อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 787 การเลือกครั้งสุดท้าย (4)
รอมาถึงงานเพิ่งจะสองทุ่ม
แต่วันนี้เนื่องจากเป็นงานวันเกิดของท่านดยุคมู่ซือ ฉะนั้นภายในงานเลยครึกครื้นก่อนแล้ว
ไป๋หลางหยิบบัตรเชิญออกมาเดินเข้างานอย่างราบรื่นไปพร้อมกับไป๋ซู่เย่ ก่อนที่ไป๋ซู่เย่จะเข้าไปได้กวาดมองทั้งงานแต่ไม่เห็นกลุ่มคนของเย่เซียว
“ตอนนี้ยังเร็วไปหน่อย คิดว่าพวกเย่เซียวยังมาไม่ถึง” ไป๋หลางกระซิบ
“คนของเราล่ะ?”
“ตั้งการ์ดรอข้างนอกแล้ว ขอแค่มีการเคลื่อนไหวจากข้างในจะรีบพุ่งเข้าไปทันที”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้า ตวัดตามองไป๋หลางอย่างจริงจังแวบหนึ่ง “เรื่องที่นายเคยรับปากไว้ อย่าลืมล่ะ”
“ครับ ผมจำได้ดี–ไม่ว่ายังไงก็ห้ามทำร้ายเย่เซียว” ไป๋หลางพูดย้ำอีกทีก่อนกล่าว “คุณยังเป็นห่วงเย่เซียวอยู่อีก เขาน่ะ ไม่ทำร้ายเราสองคนก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
“นายวางใจได้ ขอแค่พวกนายไม่ประจันหน้าโดยตรงกับพวกเขา เย่เซียวไม่มีวันทำร้ายนาย”
“หวังว่านะครับ” ไป๋หลางไม่ได้มั่นใจอย่างเธอ
ทั้งคู่เดินควงแขนเข้างานไป พวกเขาไม่ใช่คนประเทศ T ดังนั้นผู้คนภายในงานตอนนี้ไม่มีคนที่พวกเขารู้จักสักคน แต่คิดว่าบุคคลที่ถูกกลุ่มคนห้อมล้อมอยู่ตรงกลางนั่นคงจะเป็นท่านดยุคมู่ซือ
ไป๋ซู่เย่กับไป๋หลางไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจคนอื่น ได้แต่สังเกตตำแหน่งจุดภายในงาน
ไป๋หลางเข้าห้องน้ำ สักพักหยิบแก้วไวน์กลับมาสองแก้วพลางกระซิบชิดหูเธอ “ในห้อง 701 ทางมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ น่าจะเป็นห้องที่พวกเย่เซียวจะทำสัญญา เมื่อกี้ผมแอบมองไกลๆ เห็นคนของสองประเทศรออยู่บนนั้นแล้ว ปิดมิดชิดมาก”
ไป๋หลางกล่าว “แค่เราสองคน น่าจะไม่มีโอกาสหลุดเข้าไปได้”
“ใช่ว่าจะต้องเข้าไป” ไป๋ซู่เย่พูดเสียงเรียบ
“ยังไงครับ?”
“เดี๋ยวเย่เซียวจะมาไม่ใช่เหรอ? คุยกันข้างนอกก็พอ”
ไป๋หลางมองเธอด้วยความสงสัย “คุณคิดว่าเย่เซียวยังเชื่อคุณอยู่อีกเหรอ? ถึงได้ล้มเลิกความคิดได้ในไม่กี่ประโยค”
ถ้อยคำของเขาทำเอาไป๋ซู่เย่เสียหน้าไปชั่วขณะ
เชื่อ?
ความจริงเขาไม่เคยมั่นใจในความรักที่เธอมีต่อเขา และไม่กล้าจะเชื่อเธอ…
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดจะลองใจเธอ ให้เธอรู้ถึงการมีอยู่ของอีเมลฉบับนั้น
คำนี้สุดท้ายไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดต่อหน้าไป๋หลางแค่แย้มปาก “อืม นายไม่ต้องสนใจ ให้เป็นเรื่องของฉันก็พอ”
เรื่องมาถึงจุดนี้คิดว่าเขาน่าจะอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะเอาปืนฆ่าเขาจริงๆ หรือไม่…
นี่เป็นเรื่องที่เขาเก็บเป็นความสงสัยไว้ก้นบึ้งของหัวใจมาโดยตลอด
“ฉะนั้นเดี๋ยวเย่เซียวเข้ามา เราไม่ต้องหลบซ่อน?” เพิ่งสิ้นเสียงคำถามของไป๋หลางก็ได้ยินเสียงฮือฮาจากรอบข้าง
แอบได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามาบอกท่านดยุคมู่ซือ “ท่านดยุค คุณเย่เซียวมาถึงแล้วครับ!”
ชื่อนี้เรียกให้หัวใจไป๋ซู่เย่สั่นไหวทีหนึ่ง ไป๋หลางแทบจะดึงเธอเข้าไปหลบมุมโดยอัตโนมัติ ก้มมองเธอแวบหนึ่งเห็นถึงความอาวรณ์บนใบหน้าเธอ สายตามองไปยังประตูทางเข้านิ่ง
แสงไฟรวมเป็นจุดเดียวกันตรงประตูในทันที ประตูบานใหญ่แสนโอ่อ่าปนน่าเกรงขามค่อยๆ ถูกคนผลักเข้ามาจากข้างนอก
ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวแทบจะทำเอาแสงไฟภายในงานหม่นหมอง แต่ก็ทำให้งานที่ครึกครื้นอบอุ่นอุณหภูมิต่ำลงหลายองศาทีเดียว
เย็นชาเกินไป
เป็นความเย็นชาที่มีมาแต่กำเนิด
ต่อให้เป็นงานสังคมแบบนี้เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าใคร การที่ต้องเผชิญกับการประจบประแจงของคนที่เข้าหา เขาคงสีหน้าเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีรอยยิ้มให้เห็น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้หญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วนภายในงานต่างยอมศิโรราบต่อบุคลิกที่เย็นชาของเขา อีกทั้งความมีมาด รูปร่างสรีระ ความน่าเกรงขามนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจปลอดภัยเหลือเกิน
ราวกับว่าขอแค่มีเขาอยู่ ฟ้าจะถล่มทลายก็ไม่หวาดหวั่น
“คุณเย่เซียว ยินดีต้อนรับยินดีต้อนรับ!” ท่านดยุคมู่ซือวางแก้วไวน์ลง ยิ้มร่าเข้าไปหา “เป็นเกียรติของผมมากที่คุณมาได้!”
เย่เซียวจับมือดยุคมู่ซือเป็นมารยาทที มีแค่ต่อหน้าคนสูงวัยคนนี้เท่านั้นสีหน้าเขาถึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย หันข้างปรายตามองหยูอันน้อยๆ ก่อนที่หยูอันจะส่งของขวัญวันเกิดให้ดยุคมู่ซือ“นี่เป็นของขวัญที่คุณไฟกับคุณเย่เซียวเตรียมไว้ให้คุณ หวังว่าคุณจะสุขภาพร่างกายแข็งแรง”
“เจ้าตัวมาก็พอ ของขวัญไม่สำคัญเลย” ดยุคมู่ซือตอบรับอย่างอารมณ์ดี ซึ่งลูกน้องได้รับของขวัญไปเก็บแทนแล้ว
——
ที่ห่างออกไปนั้นไป๋ซู่เย่กำลังมองแผ่นหลังนั่นโดยไม่ละสายตาอยู่ครู่ใหญ่
กระทั่งเขาถูกกลืนไปกับกลุ่มคน
แต่เขายังสว่างไสวเด่นสะดุดตาเช่นเคย
ไม่ว่าสายตาเธอจะไปทางใด สุดท้ายก็จะเลื่อนมาจรดที่ตัวเขาอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ระหว่างนั้นเขาไม่เคยปรายตามองไปทางใด คล้ายว่า…ไม่รู้ว่าเธออยู่ในงานด้วย
แต่เขาเป็นถึงเย่เซียว เธอเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในกำมือเขา กล้องวงจรปิดภายในงานน่าจะจับตามองเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาพร้อมกับไป๋หลาง
“ดื่มหน่อยมั้ย?” ไป๋หลางเห็นอารมณ์เธอผิดแปลกไปเลยหยิบวิสกี้สองแก้วจากพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่าน ยื่นแก้วหนึ่งให้เธอ
ไป๋ซู่เย่ไม่ปฏิเสธ จิบเม้มปากเบาๆ
ของเหลวเย็นเฉียบไหลตามลำคอลงไปแผดเผาเธอให้ร้อนรุ่ม
เธอมองไปที่เขาอีกครั้ง
สายตาเห็นเพียงแผ่นหลังของเขา
กลุ่มคนคั่นระหว่างทั้งสองคนไว้ ความจริงอยู่ใกล้เพียงนี้เอง…ห่างแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น…
แต่กลับดูห่างไกลเหลือเกิน
ไกลเสียจนเธออยากจะเอื้อมเท่าไรก็เอื้อมไม่ถึง…
สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกดื่มเหล้าที่เหลือจนหมดรวดเดียว จากนั้นยิ้มเย้ายวนใส่พนักงานเสิร์ฟอีกที “มีวอดก้ามั้ย? ขอวอดก้าให้ฉันแก้วหนึ่ง”
ไป๋หลางย่นคิ้ว “นี่มันเวลาไหนแล้วคุณยังดื่มเหล้าแรงขนาดนี้”
พนักงานเสิร์ฟมองทั้งคู่สลับไปมาและไม่รู้ว่าควรให้หรือไม่ ไป๋ซู่เย่กล่าวเพียง “ไปเถอะ เอามาสักสองแก้วก็ได้”
ไป๋หลางรู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครจะอารมณ์ดีได้ แต่…
“ไป๋หลาง นายรู้มั้ยว่าพอเมาแล้วมีประโยชน์อะไร?”
ไม่รอไป๋หลางพูด เธอชิงถามขึ้นก่อน
ไป๋หลางมองเธอ เธอหันหน้ามายิ้ม “เมาก็จะไม่เจ็บ ไม่เจ็บขนาดนั้น ร่างกายเองก็…”
ต่อให้ลูกกระสุนทะลุผ่านอก ทะลุหัวกะโหลกจนเลือดสาดกระจาย ภายใต้อาการมึนเมาจากเหล้าคงช่วยบรรเทาความเจ็บลงได้บ้างสินะ?
ไป๋หลางทำหน้านิ่ง “คุณพูดแบบนี้…หมายความว่ายังไง?”
ขณะนั้นเองพนักงานเสิร์ฟได้ยกแก้วเหล้ามาให้ ไป๋ซู่เย่ดื่มทีเดียวไปอีกสองแก้วจนพนักงานเสิร์ฟยังตกใจ ไป๋หลางที่อยู่ข้างๆ สบถหยาบทีแล้วรีบขวางแก้วที่สามของเธอไว้
ภายในงานเริ่มเปิดเพลงบรรเลงคลอเคล้า
กลางงานมีคู่ชายหญิงที่เริ่มเข้าสู่วงเต้นรำทีละคู่ๆ เย่เซียวนั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง ปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงสาวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ไป๋ซู่เย่วางแก้วเหล้าลงช้าๆ มองไป๋หลาง
“ไป๋หลาง ฉันอยากเต้นรำสักเพลง”
“ตอนนี้เหรอ?” ไป๋หลางไม่เข้าใจ นี่มันเวลาไหนแล้ว? “ผมเต้นเป็นคู่คุณมั้ยครับ?”
“ไม่ ไม่ต้องการนาย” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ เปิดกระเป๋าถือล้วงเข็มยาชาจากข้างในออกมา
……………………