อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 783 ความปราณีครั้งสุดท้าย (4)
รอไป๋ซู่เย่ตื่นมาอีกทีในห้องเหลือเพียงความโล่งเปล่า ความโล่งเปล่าแบบนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงเธอที่มีชีวิตอยู่…
สิ่งของทุกอย่างของเขาถูกย้ายออกทั้งหมดไม่เหลือร่องรอยเพียงนิด เหมือนกับว่า…คนคนนี้ไม่เคยปรากฎตัวมาก่อน…
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาของเธอเท่านั้น…
……
หัวเตียงมีตั๋วเครื่องบินใบหนึ่งวางอยู่ เป็นตั๋วเครื่องบินไปประเทศ S ที่ชื่อบนนั้นเป็นชื่อเธอ
เวลาเดินทางคือคืนนี้
ไป๋ซู่เย่มองตั๋วเครื่องบินใบนั้นนิ่ง น้ำตาทำให้ภาพทุกอย่างพร่ามัวในทันที
ฉะนั้น…
นี่เขากำลังไว้ชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายให้เธอหรือ?
เธอแย้มปากยิ้มขมขื่นแล้วเก็บตั๋วเครื่องบิน ความจริงสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ เธอหมดทางหนีรอดตั้งนานแล้ว…
ไป๋ซู่เย่หยิบโทรศัพท์โทรหาไป๋หลาง
“รัฐมนตรี สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ?”
ไป๋ซู่เย่หยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก ลูบหน้าที่เศร้าโศกครู่ใหญ่ถึงเปล่งเสียงออกมาได้ “ฉันจะให้รหัสลับนายอันหนึ่ง รีบแกะมาให้ฉัน อย่าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว”
“ครับ ส่งมาให้ผมก็พอ แต่ว่า…” ไป๋หลางชะงักไปครู่ “น้ำเสียงของคุณฟังดูแย่มากเลย หรือว่า…เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันวางสายก่อนล่ะ”
ไป๋ซู่เย่ไม่ตอบแต่วางสายแทน เธอทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงอย่างหมดแรงอีกครั้ง ดวงตาจ้องเพดานห้องอย่างไร้จุดหมาย
เย่เซียววางกับดักเธอเป็นการลองเชิงเธอและระแวงเธอ ส่วนที่เขาไม่รู้คือ เธอที่ไม่มีทางให้ถอยหลังอีกต่อไปนั้นเหลือเพียงต้องกระโดดเข้าบ่วงกับดักนี้อย่างไม่ลังเลใจ…
เพียงแค่เกรงว่าต้องปฏิเสธความปราณีที่เขามอบให้กับตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายนี้อีกแล้ว…
เธอไม่มีทางเลือกอื่น…
เธอมองตั๋วเครื่องบินใบนั้นแวบหนึ่ง ดวงตารื้นด้วยน้ำใสชั้นบางๆ อีกหน
เย่เซียว…
ในอนาคตที่แสนไกล สักวัน ขอแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาจะยังนึกถึงเธอคนนี้ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ไหม…
ต่อให้เป็นความกลียดชังที่ฝังลึก…
——
ไม่นานไป๋หลางก็ส่งข้อความมา
เวลาคือสองทุ่มครึ่งพรุ่งนี้ ส่วนที่อยู่คือคฤหาสน์ของท่านดยุคมู่ซือที่อยู่ทางเหนือสุดของเมืองเยียว
“พรุ่งนี้เป็นงานวันเกิดของดยุคมู่ซือ ถึงตอนนั้นจะมีสุภาพบุรุษมีชื่อเสียงมากมายปรากฏตัว พวกเขาน่าจะเลือกเซ็นสัญญาในงานเพื่อหลบสายตาผู้คน” ไป๋หลางวิเคราะห์
ไป๋หลางตอบ “หาบัตรเชิญให้ฉันใบหนึ่ง อย่ากระโตกกระตากไป”
“คุณ…คิดจะออกปฏิบัติภารกิจคนเดียว?”
“อืม”
“ไม่ได้ครับ!พวกนั้นเป็นกลุ่มติดอาวุธทั้งนั้น คุณคนเดียว…”
“นี่เป็นคำสั่ง คืนนี้ให้คนเอาบัตรเชิญมาส่งที่โรงแรม” ไป๋ซู่เย่พูดขัดไป๋หลาง
ไป๋หลางเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นถามเสียงเรียบ “ผมอยากรู้แผนของคุณ”
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ตอบพักหนึ่ง เสียงหายใจทั้งหนักอึ้งทั้งหน่วง ไป๋หลางเกิดลนขึ้นมาอย่างน่าแปลก อยากจะถามอะไรอีกแต่ไม่รอให้อ้าปากถามเธอก็วางสายไปเสียก่อน
ไป๋ซู่เย่สูดหายใจลึก รอสงบสติอารมณ์ได้ก็ลงจากเตียงเปลี่ยนเสื้อ
โทรศัพท์แผดเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
เธอคว้ามาดูเบอร์บนนั้นจนนิ่งเพราะความแปลกใจไปชั่วอึดใจ
ไฟเรนเซ่
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” เธอตั้งสติแล้วกดรับสาย
“คุณไป๋สินะ? คุณไฟให้ผมโทรหาคุณเอง” เสียงลุงหมิงดังมาจากอีกฟากของสาย
ไป๋ซู่เย่แย้มปาก พยายามไม่ให้อีกฝ่ายจับน้ำเสียงผิดปกติของเธอได้ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“มีเรื่องอะไร? เธอเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาขนาดนี้เลยเหรอ?” ทางนั้นโทรศัพท์ถูกแย่งไป เสียงเดือดพล่านของไฟเรนเซ่แว่วมาในสาย “ถ้าเธอไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาอีก!เธอดูเองสิว่านี่มันกี่โมงแล้ว ฉันว่าเธออยากจะปล่อยฉันให้หิวตายมากกว่า”
ว่ากันว่าคนแก่ที่อายุยิ่งมากก็ยิ่งยากจะอยู่ร่วมด้วย
ปกติตอนเธอไปหาไฟเรนเซ่กลับมีท่าทีรังเกียจไม่อยากเห็นหน้าเธอเหลือเกิน พอมีแรงหน่อยก็ขับไล่เธอ ตอนนี้กลับ…
นับได้ไหมว่าความจริงเขามีท่าทีที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีต่อเธอแล้ว?
หากเป็นเช่นนี้ คงนับว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ
แต่น่าเสียดาย…
“ฮัลโหล ฮัลโหล?” ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ไฟเรนเซ่ก็ส่งเสียงอีกสองที เริ่มหมดความอดทนลงไปทุกเมื่อ
“ค่ะ” ไป๋ซู่เย่ตอบกลับ “น้ำซุปทำเสร็จแล้ว หนูจะเอาไปส่งให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“แบบนี้ค่อยดีหน่อย!”
ไฟเรนเซ่พึงพอใจแล้วน้ำเสียงก็ดีขึ้นไม่น้อย กดวางสายทันทีโดยไม่พูดอะไรกับเธอไปมากกว่านี้
————
อีกฟากหนึ่ง
เฉิงหมิงรู้สึกขบขันเล็กน้อย ไฟเรนเซ่ถลึงตาใส่เขา “แกหัวเราะอะไร?”
“เปล่า เปล่าหัวเราะครับ” เฉิงหมิงกระแอมไอที รีบหุบยิ้มแล้วตอบเพียง “คุณไฟ รีบทานอาหารเที่ยงเถอะครับ คุณไป๋มานี่จากโรงแรมก็ต้องใช้เวลาสักพัก ตอนนี้ท่านจะปล่อยให้หิวไม่ได้นะครับ”
ไฟเรนเซ่มองจานอาหารของทางโรงพยาบาลแวบหนึ่งก็ไม่รู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด เริ่มคิดถึงเนื้อซี่โครงเผือกของเธอตงิดๆ แล้วสิ
“พรุ่งนี้ให้ยายนั่นทำเผือกมาให้ฉันหน่อย วันๆ กินแต่ของจืดๆ เบื่อแล้ว”
“ท่านบอกว่าฝีมือทำอาหารเธอแย่เกินไปไม่ใช่หรือครับ?”
“แย่จริงๆ แย่มาก” ไฟเรนเซ่ขมวดคิ้วแล้วพูดเป็นเชิงรังเกียจ “หลังจากนี้ถ้าเย่เซียวแต่งงานกับเธอจริงๆ ฉันว่าต้องส่งเธอไปเรียนโรงเรียนทำอาหารหลายเดือนหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นภรรยาตรงไหนเลย”
เฉิงหมิงคอยฟังเขาพูดไปโดยไม่คิดจะพูดเปิดโปงเขา
ดูเหมือนการที่คุณไป๋มาอย่างขยันขันแข็งหลายครั้งจะได้ผลจริงๆ
ไป๋ซู่เย่โบกรถมาโรงพยาบาล ความจริงไฟเรนเซ่ทานมื้อเที่ยงไปแล้วแต่ก็ทานน้ำซุปไก่ที่เธอเอามาให้อย่างไว้หน้า
เธอในวันนี้ไม่พูดอะไรมาก หลังเปิดประตูเข้ามาทักทายก็ไร้เสียงอีก ตักน้ำซุปให้เขาเงียบๆ
เฉิงหมิงที่อยู่ข้างๆ ยังจับผิดปกติได้บ้างแล้ว
“เธอต้มไก่เละขนาดนี้ คิดว่าฉันแก่แล้ว เคี้ยวไม่ไหวแล้วสินะ?” ไฟเรนเซ่เห็นสีหน้าเธอจึงจงใจพูดหาเรื่อง
“วันนี้จับเวลาผิดไปหน่อยเพราะเกิดอุบัติเหตุกลางคันน่ะค่ะ” ไป๋ซู่เย่พูดอธิบายเสียงเรียบ ระหว่างนั้นถูกเย่เซียวอุ้มไว้บนเตียงจนลืมปิดไฟ
ไฟเรนเซ่เห็นท่าทางราบเรียบของเธอดังเดิมก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ “น้ำซุปนี่ก็เหมือนกัน!จืดขนาดนี้จะให้ฉันกินยังไง?”
ทีนี้ไป๋ซู่เย่ไม่ปริเสียงใดๆ อีกต่อไป แค่พยักหน้ากึกและไม่รู้ว่าได้ฟังที่เขาพูดไปหรือเปล่า
ไฟเรนเซ่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังต่อยสำลีที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เริ่มมีทีท่าอ่อนลง ความสะใจที่ได้หาเรื่องเธอย่อมหายสาบสูญ
ทานน้ำซุปไปได้สองคำพลางเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง เห็นเพียงเธอนั่งอยู่ข้างเตียงปอกผลไม้ให้เขา—เพราะหลายวันก่อนเขาด่าเธอตลอดว่าซุ่มซ่าม ฉะนั้นเหมือนว่าเธอได้ฝึกฝนวิชานี้มาจริงๆ ตอนนี้ปอกเปลือกผลไม้ได้อย่างคล่องมือแต่สุดท้ายกลับหวิดที่จะเฉือนนิ้วตัวเองเข้า
ไฟเรนเซ่ขมวดคิ้ว “ทำไมเธอถึงซุ่มซ่ามอีกแล้ว?”
ไป๋ซู่เย่แย้มปาก “อุบัติเหตุน่ะค่ะ หนูขอไปล้างก่อน”
เธอลุกยืนเดินไปล้างผลไม้
สายตาไฟเรนเซ่จ้องแผ่นหลังเธอไม่ห่าง เฉิงหมิงเองก็คอยมองเธออยู่ตลอด
……………………