A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1386
“บังอาจ?” ตัวของมังกรโลหิตมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ลำแสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากร่าง ตรงไปสับเส้นไหมสีเขียวออก
ภายใต้ความจนปัญญาของจิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตง คาดไม่ถึงว่าจะทำให้โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในร่างกลายเป็นกระบี่ลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมา หมายจะดิ้นรนครั้งสุดท้าย
หากเป็นการโจมตีธรรมดาๆ ถูกกระบี่ลำแสงสีโลหิตสับออกก็อาจจะไม่ตกลงไป
แต่เตานภาสูญนั้นเดิมทีก็เป็นสมบัติสะท้านฟ้าอยู่แล้ว เส้นไหมสีเขียวที่แผ่ออกมายิ่งเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง ในด้านการแปลงกายก็มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
หานลี่แค่กระตุ้นความคิด ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวกว่าครึ่งหายวับไปจากกลางอากาศ ส่วนที่เหลือพลันผนึกรวมกัน กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งและลำแสงสีโลหิตพัวพันกัน
ครู่ต่อมาเหนือมังกรโลหิตขึ้นไปสองสามฉื่อก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมาจากกลางอากาศ
เส้นไหมสีเขียวกระจายตัวออก ชั่วพริบตาก็รัดมังกรโลหิตที่อยู่ในเปลวเพลิงห้าสีและหงส์โลหิตครั้งตัวเอาไว้อย่างแน่นอน ทันใดนั้นก็ม้วนกลับมา หมายจะเก็บเข้าไปในเตานภาสูญ
เสียง “กึกกักๆ” ดังขึ้น ร่างของมังกรโลหิตพยายามดิ้นรนให้ออกมาจากลำแสงสีเขียวอย่างสุดชีวิต หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ปรากฏห่างออกไปสิบจั้งเศษ กะพริบวาบอย่างต่อเนื่องเคลื่อนย้ายออกมาสามสิบสี่สิบจั้ง
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ ฉับพลันนั้นหว่างคิ้วพลันมีลำแสงสีดำของเนตรทำลายล้างสว่างวาบ ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา
หลังจากเปล่งเสียงอึกทึกกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวที่เคลื่อนย้ายมาก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเซถลา ดูเหมือนว่าลำแสงจะหม่นแสงลงไม่น้อย
แต่ไม่รอให้หานลี่ได้สำแดงอะไรอีก ลำแสงสีเขียวก็กลายเป็นลำแสงลวงตาสายหนึ่งพุ่งออกไป กะพริบวาบๆ แล้วไปปรากฏที่ขอบฟ้าแล้วพลันหายวับไป
หานลี่ขมวดคิ้ว เนตรปีศาจดวงที่สามที่เพิ่งเปล่งแสงสีดำสลายหายไป
ถึงแม้ว่าเนตรทำลายล้างจะมองทะลุผ่านความสามารถอำพรางตัวได้ แต่ระยะห่างขนาดนี้ แน่นอนว่าก็ไม่มีพลังพอ
ท่ามกลางเส้นไหมสีเขียวที่ห่อหุ้มอยู่ มังกรโลหิตและหงส์โลหิตเปล่งเสียง “สวบ” ออกมา ถูกเตานภาสูญดูดเข้าไปด้านใน
ฝาเตาร่อนลงมา ปิดฝาเตาลงอีกครั้งอย่างแน่นหนา
ผู้ใดก็ไม่ทันได้สังเกตว่าในชั่วพริบตานั้น แขนเสื้อของหานลี่มีเงาสีทองสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ บินเข้าไปในเตาอย่างลับๆ
และในตอนนั้นทั้งสี่คนที่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้งเห็นฉากที่โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกหานลี่เก็บไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตงหนีเตลิดไป ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
สองผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลหล่งมองหน้ากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าภูตอัปลักษณ์และมารเหล่านั้นจะตามไปติดๆ โดยไม่ต้องเสียแรงเรียก
ทิศทางที่พวกเขาหนีไป นั่นก็คือทางที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของหล่งตงหนีไป
เยี่ยฉู่และหญิงสาวชุดขาวก็ไม่ได้มีท่าทีจะไล่ตามไปเลยสักนิด ลำแสงหลีกหนีกลับพุ่งมาทางหานลี่แทน
ชั่วครู่หญิงสาวทั้งสองก็มาปรากฏตัวห่างจากหานลี่ไปสิบจั้งเศษ สายตาของเยี่ยฉู่กวาดไปยังหานลี่และอสูรวิญญาณครวญสูงยี่สิบสามสิบจั้งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
หญิงสาวชุดขาวเผยรอยยิ้มออกมา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปยังเตาสีเขียวเบื้องหน้าของหานลี่อย่างไม่วางตา
เห็นได้ชัดว่าเมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นโลหิตของวิญญาณเที่ยงแท้ตกอยู่ในมือของหานลี่ ก็ระมัดระวังตัวกับเขาขึ้นหลายส่วน
“พี่หาน ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่ลงมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นตระกูลหล่งก็อาจจะทำสำเร็จไปแล้ว พี่หานวางใจเถิด ข้อตกลงก่อนหน้าของพวกเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีทางปล่อยให้พี่หานลงแรงอย่างเสียเปล่าแน่” หญิงสาวชุดขาวกลอกตาสดใสไปมา ฉับพลันนั้นพลันฉีกยิ้มอย่างเย้ายวน
“ใช่แล้ว จากกำลังของตระกูลเยี่ย คิดดูแล้วในเผ่ามนุษย์คงไม่ค่อยจะมีผู้ที่จะช่วยให้สหายสมปรารถนาได้อย่างพวกเรานัก” เยี่ยฉู่เอ่ยอย่างเชื่องช้า แต่ในคำพูดกับแฝงเจตนาคุกคามเอาไว้
หานลี่มุมปากกระตุกไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่เตาสีเขียวเบื้องหน้า
เสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากเตา ฝาเตาพวยพุ่งขึ้นไปอีกครั้ง เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา มังกรโลหิตและหงส์โลหิตครึ่งร่างปรากฏขึ้นที่ปากเตา
หญิงสาวเห็นมังกรโลหิตและหงส์โลหิต ก็ดวงตาเปล่งประกาย หญิงสาวชุดขาวมีลำแสงโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบบนใบหน้า มีเงาลวงตาหงส์โลหิตตัวเล็กๆ เปล่งแสงสว่างวาบรางๆ แวบหนึ่ง
หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบา มือหนึ่งร่ายไปทางเตาสีเขียว
ชั่วขณะนั้นหงส์โลหิตที่มีเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มอยู่พลันสั่นเทา แตกออกเป็นชุ่นๆ สิ่งที่ห่อหุ้มเอาไว้ดีดไปทางหญิงสาว
หญิงสาวชุดขาวพลันดีอกดีใจ ปากเปล่งเสียงผิวปากหวีดหวิวออกมา หงส์โลหิตตัวเล็กอีกตัวหนึ่งบินออกมาจากร่าง ชั่วครู่ก็ปะทะเข้ากับหงส์โลหิตครึ่งร่าง
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ทั้งสองประสานร่างกันอย่างไม่มีอะไรขัดขวาง กลายเป็นลูกบอลกลมๆ สีแดงโลหิตขนาดสองสามฉื่อลูกหนึ่ง
ลูกบอลนี้เป็นสีแดงสด ราวกับว่าใช้โลหิตบริสุทธิ์ผนึกขึ้นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากที่หมุนติ้วๆ ก็กลายเป็นหงส์โลหิตขนาดหนึ่งฉื่อ บินวนล้อมรอบร่างของหญิงสาวเอาไว้
หญิงสาวผู้นี้หยักรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก นิ้วเรียวยื่นออกไป ชี้ไปทางหงส์โลหิตอย่างเคร่งขรึม
หลังจากได้ยินเสียงร้องอันไพเราะแล้ว หงส์โลหิตก็สยายปีกออก กลายเป็นลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งกระโจนเข้าไปในร่างของหญิงสาว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ทันใดนั้นร่างของเยี่ยอิ่งก็ถูกลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเงาลวงตาหงส์โลหิตตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นรางๆ ที่แผ่นหลังของนาง มันเลือนรางไม่ชัดเจน แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เงาลวงตาหงส์โลหิตก็สลายหายไป หญิงสาวเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“โลหิตของหงส์เที่ยงแท้ไม่ถูกทำลายไปมากนัก เอากลับมาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน อีกส่วนเล็กๆ น่าจะถูกโลหิตของมังกรเที่ยงแท้กลืนกินเข้าไป เกรงว่าคงไม่อาจแยกออกจากกันง่ายๆ โชคดีที่โลหิตเที่ยงแท้ตกอยู่ในมือของตระกูลเยี่ยของพวกเรา พี่หาน โยนโลหิตมังกรเที่ยงแท้มาเถิด โลหิตเที่ยงแท้นี้จำต้องเก็บเอาไว้ให้ดี ยุทธภัณฑ์ทั่วๆ ไป เกรงว่าคงไม่อาจทำให้โลหิตเที่ยงแท้เสียหายได้”
หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือ กลางฝ่ามือมีขวดน้ำเต้าสีม่วงทองปรากฏขึ้น ช่างวิจิตรงดงามนัก
หานลี่กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“เซียนเยี่ย หากข้าน้อยจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนแรกตกลงกับทั้งสองแค่ว่าจะมอบโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้คืนให้เซียน ตอนนี้ก็ได้โลหิตของหงส์สวรรค์ไปแล้ว จะเอาโลหิตมังกรเที่ยงแท้ที่เหลืออีก เซียนจะละโมบเกินไปหรือเปล่า” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายหาน หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเจ้าคิดจะขอส่วนแบ่งเป็นโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้!” น้ำเสียงของเยี่ยฉู่เย็นยะเยือกขึ้น สายตาเปล่งประกายเย็นชาดุจใบมีด
“ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และรู้กฎข้อห้ามของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ จะไปคิดเรื่องเพ้อเจ้อได้อย่างไร ต่อให้ข้าน้อยหลอมโลหิตวิญญาณจริงๆ ก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกทุกตระกูลไล่ล่า” หานลี่กลับสั่นศีรษะและหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เช่นนั้นพี่หานมีเจตนาใด?” ฟังจากคำพูดของหานลี่แล้วก็ไม่ได้คิดจะนำโลหิตมังกรเที่ยงแท้ไปใช้กับตนเอง หญิงสาวชุดขาวจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยซักถามต่อ
“หึๆ ก็ไม่มีอะไรมาก คิดดูแล้วโลหิตของมังกรเที่ยงแท้คงไม่ต่างอะไรกับโลหิตหงส์สวรรค์อย่างพวกเจ้า ตระกูลเยี่ยของพวกเจ้าคงต้องการมันมากสินะ หากผู้แซ่หานนำของสิ่งนี้มอบให้ ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองจะเอาอะไรมากแลกเปลี่ยนล่ะ” หานลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คิกๆ ที่แท้พี่หานก็อยากได้ผลประโยชน์ เช่นนี้ก็พูดง่าย ขอแค่ยอมมอบโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้ พี่หานก็เสนอมาได้เลย น้องหญิงไม่มีทางไม่ตอบรับแน่” หญิงสาวชุดขาวได้ยินคำนี้ใบหน้าก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ศิลาวิญญาณจะแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าหากสหายมีศิลาวิญญาณระดับสุดยอดร้อยก้อนจริงๆ ก็ว่าไปอย่าง” หานลี่เอ่ยอย่างคร่าวๆ
“พี่หานล้อเล่นแล้ว ต่อให้ตระกูลเยี่ยของพวกเราจะไม่อาจนำศิลาวิญญาณระดับสุดยอดมาจำนวนมากขนาดนั้นในครั้งเดียวได้ แต่หากสักสองสามก้อน น้องหญิงก็ยังพอคิดวิธีได้” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หันหน้าไปสบตากับเยี่ยฉู่แวบหนึ่ง แล้วถึงได้ฝืนยิ้มตอบกลับ
“หากเป็นศิลาวิญญาณระดับสองสามก้อน ผู้แซ่หานจะรบกวนสหายทั้งสองทำไม ข้าน้อยทุ่มเทแรงกายสักหน่อยก็ได้มาแล้ว” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นายท่านอยากได้อะไร พูดมาตามตรงเถิด” เยี่ยฉู่ดูเหมือนว่าจะหมดความอดทน พลางเอ่ยอย่างเย็นชา
“ง่ายมาก ข้าน้อยอยากแลกกับขนของหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งในมือของท่านอาวุโสเยี่ย” หลังจากที่แววตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของเยี่ยฉู่แล้ว ก็เอ่ยขึ้น
“ขนของหงส์สวรรค์อะไร? สหายเชื่อคำพูดของสตรีเผ่าหงส์ทมิฬจริงๆ หรือ!” รูม่านตาของเยี่ยฉู่หดเล็กลง ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
หญิงสาวชุดขาวได้ยินกลับตะลึงงัน
“ท่านอาวุโสเยี่ยคิดว่าชนรุ่นหลังจะเชื่อคำพูดงั้นหรือ? หากทั้งสองท่านคิดว่าข้าน้อยพูดเรื่องไร้สาระ ผู้แซ่หานก็ไม่รังเกียจที่จะใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณกับสหายเสี่ยวดู ข้าน้อยขอแค่เส้นเดียวเท่านั้น แลกกับโลหิตมังกรเที่ยงแท้ล่ะก็ น่าจะเป็นสหายทั้งสองได้ที่เปรียบมากกว่า” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฟังจากคำพูดของหานลี่แล้ว เยี่ยฉู่พลันขมวดคิ้วดำขลับ สายตากวาดไปยังเยี่ยอิ่ง
หญิงสาวชุดขาวเม้มปากสองสามครั้ง แล้วถึงได้เอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับว่า
“สหายอยากได้ขนของหงส์สวรรค์ไปทำอะไร? สิ่งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อตระกูลเยี่ยของพวกเราเช่นกัน? มิเช่นนั้นน้องหญิงเอาของสิ่งอื่นแลกเปลี่ยนแทนได้หรือไม่? อย่างเช่นผลเห็ดมังกรสองเม็ดที่พวกเราได้มาก่อนหน้านี้?”
“ข้าน้อยมีสมบัติชิ้นหนึ่ง จำต้องใช้ขนของหงส์ระดับสุดยอดเส้นหนึ่งหลอมขึ้นอีกครั้งพอดี ส่วนผลเห็ดมังกรนั้น ถึงแม้ว่าข้าน้อยจะอยากได้ แต่ขนของหงส์สวรรค์นั้นจำเป็นมากกว่า ผู้แซ่หานจึงไม่อยากได้อย่างหลัง” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“พี่หานจะแลกกับขนของหงส์สวรรค์จริงๆ! ไม่มีอย่างอื่นให้ต่อรองหรือ?” สองตาของเยี่ยอิ่งจับจ้องไปบนมังกรโลหิตที่อยู่เหนือเตาสีเขียวอยู่นาน สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสพลางเอ่ยถามอีกครั้ง
“หึๆ หากสหายทั้งสองมี ‘ยากลูกกลอนความปรารถนาเซียน’ ‘เห็ดวิญญาณเก้าหัวใจ’ ผู้แซ่หานก็ไม่รังเกียจที่จะแลก” หานลี่หัวเราะด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
“หึ ของระดับสุดยอดขนาดนั้น ข้าจะยังต้องการโลหิตมังกรเที่ยงแท้ไปทำอะไร กินเข้าไปแล้วบรรลุระดับผสานอินทรีย์เลยก็ได้แล้ว เยี่ยม ข้ายอมตกลงกับเจ้า จะใช้ขนหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งแลกกับของสิ่งนี้” หญิงสาวชุดขาวกัดฟัน ในที่สุดก็ตอบรับเงื่อนไขของหานลี่
เยี่ยฉู่หน้าเปลี่ยนสี อ้าปากออกคิดจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หานลี่ได้ยินก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
“ฮ่าๆ การกระทำของแม่หญิงเยี่ยเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดแล้ว ขอแค่ให้ผู้แซ่หานได้ตรวจสอบขนหงส์สักเล็กน้อย ข้าน้อยก็จะมอบโลหิตมังกรเที่ยงแท้ให้ท่านทั้งสอง แน่นอนว่าสหายทั้งสองคงไม่กลัวว่าผู้แซ่หานจะชิงของไปหรอกนะ” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงฉู่ เอาขนหงส์เส้นหนึ่งให้เขาเถิด” หญิงสาวถอนหายใจออกมา หันหน้าไปออกคำสั่งกับเยี่ยฉู่
“เจ้าค่ะ นายหญิงน้อย!” เยี่ยฉู่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยตอบรับ มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ กล่องหยกสีแดงเพลิงใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
กล่องหยกใบนี้ไม่เพียงเป็นสีแดงสด ผิวของมันยังมีลวดลายเปลวเพลิงสลักอยู่ เมื่อหยิบออกมา คาดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นอายร้อนระอุโชยออกมา อุณหภูมิรอบๆ ด้านเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
‘หยกร้อน’ หานลี่เห็นกล่องหยกใบนี้ กลับมีสีหน้าตกตะลึง