A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1373
หานลี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอบ แต่ลำแสงสีฟ้าพลันสว่างวาบขึ้นที่ดวงตา ชั่วขณะนั้นสายตาพลันมองทะลุผ่านวายุทรายหนาๆ ในบริเวณรอบไปจนมองเห็นจุดที่ไกลออกไป
ห่างออกไปร้อยลี้เศษ มีนิมิตสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้น
เห็นเพียงตรงขอบฟ้าที่สูงใหญ่ ด้านบนเป็นสีดำด้านล่างเป็นสีเหลือง ตรงกลางมีเส้นสีขาวอยู่สายหนึ่ง ยืดยาวออกไปทั้งสองฝั่ง ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ดังนั้นจึงมองเห็นแค่คร่าวๆ เท่านั้น
หานลี่ขมวดคิ้ว ลำแสงวิญญาณหายวับไปในแววตา
ครานี้พวกเขาพลันขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง ตรงไปยังนิมิตสวรรค์
ชั่วครู่พวกของหล่งตงและสตรีก็มองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นกัน
ที่แท้บนท้องฟ้ามีหมอกสีดำหมุนวนอยู่ ด้านล่างมีพายุเฮอร์ริเคนสีเหลืองหมุนวน จุดที่ทั้งสองสัมผัส กลับมีทางเดินขนาดยักษ์เปล่งแสงสีขาวสูงร้อยจั้งปรากฏขึ้น แยกทั้งสองออกจากกัน ไม่ว่าหมอกสีดำหรือว่าพายุเฮอร์ริเคนต่างก็ไหลเข้าไปในทางเดินนั่น เหมือนกับบ่อลึกที่ไร้ก้นบ่อ
“นี่คือเส้นทางสวรรค์ ช่างน่าสนใจจริงๆ!” หญิงสาวชุดขาวมองทางเดินนี้ มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“ไปกันเถิด ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ระเบิดทรายอ่อนแอที่สุด หากรออีกสองสามวัน แค่เข้าไปตรงทางเข้า ก็ต้องทุ่มเทหลายขั้นตอนแล้ว” หลังจากที่หล่งตงพิจารณาเสร็จ ปากก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
ทันใดนั้นเขาพลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ไข่มุกกลมๆ สีเขียวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น
นิ้วเคลื่อนไหว ไข่มุกเม็ดนิ้วหมุนวน แล้วหดเล็กลงสองสามเท่า
หล่งตงอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะดูดไข่มุกเม็ดนี้เข้าไปในปาก
หานลี่และพวกเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยกันหยิบไข่มุกเหมือนกันออกมา แล้วกลืนลงท้องไปเช่นกัน
เรือนร่างของทุกคนมีลำแสงโปร่งใสปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง พายุกระหน่ำที่เดิมทีกรีดร้องอยู่ข้างกายสัมผัสกับลำแสงโปร่งใสนี้ ก็หายวับไปราวกับโคลนที่จมลงไปในมหาสมุทร
ไข่มุกเหล่านี้คือไข่มุกกันลมที่ชนชั้นสูงของเมืองเทวะสวรรค์เตรียมให้พวกเขาโดยเฉพาะก่อนออกเดินทาง
แทบจะไม่ต้องขบคิด ลำแสงหลีกหนีของพวกเขาก็อยู่ห่างจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าไปไม่ถึงพันจั้ง ไม่ต้องให้พวกเขากระตุ้นลำแสงหลีกหนี พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆ ลำแสงเรียบๆ สองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบถูกดูดเข้าไปในทางเดินยักษ์
เมื่อหานลี่เข้าไปด้านใน ก็รู้สึกว่าแรงดูดผ่อนกำลังลง คนฟื้นฟูกลับมาเป็นอิสระ แต่สิ่งที่ดาหน้าเข้ามากลับเป็นมีดวายุสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันหูทั้งสองก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังระงม พายุในทางเดินนี้สูงกว่าภายนอกเป็นสิบเท่า
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าตนเองมีไข่มุกกันลมอยู่กับตัว เกรงว่าเขาคงจะปล่อยสมบัติอาคมออกมาปกป้องร่างในทันที
แต่เช่นนี้ลมปราณที่ต้องสูญเสียไป ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
และในตอนนั้นเอง เมื่อมีดวายุสัมผัสกับลำแสงโปร่งใสก็หายวับไป
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกไปนอกร่างกายได้ เนตรวิญญาณวารีกระจ่างก็แผ่ออกไปได้แค่ในระยะร้อยจั้งเศษ ส่วนคนอื่นๆ กลับไม่อยู่ในบริเวณนี้ ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้การขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ลังเลอะไร ลำแสงวิญญาณรอบกายระเบิดออก คนกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป เข้าไปในพายุเฮอร์ริเคนแล้วหายวับไป
สองสามวันต่อมา ทางเข้าทางเดินสวรรค์ก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ และมีลำแสงหลีกหนีสองสามพุ่งออกมา
เมื่อลำแสงหม่นแสงลง ก็เผยร่างของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมสองคนออกมา
ทั้งสองแต่งกายธรรมดาๆ บนหัวสวมผ้าโพกหัวสีม่วง แววตากวาดมองไปรอบๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าของทั้งสองละม้ายคล้ายคลึงกับหล่งตงอยู่สี่ห้าส่วน แต่คนหนึ่งกลับมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ อีกคนหนึ่งกลับเสื้อผ้าขาดวิ่นไปกว่าครึ่ง ดูเหมือนว่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา
ทั้งสองคนพิจารณาทางเดินยักษ์เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง มุมปากถ่ายทอดเสียงออกไป ลำแสงหลีกหนีผสมรวมกันแล้วพุ่งเข้าไปข้างใน
ไม่นานนัก เงาชาดสายหนึ่งก็บินออกมาจากระเบิดทราย แต่หลังจากที่อยู่ใกล้กับเส้นทางสวรรค์ก็หยุดชะงัก แล้วถึงได้ร้องคำรามด้วยความไม่พอใจ แล้วหมุนวนสองสามครั้งพลางบินกลับไป
ดังนั้นที่นี่นอกจากเสียงวายุกรีดร้องแล้ว ก็ไม่มีเงาร่างมนุษย์อยู่อีก
……
สองสามเดือนต่อมา บนยอดเขาสีเขียวมรกต หานลี่กำลังยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์อยู่ตามลำพัง สายตาเปล่งประกายขณะทอดมองไกลออกไป
ห่างจากภูเขาน้อยๆ ไปประมาณยี่สิบสามสิบลี้ มีป่าขนาดใหญ่ผืนหนึ่งตั้งอยู่
ป่าผืนนี้ช่างลึกลับเสียจริง ไม่ว่าต้นไม้ชนิดใด หรือใบไม้ต่างก็เป็นสีเขียวมรกตที่แต้มไปด้วยลายสีดำ มองไกลๆ ดูเหมือนป่าสีดำเขียวอย่างไรอย่างนั้น
ที่นี่คือเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ของหานลี่และพวก เขตแดนของกำลังเผ่าพฤกษา ‘ป่าใบดำ’
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียด หานลี่ถึงได้ชักสายตากลับมา ขมวดคิ้วพลางขบคิด
จะว่าไปแล้วเขาที่ข้ามผ่านเส้นทางสวรรค์มา ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่กลับราบรื่นมาก คาดไม่ถึงว่าจะข้ามผ่านเส้นทางนี้มาได้โดยไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขากลัดกลุ้มก็คือ ไม่รู้ว่าคนที่เหลืออีกสามคนไปผิดทาง หรือว่าพบอันตรายอะไรเข้า เขารออยู่แถวๆ ทางเข้าอยู่สองสามวัน ก็ยังไม่อาจติดต่อกับผู้ใดได้
ขณะที่กำลังขบคิดอย่างละเอียด เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่รอแล้ว และจะเข้าไปที่นั่นตามลำพัง
ระหว่างทางเขาพบกับปัญหาเล็กๆ แม้กระทั่งต้องสังหารเผ่าพฤกษาระดับต่ำที่บังเอิญพบเข้าไปสองสามกลุ่ม ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
ตอนที่ออกเดินทาง ชายหนุ่มไฝแดงและสตรีได้อธิบายรายละเอียดของภารกิจนี้ให้คนอื่นๆ ฟังอย่างซื่อตรงแล้ว
ดังนั้นหานลี่จึงรู้รายละเอียดของภารกิจนี้เป็นอย่างดี
จากที่พวกเขารู้ ทั้งสองเผ่าได้ส่งคนเข้ามาสอดแนมในเผ่าพฤกษา ดูเหมือนว่าตำแหน่งจะไม่น้อยด้วย เป้าหมายในภารกิจครั้งนี้ก็คือแอบเข้าไปในส่วนลึกของป่าใบดำ นำข่าวที่สายสืบรายงานมากลับมา จากนั้นก็ลองตรวจสอบสถานการณ์ของเผ่าพฤกษาดูสักหน่อย ดูว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือไม่
ภารกิจนี้ดูเหมือนจะง่ายมาก แต่อันตรายส่วนแรกคือจะข้ามแดนป่าเถื่อนที่ขวางทั้งสองเผ่าเอาไว้อย่างไร ส่วนหลังคือจะแอบเข้าไปในป่าใบดำอย่างเงียบเชียบได้อย่างไรโดยไม่ถูกคนของเผ่าพฤกษาพบเข้า
ในบรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่รอบๆ นั้น เผ่ามนุษย์คบค้ากับเผ่าพฤกษาน้อยที่สุด จึงรู้สถานการณ์ของป่าใบดำเพียงคร่าวๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่เสี่ยงอันตรายส่งพวกเขาออกมานำข่าวของเผ่าพฤกษากลับไปในขณะที่สงครามกำลังจะปะทุเช่นนี้
หานลี่รออยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือน ก็ยังคงไม่เห็นคนอื่นมาที่นี่ และเวลาจำกัดในภารกิจครั้งนี้ ก็ใกล้เข้ามาทุกที
คำนวณเวลาที่ต้องแอบเข้าไป และอาจจะพบกับปัญหาแล้ว เขาก็ไม่อาจรอต่อไปได้จริงๆ
หานลี่ขบคิดอยู่นาน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เห็นเพียงดวงอาทิตย์ส่องแสงรำไร ไม่นานนัก ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำ
จากข้อมูลที่ตนรู้มา คนของเผ่าพฤกษามีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่แย่มาก โดยปกติแล้วมักจะอาศัยจิตสัมผัสในการต่อกรกับศัตรู ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่มอบภารกิจนี้ให้พวกเขาจึงแนะนำว่า ให้แอบเข้าไปในป่าใบดำตอนกลางคืน และซ่อนตัวในกลางวัน จะปลอดภัยกว่าหน่อย
เมื่อมองไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป ในที่สุดหานลี่ก็ตัดสินใจ ไม่สนใจว่าคนอื่นว่าจะมาทันหรือไม่ จะต้องเอายากำจัดสิ่งโสมมาให้ได้ ต่อให้เหลือเขาคนเดียว ก็ต้องทำใจดีสู้เสือทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
เมื่อตัดสินใจแล้ว หานลี่ก็นั่งสมาธิลงบนก้อนหินยักษ์ หลับตาทั้งสองข้างลง
สองสามชั่วยามต่อมา ท้องฟ้าก็มืดสนิท ป่าสีดำที่อยู่ไกลออกไปดูเหมือนอสูรยักษ์ที่หมอบคลานคอยหาโอกาสอยู่ยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น ช่างเงียบเชียบเสียนี่กระไร
หานลี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ลำแสงที่เกลี้ยงเกลาพุ่งออกไป แต่ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สายตาหม่นแสงลง
สองมือของเขาพลันร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปจากก้อนหินยักษ์ราวกับเงาลวงตา
ความจริงแล้วหานลี่สำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกายแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้ความมืดที่ปกปิด พลันลอยไปทางป่าผืนนั้นอย่างช้าๆ
ระยะทางยี่สิบสามสิบจั้ง ถึงแม้ว่าหานลี่จะพยายามบินอย่างช้าๆ ก็ยังคงใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยาม คนก็มาปรากฏตัวที่เขตแดนของป่า
จากพื้นที่ที่ไร้ขอบเขตของป่าผืนนี้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจมีคนของเผ่าพฤกษาอยู่ทุกหนแห่งได้ แต่หานลี่ก็ไม่กล้าบินเข้าไปในอย่างเปิดเผย
เพราะว่าปกติแล้วคนของเผ่าพฤกษาจะปลูกต้นไม้ตาข่ายนิทราภายในอาณาเขตของตนเอง
ว่ากันว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นผู้พิทักษ์ของเผ่าพฤกษา มีความสามารถที่น่าเหลือเชื่ออย่างการ ควบคุมอาณาเขตและต้นไม้อื่นๆ ได้
แน่นอนว่าต้นตาข่ายนิทราทุกต้นจะมีอาณาเขตและจำนวนในการควบคุมที่แตกต่างกัน
ต้นตาข่ายนิทราของเผ่าใบดำ เมืองเทวะสวรรค์ได้ตรวจสอบพลังของมันอย่างละเอียดแล้ว
เป็นเพราะตอนนี้ถูกปลูกอยู่ที่เขตแดนของเผ่าพฤกษา ดังนั้นอาณาเขตที่ควบคุมจึงกว้างไกล แทบจะครอบคลุมผืนป่าทั่วทุกระเบียบนิ้ว สิ่งที่สอดคล้องกันก็คือ จำนวนของต้นไม้ที่ควบคุมได้จึงมีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้เพียงสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขึ้นไป
แน่นอนว่าหากมีเผ่าประหลาดบินเข้ามาอย่างเปิดเผย ต่อให้ต้นตาข่ายนิทราจะไม่อาจสัมผัสได้ ก็ไม่มีทางหนีจิตสัมผัสของคนเผ่าพฤกษาได้
ดังนั้นหานลี่จึงไม่เพียงเก็บกลิ่นอายอย่างมิดชิด หลังจากที่เขาร่อนสองเท้าลงบนพื้นแล้ว ก็กลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปในผืนป่า พลิ้วไหวไปตามต้นไม้ใหญ่ๆ ต่างๆ แล้วหายวับไป
จากความแข็งแกร่งของร่างกายของหานลี่ ประกอบกับเก้าวายุแปรปรวนและย่างก้าวควันตาข่าย การเคลื่อนไหวที่ลึกลับภายในป่านี้จึงดูเหมือนว่าหายไปจากกลางอากาศ
เห็นเพียงเงาสีเขียวรางๆ สายหนึ่ง เดี๋ยวหายวับไปเดี๋ยวปรากฏตัวขึ้น ชั่วพริบตาก็หายเข้าไปในป่าลึกร้อยกว่าลี้
หานลี่ได้ยินเสียงวายุกรีดร้องข้างหูไปพลาง ขบคิดอย่างเงียบๆ ไปพลาง
ตามในภารกิจแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น ก็น่าจะไปถึงเป้าหมายได้ในอีกสามวัน ขอแค่ได้ข้อมูลมา ภารกิจครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จไปแปดเก้าส่วนแล้ว ส่วนการสืบเสาะสถานการณ์ของเผ่าพฤกษานั้นเป็นเพียงเรื่องรอง หากพบอะไรเข้าก็ดี แต่หากไม่ได้อะไรจริงๆ เดาว่าก็คงไม่เป็นไร
เงาสีเขียวหยุดชะงัก หลังจากพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ ก็หายไปจากด้านหลังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เบื้องหน้ามีเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าสิ่งมหึมาอะไรสักอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ครานี้หลังจากที่หานลี่อำพรางกายอยู่บนต้นไม้ยักษ์ที่มีใบหนาแน่นแล้ว ก็จ้องมองสถานการณ์ด้านล่างเขม็ง
ชั่วครู่อสูรยักษ์สีเขียวสูงสิบจั้งที่ดูเหมือนวานรยักษ์สองตัว ถือสามง่ามสัมฤทธิ์ยักษ์เอาไว้บนบ่าคนละอัน ก็เดินแฉลบผ่านต้นไม้ไปอย่างทระนงองอาจ