A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1378
ดวงตาสีเขียวมรกตของอสูรกิเลนมิคาทนหลับตาอยู่นาน ชั่วครู่ก็เบิกตาขึ้นอีกครั้ง ร้องคำรามเสียงต่ำๆ ไปทางหานลี่
หานลี่เห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มออกมา
ตั้งแต่ที่เขากำราบอสูรตัวนี้ได้ไม่นาน ก็พบว่าอสูรตัวนี้นอกจากจะมีการเคลื่อนไหวอันว่องไวและร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าแล้ว ยังมีความสามารถดมกลิ่นที่น่ามหัศจรรย์
ขอแค่อสูรตัวนี้เคยสัมผัส ไม่ว่าของมีชีวิตหรือไม่ มันก็สามารถมองข้ามผ่านการอำพรางกาย และหาตำแหน่งของอีกฝ่ายในระยะร้อยลี้ได้อย่างแม่นยำ
พรสวรรค์ในการติดตามเช่นนี้ ไม่ใช่แค่การอาศัยกลิ่น แต่เป็นการสัมผัสได้ของจิตสัมผัสที่น่าเหลือเชื่อชนิดหนึ่ง
อย่างน้อยที่สุดหากหานลี่ไม่ได้ใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ ก็ไม่มีทางหลบการตามหาของอสูรตัวนี้พบ
ส่วนลำแสงสีขาวในจานอาคมนั้น แน่นอนว่าเป็นการติดต่อกันและกันกับหญิงสาวชุดขาวก่อนที่จะออกเดินทาง และในจานอาคมอื่นๆ ก็มีไอวิญญาณบริสุทธิ์ดวงหนึ่งเช่นกัน
อสูรน้อยมองไปรอบๆ รอบหนึ่ง เอียงศีรษะ ดูเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่ แต่ครู่ต่อมาแขนขาทั้งสี่ก็ขยับ กลายเป็นเงาลวงตาสีเหลืองอ่อนสายหนึ่งพุ่งออกไป
หานลี่ไม่ได้รีบร้อนไล่ตามไป มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปล่อยลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไป
ผลคือใต้ดินมีเสียงวิหคร้องดังขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมีเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา ด้านในมีวิหคเพลิงบินวนโคจรอยู่ตัวหนึ่ง
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่หานลี่ปล่อยให้แอบอยู่ใต้ดินตอนที่อยู่ในป่าใบดำ
ต่อมาเพื่อเป็นการป้องกัน หานลี่ที่กำลังหนีออกมาจากป่านั้น ก็ไม่ได้เก็บเพลิงนี้ไป โชคดีที่เพลิงนี้ถูกเขาหลอมอย่างหมดจนแล้ว ถึงแม้ว่าความเร็วของเขาจะเร็วขนาดไหน ก็ตามเข้ามาติดๆ ได้ในพริบตา
แน่นอนว่าวิหคเพลิงตัวนี้ไม่ใช่อสูรวิญญาณที่แท้จริง การคงรูปร่างเช่นนี้จะต้องสูญเสียพลังลมปราณไปเล็กน้อย แต่จุดนี้สำหรับหานลี่ในตอนนี้นั้น กลับไม่ได้ใส่ใจนัก
เมื่อเห็นวิหคเพลิงกลืนวิญญาณไม่มีปัญหาใดๆ หานลี่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มือหนึ่งชี้ออกไป วิหคเพลิงตัวนี้จมหายเข้าไปในพื้นดินอีกครั้ง
ด้านในยังคงอันตรายมาก เขาไม่มีทางเก็บวิหคเพลิงตัวนี้ไปง่ายๆ ยังคงปล่อยไว้นอกร่าง เก็บเอาไว้เป็นแผนสำรอง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ลำแสงวิญญาณของหานลี่ปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็ไล่ตามอสูรกิเลนมิคาทนไปพลางหายลับไปจากขอบฟ้า
อสูรน้อยพุ่งไปทางทิศเหนือ หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เปลี่ยนทิศทาง ไปอีกทาง
จากนั้นหานลี่พลันตกตะลึง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา และกลับเปลี่ยนทิศทาง
แต่ครู่ต่อมาอสูรกิเลนมิคาทนก็เปลี่ยนทิศทางไปอย่างต่อเนื่องอีกสองสามครั้ง
นี่จึงทำให้หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าทีของอสูรกิเลนมิคาทนแสดงให้เห็นว่าหญิงสาวนามว่าเยี่ยอิ่งยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าจะถูกอะไรไล่ตามสักอย่าง มิเช่นนั้น คงไม่เปลี่ยนทิศทางบินอย่างบ่อยครั้งเช่นนี้แน่
ทว่าเขากลับไม่ได้หวาดกลัวเพราะเหตุนี้
จากความสามารถของเขาในตอนนี้ ขอแค่ไม่ตกอยู่ในการถูกล้อมโจมตีอย่างหนักหน่วง หรือถูกศัตรูที่แข็งแกร่งมากไล่สังหารอย่างเต็มกำลัง ก็มั่นใจว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หลายส่วน
และหญิงสาวผู้นี้ยังเกี่ยวข้องกับยากำจัดสิ่งโสมของตัวเอง เขาจึงยิ่งไม่มีทางล่าถอยง่ายๆ
หานลี่ตามอสูรกิเลนมิคาทนไปด้วยสีหน้าราบเรียบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
การไล่ตามครั้งนี้ดำเนินต่อไปสามวันสามคืน คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่อาจไล่ตามหญิงสาวผู้นี้ทัน
ทว่าเช้าตรู่วันที่สี่ครั้นเมื่อลำแสงหลีกหนีบินผ่านผิวน้ำสีฟ้าครามที่มองไม่เห็นปลายทางแล้ว ลำแสงหลีกหนีของอสูรกิเลนมิคาทนเบื้องหน้าก็หยุดชะงัก และหยุดนิ่งลง
หานลี่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คนก็มาอยู่ด้านข้างอสูรน้อย
อสูรกิเลนมิคาทนหันศีรษะที่มีเส้นขนปุกปุยมา คำรามเสียงต่ำๆ ดูเหมือนจะกำลังพูดอะไรสักอย่าง
หากเป็นคนอื่นคงไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้กำลังพูดอะไร แต่หานลี่กลับเอ่ยถามด้วยความดีใจว่า
“อะไรนะ คนผู้นั้นหยุดอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี้ ตรงนั้น! เยี่ยม ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับมาเถิด”
หานลี่ดีดนิ้ว กลิ่นหอมแผ่ออกไป ยาลูกกลอนสีแดงโลหิตเม็ดหนึ่งที่อสูรกิเลนมิคาทนเคยกินพุ่งออกไป
อสูรน้อยดีอกดีใจ ร่างกายพลิ้วไหว กลืนยาลูกกลอนลงไปจากกลางอากาศ แล้วอ้าปากอีกครั้ง พ่นจุดลำแสงสุดขาวออกมา แล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
ส่วนหานลี่นั้นพลันพลิกฝ่ามือ หยิบจานอาคมออกมา เก็บจุดลำแสงสีขาวลงไป ลำแสงวิญญาณสว่างวาบขึ้นในมือ ยันต์ชำระพิสุทธิ์ปรากฏขึ้นบนมือ
มองยันต์ที่สีหม่นแสงจนแทบจะไม่มี หานลี่พลันขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อย พลิกฝ่ามืออีกมือหนึ่ง ยันต์ที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น
ยันต์สีม่วงเปล่งแสงเป็นประกายมากกว่ายันต์แผ่นแรกมาก
นี่คือยันต์ชำระพิสุทธิ์อีกสองแผ่นที่หานลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลเขียนมันขึ้นเพื่อการเดินทางในป่าเถื่อนครั้งนี้
แผ่นก่อนนั้นอานุภาพลดไปลงพอสมควรแล้ว เพื่อความปลอดภัย อาจจะต้องอันตรายที่คาดไม่ถึง แน่นอนว่าหานลี่จึงเขียนยันต์ขึ้นใหม่อีกแผ่นหนึ่งจะดีกว่า
เก็บยันต์แผ่นแรกที่เสื่อมประสิทธิภาพแล้วลงไป โบกสะบัดยันต์แผ่นใหม่ ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันเคลื่อนไหว ร่างกายของหานลี่หายวับไปจากที่เดิม
ทันใดนั้นเขาพลันร่ายอาคม ร่างกายพลิ้วไหว บินไปทางจุดที่อสูรกิเลนมิคาทนชี้
ผิวน้ำผืนนี้ไม่รู้ว่าเป็นทะเลสาบยักษ์ หรือว่าขอบของมหาสมุทร หลังจากบินตรงไปได้สองร้อยลี้เศษ คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นริมฝั่งเลยสักนิด
ทว่ากลับมีภูเขาน้อยที่ไม่สะดุดตาปรากฏขึ้น
เกาะแห่งนี้กว้างประมาณสิบลี้เศษ ด้านบนมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมเยือนนัก
หานลี่มองไปที่เกาะด้านล่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ถึงได้ตรงไปยังใจกลางเกาะอย่างเงียบๆ
จุดที่อสูรกิเลนมิคาทนพูดถึงน่าจะเป็นเกาะแห่งนี้
ใจกลางของเกาะมีแอ่งกระทะที่ไม่ถือว่าใหญ่นัก ด้านในมีกองหินสีเทาขาวน้อยใหญ่เรียงรายอยู่
ด้านบนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าซีดเผือดนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้าของนางมีสตรีที่ดูเหมือนคนของเผ่าพฤกษาคนยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น
หานลี่เห็นฉากนั้น พลันมีสีหน้าตกตะลึง ร่างกายหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงพลางพิจารณาสตรีแปลกหน้า
สตรีผู้นี้มีสีผิวเหมือนกับพฤกษาวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เป็นสีเขียวอ่อน และยิ่งไปกว่านั้นตรงเอวยังมีเข็มขัดสีเหลืองส้มที่หมายถึงระดับขั้นสวมอยู่ ราวกับว่าพฤกษาวิญญาณระดับส้มที่เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แต่เมื่อหานลี่ขบคิดอย่างละเอียด กลับพบจุดที่ไม่เหมือนกันกับพฤกษาวิญญาณธรรมดาทั่วไป
สตรีที่อยู่ตรงข้ามหญิงสาวชุดขาวในครานี้มีสีหน้าเคร่งขรึมและตึงเครียด ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในเผ่าพฤกษาที่มีสีหน้าเรียบเฉย และยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบอย่างละเอียด แต่พลังวิญญาณเพลิงที่แข็งแกร่งซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของสตรีผู้นี้ ก็ไม่เหมือนกับพลังวิญญาณไม้บริสุทธิ์ในร่างของเผ่าพฤกษาเหล่านั้น
นี่ไม่ใช่พฤกษาวิญญาณ!
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหว ทำการวิเคราะห์ จากนั้นสายตาพลันเคลื่อนไหว ตกลงบนร่างของหญิงสาวชุดขาว
เขาถึงได้พบว่า หญิงสาวชุดขาวนอกจากจะมีสีหน้าซีดขาวแล้ว ตรงทรวงอกบนชุดขาวมีคราบโลหิตขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น ราวกับมีดอกไม้โลหิตผลิบาน ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก
เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันรู้สึกลังเล ครุ่นคิดว่าจะรปากฎตัวหรือไม่
และในตอนนั้นเอง หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างก็เงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มเบิกบาน
“ในเมื่อพี่หานมาแล้ว เหตุใดถึงไม่ลงมาพักซะหน่อยล่ะ”
หานลี่ได้ยินแล้วพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็สะดุ้งโหยง
คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะมองทะลุผ่านการอำพรางกายของเขาได้ เป็นไปได้อย่างไร?
ยันต์ชำระพิสุทธิ์เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้วก็พูดยาก แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครมองออกได้ หรือว่าสตรีผู้นี้แกล้งพูด? แต่ดูจากการที่เหลือบมองมาทางตนเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ตำแหน่งของตนเอง
นอกเสียจากว่าหญิงสาวผู้นี้จะมีจิตสัมผัสแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ถึงจะมีความสามารถเช่นนี้ได้!
หานลี่รู้สึกตกใจพร้อมกับจิตใจที่หนักอึ้ง แต่หลังจากขบคิดเล็กน้อย ยันต์สีเงินบนร่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายค่อยๆ เผยออกมา
จากนั้นเขาก็ใช้มือหนึ่งตบไปบนร่าง ยันต์สีม่วงสายหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ร่อนลงตรงใจกลางฝ่ามือ
“สหายเยี่ย สหายผู้นี้คือใคร แนะนำให้ข้าน้อยรู้จักได้หรือไม่!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ร่างกายร่อนลงอย่างช้าๆ
“ข้าจะแนะนำให้ ผู้นี้คือสายลับที่สองเผ่าของพวกเราส่งไปในเผ่าพฤกษา สหายเยี่ยฉู่ ดูจากท่าทางของสหายหานแล้ว ดูเหมือนว่าจะหนีออกมาจากเผ่าพฤกษาได้อย่างสบายๆ” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ และพิจารณาหานลี่ขึ้นลงด้วยความสนใจ เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้
“เยี่ยฉู่? สหายผู้นี้คือเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ?” หานลี่กลับจ้องไปที่ผิวของสตรีผู้นี้เขม็ง แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“สหายช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก ข้าน้อยมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีโลหิตวิญญาณของเผ่าหงส์พฤกษา นับว่าเป็นลูกครึ่งปีศาจกระมัง” หญิงสาวมองไปยังหานลี่อย่างราบเรียบแวบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“หงส์พฤกษา? เอ๋ สหายมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา!” หานลี่เพิ่งได้ยินชื่อก็ตกตะลึง แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของหญิงสาวผู้นั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี
“พี่หญิงฉู่ เกิดในตระกูลเยี่ยของพวกเรา ตอนนั้นมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น ตอนนี้เข้ามาสอดแนมอยู่ในเผ่าพฤกษาหลายปี ครานี้ฝึกฝนระดับหลอมสุญตาจนสำเร็จแล้ว อยู่ห่างจากระดับผสานอินทรีย์แค่เส้นแดนกั้น” หญิงสาวกลับกลอกตาไปมาขณะเอ่ย
“นี่ต้องยกความดีความชอบให้เผ่าพฤกษา มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ครั้งนี้นายหญิงน้อยจะมาด้วยตนเอง” เยี่ยฉู่เอ่ยอย่างถ่อมตนออกมา มีท่าทีนอบน้อมขณะเผชิญหน้ากับหญิงสาว
“เช่นนี้นี่เอง ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสคอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง เกรงว่าพวกเราต้องถูกล้างบางแล้ว” เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย หานลี่กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“ทว่าจะว่าไปแล้ว เมื่อครู่เป็นเพราะถูกไล่ตามอย่างประชิดไปหน่อย ข้าจึงยังไม่ได้ถามให้ละเอียด พี่หญิงฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเราถึงตกหลุมพรางของเผ่าพฤกษา คนอื่นๆ ล่ะ?” หญิงสาวหุบยิ้มบนใบหน้า สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“ในเผ่าพฤกษานอกจากข้าแล้ว คนอื่นๆ ต่างเพลี่ยงพล้ำไปหมดแล้ว ประมาณร้อยปีก่อน ดูเหมือนว่าคนของเผ่าพฤกษาจะได้รับข้อมูลและรู้ว่าในเผ่ามีสายลับจากสองเผ่าอย่างพวกเราอยู่ ภายใต้การค้นหา จึงมีเพียงข้าที่มีสายเลือดหงส์พฤกษาที่รอดมาได้ คนอื่นๆ ต่างถูกเปิดโปงอย่างต่อเนื่อง จึงทำได้เพียงหนีไปเท่านั้น แต่ผลคือถูกสังหารทิ้งทั้งหมด” หญิงสาวผิวสีเขียวตอบกลับเช่นนี้ออกมา