อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 796 อยากจะกอดคุณดีๆ สักครั้ง(1)
เย่เซียวถึงค่อยๆ ผละจากเธอ ก่อนถาม“คุณกับเธอสนิทกันไม่น้อย?”
“คุณหมายถึงชิงอิ๋ง?” เธอตอบกลับ เพิ่งนึกได้ว่าเสื้อเชิ้ตตัวเองถูกปลดกระดุมและตกอยู่ในสภาพดูไม่จืด ได้แต่รีบหยิบผ้าห่มผืนบางบนรถเขามาปิดตัวเอง ไม่กล้าหันไปมองคนข้างนอกรถแม้แต่แวบเดียว
ดีที่เย่เซียวได้สตาร์ทรถออกไปแล้ว เขาถามเสียงเรียบ “ใช่”
ไป๋ซู่เย่พยักหน้าพลางจัดเสื้อผ้าตัวเองใต้ผ้าห่มแล้วตอบกลับเขาไปด้วย“เราเข้ามาเรียนในวันเดียวกันแล้วก็ถูกแบ่งให้นั่งด้วยกัน เธอค่อนข้างพูดมากแต่ก็เป็นคนน่าสนใจดี เลยสนิทกันเร็ว”
“อืม” เย่เซียวพยักหน้ารับ “ปกติคุยกันทุกเรื่อง?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่เพื่อนน่ะ”
เขาไม่ได้ตอบกลับอยู่พักหนึ่ง ขับรถไปตามทางโดยสายตาจดจ่อกับตรงหน้า เขายังคงรู้สึกว่าการมีเธออยู่เคียงข้างนั้นเป็นแค่ความฝัน ทุกอย่างดูไม่สมจริง แต่ความหวงหึงในใจลึกๆ นั่นกลับมีจริง สุดท้ายอดถามไม่ได้ “เมื่อกี้เธอบอกผมว่าคุณมีแฟนแล้ว”
ไป๋ซู่เย่ไม่คิดว่าเขาถามอ้อมขนาดนี้ก็เพื่อคำถามนี้
อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “ฉันล้อเธอเล่น เธออยากแนะนำคนให้ฉันรู้จัก ฉันไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธเลยหาข้ออ้างไปงั้นๆ”
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง
ความจริงเย่เซียวรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอไม่มีทางหาแฟนหนุ่มได้ในเวลาสั้นๆ แต่ก็อยากจะขอคำยืนยันให้มั่นใจอีกที
เขาหันข้างมองเธอ เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอแล้วก็เกิดสติหลุด รู้สึกอิ่มเอมใจและสงบสุข
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นรอยยิ้มของเธออีก จะมีเธออยู่เคียงข้างตัวเอง ต่อให้ไม่พูดอะไรไม่ทำอะไร แค่ได้มองกันและกันแบบนี้…
เมฆครึ้มปกคลุมถูกปัดเป่าออกไป ปรากฏสายรุ้งให้พบเห็น
“คุณขับรถดีๆ อย่ามัวแต่มองฉัน” ไป๋ซู่เย่จับหน้าเขาหันกลับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่กว้างกว่าเดิม
เย่เซียวถือโอกาสนี้กุมมือเธอไว้ในฝ่ามือ เธอไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เขากุมแน่นกว่าเดิม
“เราจะไปไหนกัน?”
“ไปที่บ้านผมแล้วกัน พ่อบุญธรรมกับแม่ผมอยากให้ผมพาคุณกลับไปทานข้าว”
“พวกท่านรู้ว่าฉันมาเมืองเยียวแล้วเหรอ?”
“หยูอันเป็นคนบอก”
“แต่สภาพของฉันตอนนี้…” ไป๋ซู่เย่นึกถึงสภาพทรุดโทรมของตัวเอง “หรือว่าคุณส่งฉันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวก่อน”
“ไม่ต้อง” เย่เซียวกระชับมือเธอแน่นแล้วแน่นอีก “แบบนี้ก็ดีมากแล้ว”
“บอกผมได้มั้ยว่าเรื่องเป็นยังไง?” เย่เซียวพูดถึงนี่แล้วเว้นช่วง คล้ายกำลังผ่อนคลายความเจ็บที่หัวใจ พักใหญ่ถึงพูดต่อ “ผมไปประเทศ S เห็นอันนั้นของคุณเองกับตา…”
สุดท้ายก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำว่า‘ป้ายสุสาน’ออกจากปากได้ ความเจ็บปวดที่สิ้นหวังนั่นมีเพียงคนที่เคยลิ้มรสเท่านั้นถึงจะรู้
“พ่อแม่ฉันแล้วก็เย่ฉิงอยากให้ฉันหลุดพ้นจากกระทรวงความมั่นคง หลุดพ้นจากชีวิตที่อันตรายอย่างในอดีตโดยสิ้นเชิง คุณรู้ว่าฉันทำงานอยู่กระทรวงความมั่นคงมาหลายปี เคยกวาดล้างกลุ่มอาชญากรอันตรายมามาก ตอนนี้ถ้าลาออกจากกระทรวงความมั่นคงเท่ากับว่าเสียเกราะหุ้มไปหนึ่งชั้น อาจจะถูกคนแก้แค้น พวกเขาไม่อยากให้ฉันได้รับอันตรายอะไรอีก เลยคิดแผนนี้ขึ้นมา”
นี่เป็นวิธีที่จะหลอกผู้อื่นได้ แต่ทางที่ดีคงไม่มีใครกล้ามีความคิดที่จะทำร้ายเธอ!
เย่เซียวหยักหน้า นึกโชคดีในใจว่าทุกอย่างเป็นแค่ฉากบังหน้า
เขาลูบจับนิ้วเรียวยาวของเธอแล้วถาม “ฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไม…ไม่มาหาผมเลย?”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของเขาหม่นลงเล็กน้อย
เขาควรโชคดีใช่ไหมที่หยูอันไปพบเธอทันเวลา? หากสายอีกไม่กี่วัน บางที…
บางทีพวกเขาอาจต้องพลัดพรากอีกครั้งเพราะความตาย
“ฉันไข้สูงไม่ลด นอนไปสิบกว่าวันถึงฟื้นได้สติ รอตื่นมาอยากโทรหาคุณ แต่…” พูดถึงนี่เธอก็หยุดชะงัก “แม่ฉันจับตาดูฉันอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ท่าน…ไม่อนุญาตให้ฉันติดต่อคุณ”
เย่เซียวทำท่าเข้าใจ “เพราะผมคุณถึงได้…”
เขาไม่ได้พูดต่อ
สีหน้าหม่นหมอง
หากจะอยู่ด้วยกันกับเธอ ด่านบุพการีตระกูลไป๋ทั้งสองท่านคงไม่ผ่านไปได้ง่ายๆ
ไป๋ซู่เย่เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้กลับปลอบเขาแทน “ความจริงท่านแค่เป็นห่วงฉัน คุณน่าจะเข้าใจได้ อีกอย่างพอฉันหายดีบ้างแล้วบอกว่าจะมาเมืองเยียว ถึงท่านจะแย้งบ้างแต่…ไม่เคยห้ามฉันจริงจัง กลับเป็นคุณ…”
พูดถึงนี่เธอมองเขาแวบหนึ่ง“ฉันคิดว่าสองวันก่อนคุณก็จะมาหาฉันที่ร้านแล้ว”
อืม เธอใกล้จะรอจนหมดความอดทนเต็มที
ระหว่างที่เธอพูดประโยคนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของเธอแอบแฝงด้วยความโอดครวญ โทษว่าเขามาช้าเกินไป
“ควรไปหาตั้งนานแล้ว แต่ผมต้องการเวลาจัดการความรู้สึก”
หนึ่งเพราะกลัวว่าจะมาเก้อ สองคือหากเป็นเธอจริงๆ…เขาต้องการเวลาจัดการความรู้สึกเพื่อมายืนตรงหน้า
“ฉันคิดว่าคุณจะไปที่ร้าน ไม่คิดว่าคุณจะมาเป็นนายแบบ” นึกถึงภาพที่เขาถูกเพื่อนในห้องแย่งชิงกันในวันนี้ ไป๋ซู่เย่ยังอดทึ่งไม่ได้ รู้สึกภาคภูมิใจที่ยากจะอธิบายอย่างบอกไม่ถูก
ความจริงเย่เซียวแค่บังเอิญไปหาเธอที่โรงเรียน สุดท้ายนายแบบห้องของเธอขาดไปคนหนึ่งพอดีดังนั้นพอเขาปรากฎที่หน้าประตูห้องเรียนและถูกคุณครูร้องขอความช่วยเหลือนั้นจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
มีข้อยกเว้นบางอย่างที่มีเพื่อใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว
………………
รถยนต์ขับไปอีกสักระยะถึงมาถึงคฤหาสน์ตระกูลไฟ
เย่เซียวลงจากรถก่อน เปิดประตูข้างคนขับให้
“รอฉันแป๊บหนึ่ง” ไป๋ซู่เย่ดึงกระจกในรถลงมาแล้วถอดแว่นตากรอบดำลง สางผมไปด้วย “ฉันขอจัดการตัวเองแป๊บหนึ่ง เข้าไปทั้งอย่างนี้ดูไม่ดีเลย”
เย่เซียวใช้มือหนึ่งยันประตูรถไว้ อีกมือพาดหลังคารถ ยืนมองเธออยู่อย่างนั้นอย่างใจจดจ่อ
ขอแค่มีเป็นตัวเป็นตน เธอจะอยู่ในสภาพไหนเขาก็คิดว่าดูดีทั้งนั้น…
สภาพนี้ ต่อให้ดูไปตลอดชีวิตก็ไม่มีวันเบื่อ
ไป๋ซู่เย่จัดการเสร็จพลิกตัวจะลงจากรถกลับสบสายตาเร่าร้อนของเขาพอดีจนเผลอใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ ลูบผมปรกข้างแก้มที ถามเขาเสียงเบา “แบบนี้ได้มั้ย?”
“ดีมาก” เธอในชุดแบบนี้คล้ายนักเรียนจริงๆ
เธอหัวเราะ “…คำพูดของคุณเชื่อไม่ได้เลย”
เขาปิดประตูรถ มือประคองหลังเธอ “เข้าไปกันเถอะ”
ทั้งคู่เดินขนาบคู่กันเข้าไป เมื่อเข้าไปถึงคุณนายเย่ก็เดินออกมาจากห้องครัวพอดี ไฟเรนเซ่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นกำลังดูข่าวต่างประเทศ
เทียบกับตอนเจอเขาที่โรงพยาบาล สีหน้าเขาดูแย่ลงกว่าหน่อย
ไป๋ซู่เย่นึกถึงคำที่คุณหมอข่ายปินเคยบอกว่าเขาว่าเหลือเวลาไม่มาก ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
“คุณป้า คุณไฟ” เธอถอดรองเท้าคัชชูส้นเตี้ยออกเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะสำหรับในบ้าน ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสอง
ทั้งสองหันมองมาที่เธอพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย สายตาจดจ่อบนตัวเธอครู่ใหญ่ กวาดตามองประเมินปนดีใจ
ก่อนหน้าได้ยินหยูอันบอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กลัวว่าจะเป็นคนที่หน้าตาคล้ายคลึงอีกคน ตอนนี้มายืนตรงหน้าตัวเป็นๆ ถึงเชื่อ
………………………