อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 800 ความคิดถึงคือบ่อเกิดของโรคร้ายแรง(1)
“หมายความว่าฉันไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว?”
“ไม่ต้อง” ตอนนี้มีเธออยู่ในอ้อมกอด เขาหวังเพียงว่าจะมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ เขาอยากแก่เฒ่าไปพร้อมกับเธอ…
ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ หินก้อนใหญ่ที่สุดในใจถูกยกออกไปสักที เธอง่วงจริงๆ เลยหาววอดสองครั้งติด ได้ยินเพียงเย่เซียวถามด้วยสติที่พร่ามัว“คุณคิดจะให้เรากลับประเทศ S เมื่อไหร่?”
“คุณกลับประเทศ S มีธุระอะไรเหรอ?”
“คุณเคยพบแม่ของผมแล้ว และเคยพบพ่อบุญธรรมของผมแล้ว ดังนั้นให้ยุติธรรมหน่อย ควรพาผมกลับไปพบพ่อแม่คุณบ้างหรือเปล่า?”
ไป๋ซู่เย่ตื่นทันทีเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ของเขา
เธอเงยหน้ามองเขา “คุณอยากพบพ่อแม่ของฉัน?”
ท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินไป๋ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบมาก่อน อดีตเคยพบเจอกันตามงานอยู่ไม่มากก็น้อยแต่สถานะตอนนั้นย่อมแตกต่างจากสถานะที่เธอจะพาเขาไปทำความรู้จัก
“คุณไม่เคยคิดจะพาผมกลับไปพบพ่อแม่คุณเหรอ?” เย่เซียวถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความผิดหวัง
ท่าทางอย่างนั้นเรียกให้เธอปวดที่หัวใจ
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะและอธิบายอย่างจริงจัง “ฉันเคยคิด เคยคิดหลายครั้ง แต่เรื่องครั้งนี้…พวกท่านอาจจะเข้าใจคุณผิดไปบ้าง คุณต้องเตรียมใจไว้ให้ดีด้วย”
“ผมเข้าใจได้ และยอมรับมัน” เธอเกือบตายในมือของเขา ไม่มีพ่อแม่ใครปล่อยวางเรื่องนี้ได้ หากเป็นลูกสาวเขาที่เกิดเรื่องแบบนี้เกรงว่าเขาจะถือปืนมาหาถึงที่แล้วยิงฝ่ายชายให้หัวระเบิด
ไป๋ซู่เย่พูดเตือนเขาก่อน “บางครั้งพ่อฉันดุขึ้นมาจะลงไม้ลงมือนะ”
เมื่อคราวที่ขัดขวางเย่ฉิงกับซิงเฉินยังลงไม้ลงมือกับลูกชายตัวเองอย่างไม่ออมมือก็ไม่ต้องพูดถึงเย่เซียวเลย ไม่มีทางปล่อยเขาแน่
“ไม่เป็นไร ผมรับไหว”
“ไม่ได้สิ สภาพร่างกายคุณรับไม่ไหวหรอก ยังมีกระสุนค้างอยู่เลย ถ้าเกิดโดนพ่อฉันตีจนเป็นอะไรขึ้น…” ไป๋ซู่เย่แค่คิดก็ตัดสินใจ “แบบนี้แล้วกัน รอผ่าตัดเสร็จค่อยไปพบพ่อแม่ฉัน”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ “จะรอหายดีต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเลย”
“คุณรีบมากเลยเหรอ?”
“คุณว่าไงล่ะ?” สิบปีก่อนเขาเคยคิดอยากจะพบพ่อแม่เธอมาก่อนแล้ว เมื่อนั้นหลงคิดว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า
ไป๋ซู่เย่พิงแนบอกเขาแล้วหลับตา “ไม่เป็นไร หลังจากนี้เรามีเวลาอีกเยอะ”
อนาคตยังอีกยาวไกล พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…
“รอคุณหายดีค่อยว่า ตกลงแบบนี้แหละ”
ความจริงเธอเองก็เริ่มวาดฝันถึงวันนั้นแล้ว แม้บุพการีที่บ้านจะเข้าใจผิดต่อเย่เซียวมากขนาดไหนแต่เธอเชื่อว่ารอพวกท่านทำความเข้าใจเย่เซียวแล้วจะเปิดใจยอมรับเขา
แค่คิดก็รู้สึกว่าภาพนั้นช่างบริบูรณ์!
“ซู่ซู่…” กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์เสียงเย่เซียวก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“หืม?” เธอเงยหน้าประสานสายตากับเย่เซียว ภายใต้แสงไฟสลัวของหัวเตียงพอจะเห็นความลึกซึ้งที่ไม่สลายไปจากแววตาเขาได้
“นอนไม่หลับเหรอ?” เธอถามเสียงอ่อนโยน
“อืม” เขาลูบจับใบหน้าเธออย่างหลงใหลคล้ายกำลังสัมผัสการมีอยู่ของเธออย่างละเอียด “กังวลนิดหน่อย กลัวว่าพรุ่งนี้ลืมตาขึ้นแล้วจะกลายเป็นแค่ความฝัน…ความฝันแบบนี้ ที่ผมฝันทุกวัน”
เจ้าโง่…
ไป๋ซู่เย่ปวดหนึบที่หัวใจ ขอบตาแดงระเรื่อและพอจะคิดได้ว่าหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาเขาผ่านมันมาได้อย่างไร เธอเริ่มเสียใจ เธอไม่ควรรอให้เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นถึงกลับมาหาเขา
เธอกอดเขาแน่นอย่างรักใคร่ เสียงเริ่มสะอื้น “ไม่ใช่ความฝัน เย่เซียว ฉันไม่เป็นไรแล้ว ต่อจากนี้…ฉันไม่มีวันไปจากคุณอีก…”
เย่เซียวรั้งตัวเธอขึ้นมาและประกบจูบเธออย่างล้ำลึกอีกครั้ง ฝันที่สวยงามกลายเป็นจริงเสียที
……………………
ครั้งนี้เย่เซียวหลับสนิท
ไม่มีความฝันใดๆ อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่หลับยาวถึงเก้าโมงเช้า เมื่อตื่นมาอีกทีแสงอาทิตย์นอกหน้าต่างก็กระจายไปทั่วห้อง
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว
เพียงแต่…
บนเตียงไม่มีเงาของเธออีก หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในห้องเธอ เขาคงคิดว่าเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน
โชคดีที่ไม่ใช่
เธอกลับมาแล้วจริงๆ
รู้สึกอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก เขาลงจากเตียงล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเรียกเธอทีหนึ่งแต่ในห้องไม่มีใคร มีเพียงในครัวที่มีกลิ่นอาหารเช้าคละคลุ้ง บนโต๊ะอาหารมีกระดาษโน้ตแปะไว้ซึ่งมีตัวหนังสือเป็นระเบียบของเธออยู่
‘ในหม้อที่ห้องครัวมีโจ๊ก อย่าลืมทานนะ แล้วก็อย่าลืมถอดปลั๊กด้วยล่ะ’
ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่เขาอ่านแล้วอดเหยียดยิ้มไม่ได้ ถอดปลั๊กแล้วตักโจ๊กมาทานตามคำของเธอ
ทานโจ๊กที่โต๊ะอาหารเพียงลำพังยังมีความสุขมาก ความรู้สึกแบบนี้ช่างวิเศษ คล้ายแสงอาทิตย์ที่ปัดเป่าเมฆหมอกสาดส่องมาที่หัวใจเขา ก่อนหน้านี้มองอะไรก็เต็มไปด้วยสีเทาขุ่น ตอนนี้มองอะไรก็เหมือนเคลือบด้วยแสงออร่าแยงตา
————
แม้ไป๋ซู่เย่จะตื่นเช้ามาโรงเรียนแต่วันนี้ก็สายไปสักนิด
หลังเลิกเรียนคาบแรกเป็นเวลาเก้าโมงกว่า ไม่รู้ว่าเย่เซียวตื่นหรือยัง
เธอไม่ได้โทรหาเพรากลัวจะทำเขาตื่น
ชิงอิ๋งกลับชะโงกศีรษะมองมา ใช้สายสอดรู้สอดเห็นกวาดมองตัวเธอพร้อมใช้จมูกดมฟุดฟิด
“เธอกลายเป็นหมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ไป๋ซู่เย่อารมณ์ดีเลยอดล้อเล่นกับเธอไม่ได้
“นักเรียนไป๋ ตอนนี้เธอยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ ความรักราบรื่นดีใช่มั้ยล่ะ?”
“อืม ก็ดีละมั้ง” ไป๋ซู่เย่เองก็ไม่คิดจะปิดบัง อืม หากบอกว่าไม่ได้มีความรักคิดว่าชิงอิ๋งคงไม่เชื่อหรอก ในเมื่อหลายอารมณ์ที่เธอไม่อาจปกปิดมันได้
อดีตด้วยตำแหน่งสถานะที่น่าอ่อนไหว เพราะภาระหน้าที่ที่แบกรับไว้บนบ่าทำให้เธอต้องหักห้าม อดกลั้น เก็บกดมันไว้ แทบไม่กล้าเผยอารมณ์ต่อหน้าคนภายนอกมากเท่าไร ยิ่งไม่กล้าสนิทชิดเชื้อกับใครมากเกินไป
ดังนั้นในชีวิตจึงแทบไม่มีเพื่อนสนิท ต่อให้ไป๋หลางเป็นลูกน้องเธอและถือว่าเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเธอก็ตาม ตอนนี้ได้ปลดภาระทุกอย่างลง ใช้ด้านที่จริงใจที่สุดเข้าหาผู้อื่น ชีวิตก็ดูจะผ่อนคลายสบายตัวขึ้นมากทีเดียว
“เธอคบกับคนเมื่อวานจริงๆ เหรอ?” ชิงอิ๋งถาม “เธอมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เธอให้ฉันทิ้งแฟนฉันไม่ใช่เหรอ? ฉันเชื่อฟังเธอนะ”
ชิงอิ๋งกลอกตาที “ฉันก็พูดไปเท่านั้นแหละ อีกอย่างเธอรู้มั้ยว่าเขาคือใคร เธอกล้าคบกับเขาอย่างนั้นเลย?”
ไป๋ซู่เย่เห็นท่าทางตื่นตาตื่นใจของเธอเลยถามอย่างให้ความร่วมมือ“เขาคือใครเหรอ?”
ชิงอิ๋งกดเสียงต่ำลงพลางยื่นหน้าชิดข้างหูเธอ “เมื่อวานฉันบอกเธอไม่ใช่หรือว่าผู้ชายคนนั้นดูคุ้นตามาก? ภายหลังฉันกลับไปหาข้อมูลของเขา นี่ไม่หาไม่รู้นะ พอหาเท่านั้นแหละตกใจแทบแย่!”
“หืม?”
“เขาน่ะ ก็คือเย่เซียวผู้โด่งดังไงล่ะ!ลูกบุญธรรมของคุณไฟและเจ้าของกิจการไฟกรุ๊ปในตอนนี้ ผู้ริเริ่มสร้างโรงแรมเรือใบที่ระดับเจ็ดดาวของเมืองเยียว คนใหญ่คนโตที่ชื่อเสียงเลื่องลือจนคนได้ยินต้องผวา อีกอย่างนะถ้าไม่พูดถึงกิจการไฟกรุ๊ป กิจการของเขาเองก็มีอยู่ทั่วโลก เห็นบอกว่าร่ำรวยระดับประเทศ สุดยอดขนาดนี้มันเทพในเทพชัดๆ เลย!มิน่าเมื่อวานถึงเท่ขนาดนั้น!”
………………………