบหน้ามุมข้างของเขา อดไม่ได้ที่จะจุ๊บลำคอเขาหนึ่งที
ร่างสูงของเย่เซียวนิ่งเกร็ง
กำพวงมาลัยแน่น ลมหายใจหนักหน่วง “อย่าซน”
“ฉันไม่ได้ซน” เธอพูดโดยที่แนบปากไว้ตรงคอเขาให้ลมหายใจรดลำคอเขา
เย่เซียวปล่อยมือเธอ “ไปนั่งข้างๆ ให้ดี”
ไป๋ซู่เย่หัวเราะ ได้แต่รู้สึกสะใจที่เห็นเขาเกร็งไปทั้งตัว แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตแล้วไม่กล้าหยอกเขาต่อ ได้แต่กลับไปนั่งที่อย่างเชื่อฟัง
——————
อาหารเย็นทานในห้อง
เดิมทีไป๋ซู่เย่อยากให้เขาไปเดินเล่นเป็นเพื่อนถือว่าเป็นการออกกำลังกาย แต่ผลสุดท้ายการเดินเล่นกลายเป็นว่าถูกเย่เซียวเปลี่ยนเป็นออกกำลังกายบนเตียงแทน
หลังรู้ว่าสุขภาพเธอไม่เป็นอะไรเย่เซียวก็ไม่คิดจะควบคุมตัวเองอีก ไม่ได้มีอะไรกับเธอดีๆ มาสักระยะแล้ว เมื่อคืนแค่ครั้งเดียว ความอดทนของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว
รอหลังเที่ยงคืนไป๋ซู่เย่ที่เหนื่อยอ่อนถึงได้เข้าสู่ห้วงนิทราไป
เย่เซียวมองสภาพตอนหลับใหลของเธอ รู้สึกแค่ว่าหัวใจดวงนั้นที่ล่องลอยไปมาสิบปี เจ็บปวดขมขื่นไร้ที่พึ่งดวงนั้นในที่สุดก็นิ่งลงสักที
เขาประทับจูบไล่ตั้งแต่หน้าผากสวยของเธอจรดเปลือกตาเธอ จนมาถึงปลายจมูกเธอ ริมฝีปากเธอ…
……………………………