อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 795 ที่แท้ก็คือคุณ (4)
“ทำไมถึงไม่ละ?”
ชิงอิ๋งจิ๊ปากที “เมื่อกี้ยังว่าฉันอยู่เลย ที่แท้เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ”
“พอแล้ว ฉันไม่คุยกับเธอแล้ว เจอกันในคาบเรียนพรุ่งนี้!” ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงว่าหัวใจตัวเองได้บินออกไปจากห้องเรียนไกลแล้ว บินไปที่หน้าประตูตามคนที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่
ชิงอิ๋งหัวเราะพูดหยอกเย้า“คุณไป๋ ยิ้มหน้าบานแล้ว เดี๋ยวต่อหน้าเขาต้องรู้จักเก็บสีหน้าหน่อยละ”
“ยุ่งน่า!”
ไป๋ซู่เย่ไม่อยากสนใจเธออีก แบกกระดานวาดรูปขึ้นหลังหุนหันออกไป
เดิมทีคิดว่าเมื่อตัวเองปรากฏต่อหน้าเขาจะต้องมีสภาพดูดีเรียบร้อยสวยงาม ฉะนั้นหลายวันนี้ถึงได้โผล่ไปที่ร้านและพิถีพิถันกับการแต่งตัวทุกครั้งที่ไป แต่ใครจะคิดว่าเย่เซียวกลับไม่เป็นไปตามที่คาดคิด โผล่มาที่ห้องเรียนเธอเสียได้
แล้วภาพลักษณ์เธอในตอนนี้มันแย่มากเหลือเกิน!
นอกจากสีที่เปื้อนเลอะเทอะไปทั้งตัวแล้วผมเผ้ายังถูกหนีบด้วยที่หนีบลวกๆ ไว้ด้านหลัง เกรงว่าเสร็จสิ้นเวลาเรียนทั้งวันแล้วคงยุ่งไม่เหลือสภาพ
เธออยากหาสักที่เพื่อจัดการตัวเองสักครู่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันแล้ว รถของเย่เซียวกำลังขับตรงมาโดยที่ประตูฝั่งข้างคนขับถูกเขาเปิดออกจากด้านใน
เธอปลดกระดานวาดรูปลงมาวางไว้เบาะด้านหลังถึงเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
ปิดประตูรถยนต์ พื้นที่ในรถคับแคบทันตาหลังมีคนสองคน เย่เซียวหันมาคาดเข็มขัดให้เธอ ใบหน้าใกล้เธอมาก มากเสียจนลมหายใจทั้งคู่สอดประสานกัน ใกล้เสียจนขนตาเธอแทบจะเกลี่ยกับปลายจมูกโด่งของเขา ทั้งคู่ต่างเกร็งลมหายใจ เขาไม่ได้ผละออกไปแต่อย่างใดแค่โน้มตัวลงมองเธออย่างลึกซึ้ง
สายตาเร่าร้อนคล้ายจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง
สายตาแบบนี้ทำให้เธอยากที่จะตั้งรับ หัวใจเต้นแรงและเร็ว ลมหายใจขาดห้วง
เธอกำลังจะพูดบางอย่างแต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ๆ มือของเย่เซียวก็แนบลงตรงหน้าอกเธอ
“เย่เซียว นี่คุณทำอะไรเนี่ย?”
เธอสวมชุดกางเกงเอี๊ยมยีนส์ที่มีเสื้อเชิ้ตอยู่ข้างใน ทีนี้เขาดึงสายเอี๊ยมที่พาดบนไหล่เธอลงมาทันทีพร้อมแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตเธอ
“คุณอย่าล้อเล่นได้มั้ย ที่นี่โรงเรียน เดี๋ยวเพื่อนๆ ก็ออกมากันแล้ว” เธอจับมือของเขาไว้
“เอามือออกไป”
“ไม่ได้ มีอย่างคุณที่ไหนในหัวมีแต่เรื่องลามกพวกนี้!” ไป๋ซู่เย่โกรธแทบตาย เธอรู้สึกว่าเย่เซียวไม่ได้ทำตามบทที่เธอวางไว้เลย มีอย่างที่ไหนหลังพลัดพรากจากไปด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ถอดเสื้อทันที?อย่างน้อยก็ควรคุยกันก่อนหรือเปล่า?
เย่เซียวเลิกตามองเธอแวบหนึ่ง “ใครกำลังคิดเรื่องลามกกันแน่?”
“คุณ!ตอนนี้คุณกำลังถอดเสื้อของฉัน ไม่ได้คิดเรื่องลามกแล้วมันคืออะไร?”
“อืม ต่อให้ผมคิดจริงๆ คุณจะทำอะไรผมได้?”
“…” ไป๋ซู่เย่หมดคำจะโต้แย้งจริงๆ
เย่เซียวอยากทำอะไรมักทำตามใจตัวเองอยู่เสมอ คำปฏิเสธของเธอไม่เคยได้ผล มือถูกเขาปัดทิ้ง เขาปลดกระดุมได้สองเม็ดก็ถูกเธอป่วนจนหมดซึ่งความอดทน ตัดสินใจกระชากแทน
ไป๋ซู่เย่อยากกัดเขาจริงๆ
แต่เดิมทีคิดว่าเขากำลังจะลงมือทำบางอย่าง แต่เขากลับหยุดชะงักท่วงท่า สายตาทิ้งไว้ตรงหน้าอกเธอเนิ่นนาน
ร่างกายเธองดงามมาโดยตลอด ผิวขาวผ่องนุ่มมือ แต่…บัดนี้ ได้เกิดตำหนิขึ้น ตรงหน้าอกมีรอยแผลที่เด่นชัดสองจุด แผลกระสุนปืน ต่อให้ผ่านมาหนึ่งเดือนครึ่งแต่รอยแผลยังเด่นชัดไม่จางลง สร้างความสยดสยองแก่คนมอง
ภาพในวันนั้นยังชัดเจนเหมือนภาพยนตร์ที่เล่นอยู่ในหัวเขา
อกเขาสะท้าน ปลายนิ้วจรดบนแผลเธอแผ่วพลางลูบไล้ไปมาอย่างทะนุถนอม
ไม่กล้าทำรุนแรงนักคล้ายกลัวว่าหากตัวเองแรงกว่านี้นิดเดียวจะทำเธอเจ็บ
เขาคิดว่าเธอจากเขาไปจริงๆ เสียแล้ว สุสานนั่น งานศพนั่น…เขาไม่อยากไปสืบให้ลึกซึ้ง ยิ่งเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่อยากเผชิญหน้ามัน
ตอนนี้…
เธอกลับฟื้นขึ้นมาใหม่
ปรากฏตัวต่อหน้าเขาเช่นนี้
ไม่ได้แต่งตัวเป็นทางการเรียบง่ายเหมือนในอดีต แต่ดูมีชีวิตชีวาราวกับเด็กนักเรียนคนหนึ่ง
จะแบบไหนก็ดี
แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น
ขอแค่เธอยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่เธอยังอยู่ ก็พอ…เท่านี้ก็พอแล้ว…
“…ยังเจ็บมั้ย?” เย่เซียวปริปากเสียงแหบพร่า
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าตลอดระยะเวลานี้เขาผ่านมันมาได้อย่างไร เวลาทุกนาทีทุกวินาทีล้วนเป็นการทรมานเขาอย่างสิ้นหวัง ไม่อยากย้อนนึกถึงโศกนาฏกรรมในวันนั้น แต่พอถึงกลางดึกทุกเรื่องเหล่านั้นจะฉายในหัวซ้ำไปซ้ำไม่หยุดหย่อน ค่อยๆ กรีดกรายเขาอย่างโหดร้ายดั่งมีดนับพันนับหมื่นเล่ม
ความเจ็บปวดที่สาหัสที่สุดในโลกนี้ คงหนีไม่พ้นการที่ต้องทุกข์ทรมานกับการใช้ชีวิตเพียงลำพังในหนทางที่แสนยาวไกลนี้…
“อืม เจ็บ…” ไป๋ซู่เย่รู้สึกแสบปลายจมูกบ้าง มือจับนิ้วยาวเขาเบาๆ “เจ็บมาก เจ็บนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม”
เมื่อนั้นกระดูกซี่โครงแตกเพราะแรงสะเทือนบวกกับปอดที่บาดเจ็บรุนแรงทำให้เสียเลือดมาก เธอได้ก้าวขาข้างหนึ่งไปยังโลกแห่งความตาย หลังได้รับการช่วยเหลือที่ประเทศ T ก็ถูกย้ายกลับประเทศ S โดยด่วน ใช้ทีมแพทย์พยาบาลที่เก่งกาจของทั้งประเทศ S ถึงฉุดเธอกลับมาจากโลกแห่งความตายได้เฉียดฉิว ถึงอย่างนั้นก็สลบไปหลายวัน
แค่คิดว่าเธอได้ผ่านความเจ็บปวดแบบนี้ เย่เซียวปวดใจยิ่งกว่าอะไรจนยากจะหักห้ามใจอีกต่อไป รวบตัวเธอเข้ามากอด กอดแนบแน่น แน่นเสียจนอยากจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวกับเธอ
“…ผมคิดว่าคุณจากไปแล้วจริงๆ…”
เสียงของเย่เซียวสั่นเครือ ปากบางด้วยเช่นกัน เขาจูบศีรษะเธอพูดพึมพำ“พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผมอยากให้คุณมีชีวิตต่อมากขนาดไหน…”
ไป๋ซู่เย่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา เธอซุกหน้ากับลาดไหล่เขาให้เสื้อเชิ้ตเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอสะอื้นฮักรุนแรงไม่อาจตอบรับเขาเป็นเสียงได้ ทำแค่อ้าแขนกอดเขาแน่นเป็นการตอบรับเขา
……………………
ทั้งคู่มีคำพูดมากมายอยากจะพูด มีคำถามมากมายอยากจะถาม
อย่างเช่น ในเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ทำไมถึงมีงานศพ แล้วสุสานนั่น? มาเมืองเยียวตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่มาหาเขาจนถึงตอนนี้? ไม่เคยติดต่อเขา? เป็นเพราะ…ยังโกรธเขาอยู่?
ใช่ เธอสมควรโกรธ หากเมื่อนั้นเขายอมให้ความเชื่อใจเธอสักนิด ไม่ได้วางแผนลองใจเธอ ทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น
ทุกคำถาม ทุกห้วงอารมณ์ถูกกักเก็บไว้ในใจของเย่เซียว แต่ ณ เวลานี้กลับถามไม่ออก แค่อยากกอดเธอไว้ ไม่อยากปล่อยเลยสักวินาทีเดียว
“เย่เซียว คุณปล่อยฉันก่อน” คนที่ได้สติกลับมาก่อนคือไป๋ซู่เย่ เธอตบไหล่เขา “เพื่อนฉันมองอยู่ข้างนอกแล้ว รีบไปกันเถอะ”
ไม่รู้ว่าข้างนอกรถเริ่มมีคนมาล้อมตั้งแต่เมื่อไร
โดยเฉพาะชิงอิ๋ง ตาโตถลึงใหญ่จวนจะเป็นหลอดไฟอยู่แล้ว
ไป๋ซู่เย่หมดคำจะพูด พรุ่งนี้ต้องถูกเธอหาว่าไม่รู้จักหักห้ามใจแหง
………………………