อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 788 รักที่มาจากความจริงใจ (1)
ขณะที่ไป๋หลางยังฉงนไม่รู้ว่าเธอต้องการทำอะไรอยู่นั้น พริบตาเดียวเห็นเพียงเข็มยาชาได้เล็งมาที่ตัวเอง เขาอยากจะหลบหนีด้วยสัญชาตญาณแต่ไม่ทันเสียแล้ว ไป๋หลางรู้สึกเพียงร่างอ่อนเปลี้ย หมดซึ่งเรี่ยวแรงทั้งหมด
“รัฐมนตรี คุณ…”
“นั่งลง” ไป๋ซู่เย่ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมาพยุงให้เขานั่งลงไป สีหน้าไป๋หลางแย่มาก เขาแทบจะขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดอยากจะลุกขึ้นยืน มือของเธอกดไหล่เขา “อย่าเสียแรงเปล่าเลย ถึงปริมาณยาจะไม่ทำให้นายเสียสุขภาพ แต่ในเวลาสั้นๆ นายคงขยับตัวไม่ได้”
“ทำไมถึงทำแบบนี้? คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?!” ไป๋หลางกัดฟันแน่น สองตาจ้องเธอเขม็งไม่กะพริบตา
“ใช้หนี้” สองพยางค์หลุดจากปากเธออย่างง่ายดาย เทียบกับความตื่นตระหนกของเขาแล้วไป๋ซู่เย่กลับดูใจเย็นเสียเหลือเกิน
ใจเย็นผิดปกติ
ความใจเย็นนั่นคล้ายความใจเย็นหลังได้ตัดสินจะสละชีพในสมรภูมิรบยามศึกสงคราม เรียกให้ไป๋หลางรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ใช้หนี้? ใช้หนี้อะไร? คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ไป๋ซู่เย่ไม่คิดจะตอบอีก กล่าวเพียง“นายคงต้องลำบากชั่วคราวล่ะ”
พูดจบหัวเข็มหนึ่งกระบอกได้แทงลงบนลำคอของไป๋หลางเบาๆ ไป๋หลางกำลังจะพูดบางอย่างแต่ขืนลำคออ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่มีเสียงหลุดออกมาสักนิด เขาเกิดร้อนใจขึ้นมาทันทีจนลำคอแดงเถือก แต่อย่างไรก็ขยับตัวไม่ได้อยู่ดี
ผู้หญิงบ้าคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?!
ไปสู้กับพรรคพวกเย่เซียวคนเดียวเหรอ?
นั่นรนหาที่ตายชัดๆ ไม่ใช่หรือไง?!
ไป๋หลางอยากจะกระโดดเด้งตัวขึ้นมาตีหัวเธอให้สลบแล้วลากกลับไป แต่ ณ เวลานี้กลับทำได้แค่คอยมองเธอก้าวเข้าไปในกลุ่มคน จากนั้นก็เดินเข้าหาเย่เซียวช้าๆ อย่างแน่วแน่…
……………………
เย่เซียวไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาเลยตลอดเวลานี้
ยามชุดกระโปรงสีน้ำเงินปรากฏอยู่ภายในกรอบการมองเห็นเขาถึงเชยตาเย็นชาปรายตาให้อีกฝ่ายวูบหนึ่ง
เขาทำแค่มองเธอ มองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาที่สุด คล้ายว่าเขาไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน
หากใครไม่เคยรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขามาก่อนคงคิดไม่ถึงว่าในเมื่อวานนี้เอง…ในเมื่อวานนี้ที่พวกเขายังคงตระกองกอดพัวพันอย่างร้อนแรงกันอยู่?
แล้วจะคิดถึงได้อย่างไรว่าไม่นานมานี้พวกเขายังคบหากัน ต่างบอกรักด้วยคำหวานซึ้งว่าจะไม่แยกจากกันตลอดชีวิต วาดฝันอนาคตที่จะได้อยู่เคียงคู่กันจนแก่เฒ่า?
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงฉับพลันเกินไป รวดเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน
“เชิญคุณเต้นรำกับฉันสักเพลงได้มั้ย?” คนที่เอ่ยปากก่อนคือไป๋ซู่เย่ เธอยืนอยู่ตรงนั้นยิ้มให้เขา ราบเรียบและสวยงาม
มือที่กำแก้วไวน์ของเย่เซียวกระชับแน่น มือของเขามีบาดแผล เมื่อคืนเศษแก้วแตกละเอียดนั่นได้ทิ่มแทงสร้างบาดแผลให้เขาอย่างลึก
ลึกราวกับแทงลงตำแหน่งหัวใจเขาอย่างไรอย่างนั้น…
“ไป๋ซู่เย่ อย่าทำเกินไปนะ!” หยูอันเดินมาหน้าบึ้งใส่
ไป๋ซู่เย่ทำเป็นไม่ได้ยิน แค่มองเย่เซียวนิ่งๆ “ได้มั้ย?”
เดิมทีหยูอันคิดว่าจากนิสัยของเย่เซียวแล้วตอนนี้ไป๋ซู่เย่ไม่ตายก็ต้องเสมือนตาย ยิ่งรักมากยิ่งไม่อาจทนการหักหลังซ้ำซ้อนได้
แต่นอกจากเย่เซียวไม่โกรธแล้วกลับยังวางแก้วไวน์ลงช้าๆ ลุกยืนช้าๆ ปลดกระดุมสูททีละเม็ดโดยมองเธอไปพลาง “ได้สิ”
“นายท่าน!” หยูอันเดินเข้าไปหาหนึ่งก้าว อยากพูดอะไรแต่เย่เซียวแค่ยกมือให้เขาเงียบปาก
……
เย่เซียวยื่นมือให้ไป๋ซู่เย่
ไป๋ซู่เย่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายวางมือบนฝ่ามือเขาเบาๆ ฝ่ามือเขาเย็นเฉียบขนาดว่าไม่มีความอบอุ่นสักนิด ส่วนของเธอ ก็เช่นเดียวกัน…
เสียงดนตรีเต้นรำดังคลอเคล้าไปทั่วทุกมุมของงาน ทั้งคู่คล้ายคนแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง ค่อยๆ เดินโอบกอดสู่วงเต้นรำ
ชุดกระโปรงสีน้ำเงินลอยพลิ้วอยู่กลางงาน งดงามจนคนมองตาเคลิ้ม
เหล่าชายหนุ่มมองเย่เซียวด้วยความอิจฉา
ส่วนเหล่าหญิงสาวกลับจ้องผู้หญิงที่ไม่รู้ที่มาที่ไปคนนี้ เย่เซียวปฏิเสธคำเชิญของคนตั้งมากยกเว้นเธอคนเดียว ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนโชคดีได้ขนาดนี้!
หยูอันกับหลี่สือสีหน้าตึงเครียด
หยูอันคว้าหญิงสาวสักคนเข้าวงเต้นรำเพื่อปกป้องเย่เซียว
ส่วนหลี่สือพูดสั่งทางวิทยุเคลื่อนที่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “สไนเปอร์ทุกคนเล็งเป้าไปที่ไป๋ซู่เย่!ถ้าเธอมีท่าทีจะยิงปืนเมื่อไหร่รีบลงมือ!ไม่ต้องลังเล!”
————
ดนตรีไล่จากจังหวะเร็วค่อยๆ แปรเปลี่ยนสู่จังหวะเนิบช้า
จังหวะเต้นรำเลยช้าลงตาม ไป๋ซู่เย่คอยซึมซับความร้อนผ่าวจากฝ่ามือชายหนุ่มตรงระหว่างเอวที่ฝ่ามือเขาในตอนนี้ได้อุ่นขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับเมื่อสักครู่
เธอก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยให้ร่างกายแนบตัวเย่เซียว
เสียงแค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็นของเย่เซียวดังขึ้น “คุณไป๋ คุณถูกฝึกจากกองทัพของประเทศ S มาตั้งหลายปี หรือสอนคุณให้รู้จักยั่วยวนผู้ชายเป็นอย่างเดียว?”
“เสียดาย ฉันร่ำเรียนวิชาอะไรไม่ได้ดี…รู้แต่จะยั่วคุณยังไง” ไป๋ซู่เย่ขืนมือออกจากฝ่ามือเขา แล้วโอบลำคอเขาเบาๆ
เย่เซียววางสองมือลงราวกับไม่อยากจะแตะต้องตัวเธอสักน้อย
ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงอวัยวะภายในร่างกายบดบี้เป็นก้อน เธอไม่สนใจท่าทีเย็นชาเข้ากระดูกของชายหนุ่ม แค่ซบไหล่เขา สูดดมกลิ่นกลายเฉพาะตัวของเขาอย่างหลงใหล
“เย่เซียว…” เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยหัวใจที่เจ็บเหลือทน ถึงขั้นทำให้สองพยางค์นี้ถูกเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงนัก
เป็นสองพยางค์ที่ลึกซึ้งที่สุด และเป็นการเฝ้าคอยด้วยความจริงใจที่สุดของเธอ…
“ทำไม?”
“คุณว่า…หลังจากนี้ไปคุณจะคิดถึงฉันมั้ย?”
เขาแค่นหัวเราะ“คุณมีค่าอะไรให้ผมคิดถึง?”
เธอหัวเราะ ส่ายศีรษะอย่างปฏิเสธ “คุณเกลียดฉันขนาดนี้ ต้องนึกถึงฉันอยู่บ่อยๆ แน่ๆ”
“น่าเสียดายที่คุณไม่คู่ควรให้ผมเกลียดด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาเย็นชาราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ ยิ่งดวงตาที่จ้องมองเธอนั้นว่างเปล่าไม่แฝงด้วยอารมณ์ใด
ราวกับว่า…
นับจากวันนี้ไปเขาจะไม่เกลียดเธอจริงๆ อีกแล้ว…
นอกจากไม่เกลียด กับเธอ ไม่มีความรู้สึกใดมอบให้อีก…
ไม่รักไม่เกลียดชัง ไม่เอ่ยถึงไม่เคียดแค้น ไม่จมปลักไม่คร่ำครวญ…
อดีตที่ผ่านมาทุกอย่างสลายกลายเป็นผุยผงในพริบตาเดียว…
เธออมยิ้มน้อยๆ หางตามีน้ำตาซึม
“ไม่เกลียดก็ดี แต่ เย่เซียว…” เสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ “ฉันรักคุณ สิบปีก่อนฉันรักคุณ สิบปีหลังฉันยังคงรักคุณ…ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันหวังว่าชาติหน้า…”
“พูดพอหรือยัง?” จู่ๆ เย่เซียวก็ไม่ยอมฟังต่อ กระชากแขนเธอลงจากคอตัวเอง เขาจ้องมองเธอ ต่อให้ดวงตาเธอมีหยาดน้ำวาวใส ดวงตาเขาไม่แฝงด้วยความสงสารอีกแม้แต่เพียงนิด แค่เพียงกัดฟันกรอดด้วยความเย็นชา ในที่สุดเริ่มมีอารมณ์จุดติดขึ้นสักนิด “อย่าพูดคำว่า ‘รัก’ รักของคุณ แค่ผมคิดก็รู้สึกขยะแขยงเต็มที!”
ไป๋ซู่เย่ตัวสะท้าน
เรือนร่างผอมบางนั่นโงนเงนราวกับพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
แต่เธอกลับยิ้มออกมา “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ เย่เซียว งั้นเราไว้เจอกันชาติหน้าเถอะ…”
สิ้นเสียงของเธอ เย่เซียวรู้สึกเพียงความเย็นที่จ่อตรงหน้าอกตัวเอง ปืนหนึ่งกระบอกกำลังจ่อเขาไว้อย่างแรง
………………………