อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก! - ตอนที่ 805 แต่งงานกับผมนะ(2)
พวกเขามาถึงจุดที่เคยมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนนั้น
ทุกอย่างเหมือนเคย บนภูเขามีคู่รักอีกหลายคู่ คู่รักวัยรุ่นที่หวานหยดเช่นเคยแต่เธอไม่ต้องอิจฉาอีกต่อไป
ลงมาจากหลังของเย่เซียวแล้วใช้แขนเกี่ยวแขนเขา “คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย? เหนื่อยมั้ย?”
เย่เซียวกุมมือเธอมาซุกในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวเอง“ไม่เหนื่อย”
ว่าแล้วก็พูดเสริมอีกประโยค“คุณยังอ้วนกว่านี้ได้อีก ตอนนี้ผอมเกินไป”
“โอเค” หลังพักฟื้นจากความตายที่โรงพยาบาลมานาน ไม่ให้ผอมคงยาก
เย่เซียวกระชับกุมมือเธอแน่น ลมหนาวพัดผ่าน เธอเผลอหดตัวเล็กน้อย เขากางเสื้อโค้ทตัวใหญ่ออกก่อนจะรั้งเธอเข้าไปในอ้อมกอด หน้าอกของชายหนุ่มอบอุ่นแข็งแกร่งช่วยบดบังลมและความหนาวทั้งหมดไป ไป๋ซู่เย่แนบใบหน้าพิงอกเขาอย่างหลงใหล คอยฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น สองมือกอดเขาแน่นขึ้น
“เย่เซียว”
“หืม?”
“ถ้ากลับเมืองเยียว คุณพาฉันไปชมพลุดอกไม้ไฟอีกนะ”
“ได้”
“ไปทุกสัปดาห์เลย”
“ได้” เขาไม่สามารถจะปฏิเสธได้เลย
“คุณจะรู้สึกเบื่อบ้างมั้ย?”
“เบื่อ”
“…” ไป๋ซู่เย่เงยหน้าบูดบึ้งขึ้นมา เขาจะตรงเกินไปหรือเปล่า? “แล้วคุณยังจะตอบตกลงพาฉันไปทุกสัปดาห์อีก?”
เพราะ…
เธออยากดูพลุดอกไม้ไฟ เขาดูเธอ อยู่ที่ไหน ทำอะไร ขอแค่มีเธอก็ได้ทั้งนั้น
เย่เซียวตบบ่าเธอ “ไปนั่งที่จุดชมวิวกัน อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว”
เบี่ยงประเด็นไป ไป๋ซู่เย่ถูกเขาจูงมือเดินขึ้นจุดชมวิว
——————
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น
พระอาทิตย์ขึ้นฝ่าชั้นก้อนเมฆ แสงสีทองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา
เย่เซียวเริ่มรู้สึกปวดที่หน้าอก แต่เขาไม่ส่งเสียงเพราะไม่อยากขัดอารมณ์เธอ
“เย่เซียว ต่อจากนี้เรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ทุกปีกันเถอะ?”
“…ได้”
เย่เซียวตอบกลับเธอก่อนจะยกตัวเธอมาไว้บนหน้าตักภายใต้สายตาของผู้คน ไป๋ซู่เย่เหลือบมองผู้คนรอบข้างที่มองพวกเขาสองคนแล้วแอบยิ้มจึงก้มหน้ากระซิบเย่เซียว “รีบวางฉันลง คนอื่นมองอยู่นะ”
“ก็ปล่อยพวกเขามองไปสิ” เย่เซียวไม่สนใจ คว้ามือเธอที่พาดไว้ตรงไหล่เขามากุมไว้
ไป๋ซู่เย่ยังอยากจะพูดบางอย่างต่อแต่รู้สึกเย็นวาบที่ปลายนิ้ว เธอนิ่งงันไปครู่หนึ่งถึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าของอะไรที่กำลังถูกสวมลงที่นิ้วตัวเอง เลื่อนผ่านข้อกระดูกนิ้วเธอจรดปลาย
เธอรับรู้บางอย่างพลันหัวใจสั่นไหว มองเย่เซียวด้วยดวงตาที่น้ำตาเอ่อคลอ
ก้มมองนิ้วอีกครั้ง เพราะอยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามเช้าเลยเห็นได้ชัดสองตาว่าเป็นแหวนเรียบง่ายวงหนึ่ง ไม่มีลวดลายซับซ้อนและไม่มีเพชรเด่นหรา เรียบง่ายแต่สบายตา
มันแฝงความหมายสำคัญไว้
“เย่เซียว…” เธอเรียกขานเขาเสียงหนึ่ง ความรู้สึกร้อนผ่าวหลอมรวมไว้ที่หน้าอกอย่างทะลัก ทำให้เสียงเธอแหบแห้ง
“เรื่องที่เคยสัญญากับผมไว้เมื่อก่อนจะต้องทำให้ได้ ผมจำมันได้มาโดยตลอด” อดีตเธอเคยบอกว่าจะแต่งงานกับเขา สิบปีแล้ว เขาไม่เคยลืม
ไป๋ซู่เย่หางตาเปื้อนน้ำตา ยิ้มมองเขา “นี่คุณขอแต่งงานเหรอ?”
“อืม”
“มีอย่างคุณที่ไหน? ไม่พูดแม้แต่ ‘แต่งงานกับผมเถอะ’” ฟังดูคล้ายกำลังบ่นไม่พอใจแต่ความจริงความสุขมีอยู่ล้นอก เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวน้อย ไม่ยึดติดกับการขอแต่งงานที่ต้องทางการอะไร ขอแค่อีกฝ่ายเป็นเขา เธอยินดี
เย่เซียวอุ้มเธอขึ้นมาวางไว้บนแท่นชมวิว หันหลังให้เธอ เธอจึงรีบทิ้งตัวบนหลังเขาเพื่อให้เขาแบกโดยอัตโนมัติ ได้ยินเขากล่าวเพียง“สิบปีก่อนเคยบอกแล้ว สิบปีก่อนคุณเคยตกลงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องทำตามสัญญา”
“…” ไป๋ซู่เย่ไม่ขัดขืน แค่ยกมือขึ้นชื่นชมแหวนวงนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์เธอยิ้มกว้าง ดวงตาสดใส
เย่เซียวแบกเธอลงเขา
เดินไปได้สักระยะ อยู่ๆ เขาก็เรียกเธอ “ซู่ซู่…”
“หืม?”
เขาพูดเสียงต่ำ“แต่งงานกับผม”
สามคำที่ไม่ใช่การขอ น้ำเสียงคล้ายว่าเธอจะตกลงหรือไม่ก็ต้องแต่ง ไม่มีคำสารภาพรักที่ดูดี ไม่มีวิธีการขอที่แสนโรแมนติก แต่กลับซาบซึ้งกินใจเหลือเกิน…
เธอได้ยินก็รู้สึกแสบปลายจมูก ขอบตาแดงระเรื่อทันตา ซุกหน้าเข้าซอกคอเขาหัวเราะทั้งน้ำตา
ผ่านไปสักพักถึงส่งเสียงตอบรับ สองมือกระชับอ้อมแขนแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ต้องคิดนานขนาดนี้เลยเหรอ?” เขาจงใจถามเธอ
เธอหัวเราะ“เรื่องใหญ่ของชีวิตก็ต้องคิดให้ดี”
เขาจึงยกยิ้มตาม
ยังดี…
ทั้งคู่วกไปวนมาตลอดสิบปีเต็ม ในสิบปีนี้ทั้งทุกข์ทรมานทั้งเจ็บปวดแต่กลับลืมไม่ลง เดิมทีคิดว่าจะเป็นบุคคลที่ต้องคลาดจากกันตลอดชีวิต บัดนี้ในที่สุดจะได้เดินจูงมือไปพร้อมกันในเวลาชีวิตที่เหลืออยู่
——
ขณะใกล้เดินถึงใต้เขา ไป๋ซู่เย่เริ่มจับผิดสังเกตได้ ฝีเท้าเขาเริ่มช้าลงรวมถึงลมหายใจที่หอบหนักขึ้น
“เย่เซียว?” ไป๋ซู่เย่เรียกเขา
เขาไม่ตอบ
หน้าอกเจ็บเสียด
กลัวจะทำเธอตกใจ
“เย่เซียว คุณปล่อยฉันลงก่อน!” เธอแตะไหล่เขาอย่างตื่นตระหนก“คุณวางฉันลง”
“ใกล้ถึงแล้ว อย่าขยับ” เสียงของเขาฟังดูอ่อนแรงมาก
“เย่เซียว!” จู่ๆ เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเลยแหวเสียงแหลม เสียงปนสะอื้นในพริบตา
“…เด็กดี เชื่อฟังนะ” เขากัดฟันพูดด้วยเสียงสั่นระริก
ยิ่งเป็นแบบนี้เธอยิ่งกลัว “คุณปล่อยฉันลงให้ฉันดูคุณหน่อย…”
“ผมไม่เป็นไร”
เขาอดกลั้นความเจ็บรุนแรงไว้แต่ร่างกายกลับถึงขีดจำกัด เมื่อทนถึงขีดจำกัดที่ไม่สามารถทนต่อไปได้อีกนั้นสองมือค่อยๆ คลายลงอย่างอ่อนแรง
เธอไถลลงจากหลังเขาประคองตัวที่โงนเงนยืนไม่คงที่ของเขาไว้
ใบหน้าขาวซีดดวงนั้นทำให้ใจเธอสะท้าน “เย่เซียว คุณเป็นยังไงบ้าง? ยังไหวมั้ย?”
“ไม่เป็นไร…”
เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกแย่เลยปรับจังหวะหายใจจูงมือเธอจะเดินต่อไป แต่มือของเขาเย็นเฉียบไร้ความอุ่น ฝ่ามือชุ่มด้วยเหงื่อชั้นบาง
ตัวเขา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
ร่างวูบล้มพิงไหล่เธอด้วยใบหน้าหมดแรง
“เย่เซียว…” เขาในสภาพเช่นนี้เรียกให้เสียงไป๋ซู่เย่สั่นเครือ เธอเริ่มกลัวจับใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอประคองใบหน้าเขาขึ้นด้วยมือสั่นเทา ดวงหน้าขาวซีดของเขาเรียกน้ำตาเธอให้ไหลทะลักจากดวงตาทันที
น้ำตานั่นสร้างความปวดใจแก่เขา
“อย่าร้องไห้ ซู่ซู่…”
“ฉันไม่ร้อง ฉันไม่ได้ร้องไห้ แต่คุณสัญญากับฉันแล้ว ต้องทนไว้นะ…” เสียงเธอสะอื้นฮัก พลิกตัวมาอยู่ตรงหน้าเย่เซียวจับไหล่เขาให้สองมือของเขาเกี่ยวไหล่ตัวเองไว้ “ฉันจะแบกคุณลงเขาเอง ฉันจะแบกคุณไปหาถังซ่ง…”
ดวงตาพร่ามัวเพราะหยาดน้ำตา
วินาทีนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรี่ยวแรงมหาศาลของเธอมาจากที่ใดที่สามารถประคองร่างสูงแกร่งของผู้ชายคนหนึ่งได้
อีกทั้ง…
ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายเธอยังไม่หายขาดดี
ความสามารถของคนเรามักเลยขีดจำกัดของตัวเองได้ทุกครั้งที่ถึงยามคับขัน
“ซู่ซู่ ปล่อยผมลง ผมเดินเอง…” เขาเป็นห่วงร่างกายของเธอที่แบกเขาแล้วใช้แรงหนักหน่วงยิ่งกว่าการออกกำลังระดับรุนแรงเสียอีก
………………………