A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1369
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มคิ้วขาวของเผ่าปีศาจผู้นั้น
เขาในครานี้รอบกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ พยายามต้านทานการบีบรัดของเส้นไหมสีแดง แต่ไม่รู้ว่าเส้นไหมสีแดงเหล่านี้ทำมาจากสิ่งใด มันเอาแต่กะพริบลำแสงสีดำวิบวับไม่หยุด แต่ไม่อาจหนีออกได้เลยสักนิด
นักพรตชราเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยสีหน้าเ**้ยมโหดออกมาขณะเดินไปยังชายหนุ่มคิ้วขาว
ในตอนนั้นเองพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมๆ สองสามสายดังมาจากในเมือง ลำแสงหลีกหนีหลากสีสันสองสามสายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพุ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นฉากนี้ชายหนุ่มคิ้วขาวมีหรือจะไม่รู้ว่าคนของเผ่าเงามาถึงแล้ว ใบหน้าตกตะลึงระคนหวาดผวาฉายแวบผ่านไป ปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นออกมา ลำแสงสีดำบนร่างหมุนวนโคจรอย่างสุดแรง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ในเวลาเดียวกันปีกเหล็กสีดำสนิทคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง สองมือพลิ้วไหวกลายเป็นกรงเล็บเหล็กเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม
เขาเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงกลายร่างเป็นครึ่งปีศาจในทันที ท่าทางพร้อมสู้สุดชีวิต
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็คือร่างกายที่แข็งแกร่งของตนเอง ในเมื่อเผ่าอินทรีทมิฬเป็นหนึ่งในเจ็ดเผ่าปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าจึงไม่ปล่อยไปตามสบาย สะบัดกรงเล็บที่แหลมคม ฉับพลันนั้นลำแสงสีดำความยาวสองสามฉื่อพลันพุ่งออกมาจากปลายเล็บ ตะปบออกทั้งซ้ายและขวา เคล็ดวิชาที่ลำแสงสีดำกรีดผ่านไป เส้นไหมสีแดงรอบกายพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
คาดไม่ถึงว่าลำแสงสีดำเหล่านี้จะแหลมคมเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มคิ้วขาวเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าจึงรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
เขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ขอแค่สับเส้นไหมสีแดงรอบกายทั้งหมดออกได้ ก็สามารถสำแดงเคล็ดวิชาจำเพาะของเผ่าอินทรีทมิฬหนีไปได้
แต่ไม่รอให้กรงเล็บคู่นั้นของเขาโบกสะบัดต่อ ฉากต่อมากลับทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี จนซีดเผือด
เส้นไหมสีแดงที่ถูกสับออกเหล่านั้นทยอยกันเชื่อมต่อกัน แล้วกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง
นักพรตชราเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา ร่างกายเลือนราง ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าชายหนุ่มคิ้วขาว
จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอย เงาสีแดงสดสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
“เงาชาด เจ้าคือคนของเผ่าเงาจริงๆ ด้วย!” เมื่อเห็นเงาชาด ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันรู้สึกสิ้นหวัง
เงาชาดคือเผ่าเงาที่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาในเผ่ามนุษย์ ปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรแปลงกายตัวเล็กๆ ตนหนึ่งจะต้านทานได้อย่างไร
“เจ้ารู้แล้วก็ดี กายเนื้อของเจ้าไม่เลว ข้าจะขอรับไว้ วางใจ สหายร่วมทางของเจ้าไม่มีทางหนีไปได้แม้แต่คนเดียวแน่ หลังจากนั้นไม่นานก็จะตามเจ้าลงนรกไป” แววตาของนักพรตชราเปล่งแสงสีแดง เปล่งเสียงเล็กๆ บาดหูออกมา ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็มีเงาสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ กระโจนเข้าหาชายหนุ่มอย่างโหดเ**้ยม
ในเวลาเดียวกันเส้นไหมสีแดงที่รัดชายหนุ่มคิ้วขาวอยู่ก็ทะลุผ่านเกราะป้องกันลำแสงสีดำของชายหนุ่ม แล้วรัดชายหนุ่มเอาไว้อย่างแน่นหนา
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะมีพลังที่ไร้ขีดจำกัด ครานี้ก็ไม่อาจขยับตัวได้ จึงทำได้เพียงมองเงาชาดกระโจนเข้ามาตาถลน
“เพ้อเจ้อ!”
จิตใจของชายหนุ่มคิ้วขาวหนักอึ้งไปจนตาตุ่ม หลังจากรู้ว่าไม่มีทางหลบหลีกได้ ชั่วขณะนั้นความบ้าคลั่งก็ทะลักออกมา ฉับพลันนั้นพลันกัดฟัน กัดลิ้นออกไปครึ่งหนึ่ง แล้วอ้าปากออกพ่นไข่มุกสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือที่ย้อมไปด้วยโลหิตสีดำออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ไข่มุกเม็ดนี้ออกห่างจากร่าง ดวงตาของชายหนุ่มก็ไร้แสง ผิวรอบกายซูบผอมหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นชายชราผมขาวเต็มหัว
ไข่มุกเม็ดนี้คือแก่นอสูรที่ชายหนุ่มคิ้วขาวฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี
ไข่มุกกลมๆ แผ่กลิ่นอายบ้าคลั่งออกมาขณะอยู่ท่ามกลางโลหิตสีดำ หลังจากหดตัวเล็กลงและขยายตัวออกแล้วก็ระเบิดออก
นักพรตชรามีสีหน้าตะลึงงัน ไม่เพียงเอาชาดเหนือศีรษะจะดีดตัวกลับไปราวกับพบงูพิษ ขยับขาทั้งสองร่างกายพลิ้วไหวพุ่งกลับไป
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีดำขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ขยายอาณาเขตจนกว้างถึงสิบจั้งเศษ แล้วยังแผ่ออกไปทั้งสี่ด้านอย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นวายุโหมกระหน่ำก็ซัดเข้ามา ฝุ่นทรายสีเหลืองที่รวมตัวกันจนเป็นหมอกทรายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นมังกรวายุสีเหลืองสองสามตัว
เงาลวงตาพลิ้วไหว ร่างของนักพรตชราหยุดอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย
ลำแสงสีกำไล่ตามมาติดๆ ราวกับชนักติดหลัง
นักพรตชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ปากก็เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ที่ยากจะเข้าใจออกมา
เสียง “ฟิ้ว” ดังแหวกอากาศมา เงาสีแดงขนาดใหญ่สายหนึ่งดีดออกมาจากในบริเวณนั้นโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน ชั่วครู่ก็พุ่งเข้าไปในหมอกลำแสงสีดำ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลง
ฉากที่น่าตกตะลึงปรากฏขึ้น!
มังกรวายุสีเหลืองสลายหายไป ลำแสงสีดำแล้วชายหนุ่มคิ้วขาวหายไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน
นักพรตชราถึงได้พ่นลมหายใจออกมา แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
ชายหนุ่มคิ้วขาวที่อยู่ภายใต้เขตอาคม คาดไม่ถึงว่าจะยังสามารถระเบิดแก่นอสูรออกมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
แต่ในตอนนั้นหลังจากที่ลำแสงหลีกหนีหมุนวนรอบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เผยร่างของผู้บำเพ็ญเพียรชายหญิงแปดคนออกมา
“เกินความคาดหมาย พวกเขาไม่ติดกับ ดูแล้วคงยุ่งยากหน่อย ทว่ากลิ่นเงาของข้าที่แผ่ออกไป น่าจะย้อมไปบนร่างของพวกเขา เพียงพอจะอยู่ได้หนึ่งชั่วยาม ข้าจะพาอสูรเซิ่นไปสังหารเจ้าผู้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้าด้วยตนเอง พวกเจ้าออกเดินทาง สังหารที่เหลืออีกสามคนทิ้งซะ” นักพรตออกคำสั่งอย่างจริงจัง
“ขอรับ ท่านอาวุโส!” ผู้บำเพ็ญเพียรแปดคนที่อยู่กลางอากาศค้อมตัวลง ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสามคลื่น พุ่งแหวกอากาศออกไปสามทาง
ส่วนนักพรตชรานั้นก็ไม่ได้รีบร้อนบินออกไปในทันที แต่อ้าปากออก เปล่งเสียงคำรามประหลาดๆ ออกมาไม่หยุด สั่นสะเทือนบรรยากาศบริเวณรอบจนทะลุขึ้นไปในชั้นเมฆ
ทันใดนั้นมือหนึ่งของเขาก็กวักไปทางประตูเมืองอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณที่รักษาการณ์ที่ประตูเมืองเหล่านั้นพลันบินออกมาเป็นเงาสีเทาสิบกว่าสาย ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่าง ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็ล้มลงกับพื้น
จากนั้นฉากที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น
ลูกเด็กเล็กแดงและคนธรรมดาที่เล่นหยอกล้อกันที่บึงน้ำพลันสลายหายไปราวกับฟองน้ำท่ามกลางเสียงคำราม จากนั้นเมืองทั้งเมืองก็สั่นคลอนราวกับเงาสะท้อนในน้ำ ไอสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นไป ไม่ว่าพื้นดินหรือว่ากำแพงเมือง ชั่วพริบตาก็ถูกห่อหุ้มด้วยไอสีดำ
เสียงกบร้องบาดหูดังออกมาจากไอสีดำ
นักพรตชราหยุดส่งเสียงคำรามประหลาดๆ สะบัดชุดคลุมยาวไปทางไอสีดำด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พายุลูกใหญ่ปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็ม้วนไอสีดำเข้าไปกลางอากาศ
เบื้องหน้ามีอสูรประหลาดสองเขาลำตัวยาวสิบจั้งเศษปรากฏขึ้น หัวอสรพิษสีทองเงินสองหัว ตัวกบสีเขียวมรกต ลูกตาสีแดงโลหิตสี่ดวงกลอกไปมา ให้ความรู้สึกที่น่าขนพองสยองเกล้า
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น หัวอสรพิษสีทองอ้าปากออก พ่นโครงกระดูกโครงหนึ่งออกมาจากด้านใน
ชายหนุ่มคิ้วขาวที่เพิ่งระเบิดแก่นอสูรออกมาเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอสูรตนนี้กลืนลงไป
เมืองเล็กๆ และผู้บำเพ็ญเพียร คนธรรมดาในเมืองล้วนเป็นภาพลวงตาที่อสูรประหลาดสร้างขึ้น
นักพรตชราร่างกายพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็สลายหายไป แต่ครู่ต่อมา ก็ปรากฏขึ้นบนหัวอสรพิษหัวหนึ่ง
“ไป” นักพรตชราออกคำสั่งด้วยความเย็นชา
อสูรยักษ์สองหัวเปล่งเสียงร้องของกบออกมาพร้อมกัน สองเท้ากระโจนขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งแหวกอากาศไป
ทิศทางที่เขาไล่ตามไปนั่นก็คือจุดที่หานลี่หนีไป
……
สายรุ้งสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกไปกลางอากาศ ท่ามกลางลำแสงสีแดง สตรีผู้งดงามคนหนึ่งกำลังขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร
ฉับพลันนั้นสตรีพลันหน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีแผ่นหยกสีเขียวปรากฏขึ้น บนแผ่นหยักสลักไข่มุกกลมๆ สีขาวนวลเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่าทางเหมือนถูกทำลาย
สตรีสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง นิ้วเรียวยาวนิ้วหนึ่งดีดไปบนไข่มุก ชั่วขณะนั้นหลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ไข่มุกเม็ดนี้ก็กลายเป็นผงสีขาวกลุ่มหนึ่ง แล้วหายวับไป
ทันใดนั้นนางพลันเก็บแผ่นหยก แผ่ลำแสงสีแดงออกมาทั่วเรือนร่าง ความเร็วเพิ่มขึ้นสามส่วน
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันหันหน้าไปทางด้านหลัง
เห็นเพียงตรงขอบฟ้าด้านหลังมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เผยให้เห็นลำแสงหลีกหนีที่พุ่งไล่ตามกันมาติดๆ
ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งความเร็วของมันมากกว่าสตรีผู้นี้กว่าครึ่ง
ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ด้านหลังยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาเปล่งประกายเย็นชา คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลำแสงหลีกหนีลง แล้วลอยตัวอยู่กลางอากาศที่เดิม
เช่นนั้นหลังจากที่ลำแสงหลีกหนีสองสามด้านหลังเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากสตรีไปยี่สิบสามสิบจั้ง ลำแสงเปล่งประกาย กลับเผยร่างของบุรุษและสตรีออกมา
ทั้งสองคนอายุไม่มากนัก บุรุษรูปร่างหล่อเหลาสูงสง่า หญิงสาวมีหน้าตางดงามดุจบุปผา และยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าก็ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองต่างมีสีหน้าแข็งทื่อ
ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือหุ่นเชิดที่ถูกเผ่าเงาสิงร่าง สตรีก็ไม่สนใจหน้าตาของทั้งสองเลยสักนิด แค่กวาดมองไปแวบหนึ่งด้วยความเย็นชา สองมือพลันร่ายอาคมอย่างไม่ลังเล ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงสีดำสองกลุ่มพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย กลายเป็นวิหคเพลิงสองตัว พุ่งกระโจนไปหาทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม
บุรุษและสตรีที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นกัน ก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาขึ้นจมูกออกมา ไหล่ทั้งสองสั่นไหว ชั่วขณะนั้นตรงแผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเทาสองสามสายพุ่งออกมา กระโจนเข้าไปหาเปลวเพลิงสีดำอย่างไม่ยอมแสดงท่าทีอ่อนแอ
เสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาและเปลวเพลิงสีดำพลันตัดสลับกัน
สตรีเลิกคิ้วดำขลับ ร่างกายพุ่งไปลงบนพื้นดิน ชั่วขณะนั้นพลันแผ่ลำแสงสีดำออกมาจากร่างกาย มันเจิดจ้าจนแสบตา ทำให้ไม่อาจสบสายตาได้
จากนั้นเสียงวิหคร้องพลันดังขึ้น วิหคเพลิงขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากลำแสงสีดำ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ปีกทั้งสองก็สยายออกกระโจนไปหาทั้งสองที่อยู่ตรงข้าม
วิหคนี้มีลำตัวสีดำเป็นมันวาว บนหัวมีรัดเกล้าสีน้ำตาล ดวงตาทั้งสองเป็นสีเขียวมรกต เผยร่างหงส์สีดำความยาวสามสี่จั้งออกมา
บุรุษและสตรีที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าตกตะลึง แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว พลันลูบไปที่เหนือศีรษะ ชั่วขณะนั้นเงาสีเขียวสองสายก็พุ่งออกมา กระโจนเข้าหาหงส์สีดำ
ครานี้ไอวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้า เสียงร้องดังระงมไม่หยุด
แทบจะในเวลาเดียวกัน อีกแห่งหนึ่ง หล่งตงถูกผู้บำเพ็ญเพียรสองคนไล่ตามมาเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่สลัดกายเนื้อไปแล้ว จึงเผยเงาร่างสีเขียวสองสายออกมา เขากลับเผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา ลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ เกราะสัมฤทธิ์สีเหลืองที่เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นแผ่นหลังก็มีปีกสัมฤทธิ์ขนาดสองสามจั้งสว่างวาบ สองมือถูเข้าด้วยกัน กระบี่ยาวประหลาดสีแดงสดดุจโลหิตปรากฏขึ้นในมือของเขา
กระบี่ยาวสามฉื่อ ตัวเป็นมังกรร่างเป็นหงส์ เรือนกายมีลำแสงโลหิตไหลเวียน คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับก่อตัวขึ้นมาจากโลหิตสดๆ
ครานี้ไฝโลหิตตรงมุมปากของหล่งตงนั้นแดงสด สีหน้าเคร่งขรึม กระบี่ยาวโบกสะบัดไปทางเงาสีเขียวสองสายที่กระโจนเข้ามาเบาๆ
เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง!
แต่เงาสีเขียวที่อยู่ตรงข้ามกลับเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ผิวมีเส้นไหมสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เงาสีเขียวสองสายแตกออกในชั่วพริบตา
ชายหนุ่มไฝโลหิตโบกสะบัดกระบี่ยาวในมืออีกครั้ง
เส้นไหมสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง เจ้าพวกที่แตกออกท่ามกลางเส้นไหมลำแสงสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย