อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 778 คำสารภาพรักที่มาช้า(3)
“คิดจะจ้องผมแบบนี้จนหนังจบเลยเหรอ?” เย่เซียวชิงเอ่ยปากก่อนด้วยน้ำเสียงที่ติดหยอกล้อ
เธอถึงเพิ่งได้สติกลับมา“คุณ…ไหนว่าคุณจะกลับมาวันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”
ทำไมจู่ๆ ถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ?
“อืม เดิมทีจะกลับพรุ่งนี้แต่เลื่อนเร็วขึ้นหนึ่งวันแบบกะทันหัน” เย่เซียวเหยียดตัวนอนลงสองมือไขว้ไว้บนหน้าท้องด้วยท่าสบายตัวที่สุด
ไป๋ซู่เย่ถาม “ทำไม? ไหนก่อนหน้าคุณบอกว่าคุณงานยุ่งมาก?”
เย่เซียวลืมตามองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นหลับตาทิ้งประโยคแสนเท่ไว้หนึ่งประโยค “คิดเอง”
ใช่ว่าจะมีเพียงเธอที่จะมีความรู้สึกที่คำนึงหาใครสักคน
ไป๋ซู่เย่เข้าใจความหมายในฉับพลันทุกความคิดถึงเหมือนหาตำแหน่งของมันได้ ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เราโล่งใจได้มากเท่าการที่ความคิดถึงได้รับการตอบรับ
อารมณ์ที่ดิ่งมาสามวันได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เธอวางกล่องนมไว้ข้างๆ เท้าข้อศอกไว้บนโต๊ะเล็กที่กั้นระหว่างพวกเขาไว้ก่อนเท้าคางเรียวหลุบสองตามองเขา แสร้งทำเป็นถามเชิงหยอก “เย่เซียว ไม่ใช่ว่าคุณกลับมาก่อนเพราะฉันหรอกนะ?”
เย่เซียวนอนอยู่ตรงนั้นแล้วมองเธอ เดิมทีไป๋ซู่เย่คิดว่าคนนิสัยเย็นชาเปรียบดั่งน้ำแข็งแบบนี้ไม่มีวันพูดความจริง แต่เขากลับไม่ปฏิเสธ แค่ลืมตามองเธอด้วยสายตาร้อนรุ่มท่ามกลางความมืด
สายตานั่นคล้ายจะมองเธอให้ทะลุไปถึงหัวใจ…
ไป๋ซู่เย่ถูกเขาจ้องมองจนหัวใจเริ่มเร่งจังหวะอย่างน่าแปลก แทบจะละลายไปกับสายตาเขา ทีแรกคิดจะหยอกเขาสุดท้ายกลับโดนเอาคืนจนตั้งรับไม่ไหว เธอกระแอมเสียงไอเบาๆ ที พวงแก้มแดงระเรื่อและวางแขนลงเตรียมนอนท่าเดียวกับเขา
มือกลับถูกเขากุมไว้
เธอมองเขา
“ขยับมา” เสียงเย่เซียวถูกกดต่ำลงเพราะอยู่ในโรงภาพยนตร์เลยขับให้ฟังดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ
ไป๋ซู่เย่เงียบไปอึดใจ สุดท้ายสู้สายตาของเขาไม่ไหวเลยลุกขึ้นค่อยๆ โน้มตัวไปยังเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่อย่างระมัดระวังเหมือนคู่รักหลายคู่ข้างหน้า
โซฟาโซน VIP แม้จะกว้างใหญ่แต่เย่เซียวเป็นคนแขนยาวขายาว ที่ตรงนั้นจึงพอดีสำหรับเขา พอไป๋ซู่เย่มานอนด้วยกันสองคนเลยออกจะเบียดเล็กน้อย แต่ไม่มีใครสนใจ คู่หนุ่มสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรัก แค่นั่งเก้าอี้ธรรมดายังอยากจะประกอบเก้าอี้เป็นตัวเดียวกันให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ!
เธอแทบหดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา ได้กลิ่นอายหอมสดชื่นบางเบาจากตัวเขาที่ทำให้หัวใจสงบลงมาก
“ผมนอนแป๊บหนึ่ง ตอนหนังจบคุณก็ปลุกผม” เย่เซียวกระซิบข้างหูเธอ เสียงเซ็กซี่ที่กดต่ำทำให้เธอตัวอ่อนระทวย
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ?”
“อืม” รีบเร่งกลับมาเลยแทบไม่ได้ข่มตาหลับสักนิด ลงจากเครื่องพุ่งตัวไปโรงแรมทันที ทีแรกคิดอยากจะกอดเธอนอนให้เต็มอิ่มสักหน่อยสุดท้ายเสี่ยวซ่งกลับบอกว่าเธอมาโรงภาพยนตร์เพียงลำพังเขาถึงต้องเร่งฝีเท้ามาที่นี่ต่อ
“งั้นคุณนอนเถอะ เดี๋ยวค่ำๆ ฉันจะปลุก” ไป๋ซู่เย่ปวดใจที่เห็นเขาเหนื่อยอ่อนจนเสียงอ่อนโยนลงไม่น้อย รอไม่นานเขาก็หลับไปจริงๆ เธอหยิบเสื้อกันหนาวเขามาคลุมให้เบาๆ เผลอเล่นติ่งหูเขาโดยไม่รู้ตัวแต่ถูกเขาจับมือไว้มาทาบข้างแก้ม เธออมยิ้มเล็กน้อยเพียงรู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันแบบนี้มันสบายอย่างบอกไม่ถูก
เริ่มกลับไปจดจ่อกับหนังตรงหน้าช้าๆ ยังดีที่ไม่ได้ทำให้เธอผิดหวังที่ตอนจบดี เพียงแต่ขณะที่ภาพยนตร์ฉายจบนั้นเขายังไม่ตื่น
สุดท้ายไป๋ซู่เย่ทำใจปลุกเขากลางคันไม่ได้จึงซื้อตั๋วหนังต่ออีกสองรอบในโรงเดิมตำแหน่งเดิมเพื่อให้เขาได้หลับเต็มอิ่ม
……………………
เมื่อตื่นมาอีกทีเย่เซียวสะลึมสะลือ เขากระชับอ้อมแขนโดยอัตโนมัติเพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่ก่อนจะพรูลมหายใจโล่งอก
“ตื่นแล้วเหรอ?” ไป๋ซู่เย่เองก็หลับไปตื่นหนึ่งเพิ่งตื่น
เย่เซียวตอบรับเสียงเนือยแล้วหลับตาใหม่ เอาคางชิดเหนือศีรษะเธอกล่าว “เรามีเตียงใหญ่ไม่นอน มานอนที่โรงหนังทำบ้าอะไรเนี่ย?”
ไป๋ซู่เย่หัวเราะขัน “ฉันไม่เหมือนคุณ ฉันมาดูหนัง”
“อืม ไม่เหมือนกัน” เย่เซียวตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมมาดูคุณ”
เสียงของเขาไม่ได้แฝงด้วยอารมณ์ใดๆ ซึ่งน้ำเสียงยังฟังดูราบเรียบเหมือนเช่นเคยแต่กลับทำเธอใจสั่นรุนแรง ความรู้สึกหวานชื่นกำลังแทรกซึมไปทั่วหัวใจเธอ
บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกของการมีความรัก…
ประโยคธรรมดาของเขาเพียงประโยคเดียวก็ส่งผลกระทบต่อหัวใจเธอได้อย่างง่ายดาย
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?” เย่เซียวถาม
ไป๋ซู่เย่เลิกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นดู “ห้าโมงกว่า”
เย่เซียวเปิดเปลือกตากวาดมองภาพยนตร์ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเรื่องไปแล้วเพราะก่อนหน้านี้ยังเป็นภาพยนตร์ของประเทศ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์ของต่างประเทศ
“ผมหลับนานเกินไปแล้ว” เย่เซียวลูบหน้าทีหนึ่งเพื่อให้ตัวเองมีสติหน่อย มือใหญ่ตบบั้นท้ายเธอทีหนึ่ง “ลุก”
ทั้งคู่นอนหลับเต็มอิ่ม เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ ข้างในอบอุ่นพอออกมาเจออากาศหนาวเย็นของข้างนอกทำให้เธอซุกตัวชิดกายเย่เซียวไม่หยุดหย่อน เย่เซียวโอบเธอและเร่งฝีเท้าเดินไปทิศทางโรงจอดรถ
“กลางคืนเราทานข้าวที่โรงแรมเหมือนเดิมมั้ย?” หลังไป๋ซู่เย่คาดเข็มขัดเสร็จก็เป่าลมใส่ฝ่ามือที่เย็นเฉียบ
เย่เซียวเปิดฮีทเตอร์ในรถแล้วคว้ามือเธอไปวางไว้หน้าช่องถ่ายเทอากาศ ถอยรถไปตอบกลับไป “ไปทานข้าวที่คฤหาสน์ไฟ”
ไป๋ซู่เย่เชยตามองเย่เซียวแวบหนึ่ง เงียบไปชั่วครู่ก็ถาม “พ่อบุญธรรมคุณกลับมาหรือยัง?”
“อืม” เย่เซียวตอบเธอโดยที่ยังทิ้งสายตาไว้ตรงกระจกหน้า เขาถอยรถอย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทางดูดีอย่างมากเช่นกัน
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้เอ่ยเสียงตอบอยู่พักหนึ่ง
เย่เซียวขับรถมาบนถนนใหญ่ถึงหันไปมองเธอ “ไม่อยากไป?”
“ไปเถอะ ถ้าคุณไม่กลัวฉันจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณล่ะก็”
เขาไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณจะสร้างความเดือดร้อนให้ผมอยู่แล้ว”
เพียงแต่…
ต่อให้เกิดความเดือดร้อนมากสักเท่าไร เขาก็ยอมทนอยู่แล้ว
เพียงแค่…เธอจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ…
ไป๋ซู่เย่ดูรู้สึกผิดหน่อยๆ เย่เซียวไม่พูดอะไรอีกเพียงกระชับมือที่กุมมือแดงเถือกของเธอ แม้เขาไม่ตอบอะไรแต่นี่เท่ากับปลอบใจ ไป๋ซู่เย่รู้ดีอยู่แก่ใจ
—————
ไฟเรนเซ่จากไปเกือบหนึ่งเดือนถึงเพิ่งกลับมา ตอนนี้ค่อนข้างดีใจเพราะรอคอยที่จะได้ทานอาหารเย็นร่วมกับลูกชาย
แต่ผลสุดท้าย…
เย่เซียวเพิ่งก้าวเข้าประตูเมื่อไฟเรนเซ่เห็นคนที่ถูกเขาจูงตามหลังมาสีหน้าก็ถมึงทึงลง
“คุณพ่อ” เย่เซียวทักทาย
ไป๋ซู่เย่มองไฟเรนเซ่ที่กำลังทำหน้าตึงแวบหนึ่ง ไม่ได้ล่าถอยไปแต่ยิ้มจางๆ ทีแล้วทักทายอย่างเถรตรง “คุณไฟ”
ก่อนจะหันไปทักทายคุณแม่เย่ที่อยู่ข้างๆ “คุณป้า”
“ข้างนอกหนาวสินะ? รีบเข้ามานั่ง” เทียบกับสีหน้าของไฟเรนเซ่แล้วคุณแม่เย่จะเป็นมิตรมากกว่า เธอลุกขึ้นรับเสื้อกันหนาวจากเย่เซียวมาถือไว้แล้วหันไปขยิบตาให้เย่เซียวเป็นเชิงให้เขาปลอบใจพ่อบุญธรรมของเขา
“ซู่ซู่ ได้ยินเย่เซียวบอกว่าฝีมือทำอาหารของหนูไม่เลวเลย เข้าครัวกับฉัน ทำอาหารให้คุณไฟลองชิมฝีมือหนูดีมั้ย?” คุณแม่เย่พาเธอหนีออกมาจากจุดศูนย์กลางของพายุอย่างใจดี
………………………