A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1393
สิบวันต่อมาฉับพลันนั้นด้านนอกห้องน้ำแข็งพลันมีเสียงร้องยาวๆ ที่ไพเราะดังขึ้น ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะเข้ามาปลุกหานลี่ให้ตื่นจากภวังค์
หานลี่ขมวดคิ้วเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเปล่งประกาย หลังจากที่เขาเอียงศีรษะขบคิดแล้ว ก็หยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วผลักประตูเดินออกไป
เห็นเพียงกลางอากาศเบื้องหน้าห้องน้ำแข็งนั้นมีวิหารน้ำแข็งกว้างร้อยจั้งหลังหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัววิหารใช้เสาน้ำแข็งหนาๆ สองสามเสาค้ำยันอยู่ ถึงแม้ว่าจะดูหยาบๆ แต่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดแสงลงมา ก็ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ในวิหารมีแท่นน้ำแข็งสูงสองสามจั้งอยู่แท่นหนึ่ง บุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนอยู่บนนั้น
บุรุษมีเรือนผมสีเงิน กลับมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลา สตรีกลับมีเส้นผมสีเขียวเส้นบางๆ มวยสูงขึ้นไป ร่างกายอวบอิ่ม งดงามเป็นอย่างมาก แขนและเท้าที่เปลือยเปล่าออกมาดูราวกับรากบัวอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนยอดเขาที่เย็นยะเยือก ไม่แยแสสิ่งใด
ทั้งสองคนนี้คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตา บุรุษผมสีเงินยิ่งอยู่ในระดับขั้นกลาง
เสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ นั้นดังออกมาจากปากของบุรุษผมสีเงิน
ใต้แท่นน้ำแข็งมีคนยืนอยู่แล้วสี่ห้าคน แน่นอนว่าเป็นพวกของเซียนอิ๋งและชายชราแซ่หลี่ว์ ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องยาวๆ ดังเข้าไปในห้องน้ำแข็ง ไม่ได้มีหานลี่แต่เพียงผู้เดียว คนอื่นๆ ก็เดินออกมาอย่างต่อเนื่อง
ชั่วพริบตาทั้งยอดเขาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏขึ้นยี่สิบกว่าคน
คนเหล่านี้ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขึ้นไป หลังจากได้ยินเสียงร้องยาวๆ แล้ว ก็ทยอยกันตรงไปทางวิหารด้วยสีหน้าหลากหลาย
หานลี่เองก็เดินรั้งท้ายตามเข้าไปในวิหารด้วยสีหน้าราบเรียบ
เมื่อทุกคนเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อยก็ตรงเข้าไปทักทายบุรุษและสตรีที่อยู่บนแท่นน้ำแข็งอย่างนอบน้อม
“คารวะท่านอาวุโสจู้ ท่านอาวุโสชิง!”
“ท่านอาวุโสทั้งสองก็มาแล้ว! ชนรุ่นหลังขอคารวะท่านอาวุโสทั้งสอง!”
หานลี่หาตำแหน่งที่ไม่สะดุดตามาตำแหน่งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ผู้ที่เชิญเขามาในตอนแรก ก็มีบุรุษและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองเทวะสวรรค์คู่นี้
ถึงแม้ว่าจะสนทนากับทั้งสองครั้งแรก แต่ทั้งสองก็อัธยาศัยดีไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาจากแดนล่าง มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าจะรับปากมากมายขนาดไหน เขาก็จะตอบเรื่องนี้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ
บุรุษแซ่จู้หยุดเปล่งเสียงกู่ร้องแหลมๆ ลง และตอบกลับคำทักทายของคนอื่นพร้อมรอยยิ้ม สุดท้ายก็เอ่ยอย่างแจ่มใสว่า
“ทุกคนก็มากันเกือบครบแล้ว เหล่าสหายนั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาปรึกษากันเรื่องจะปราบปรามรังของคางคกเที่ยงแท้ตาสีมรกตกันอย่างไรจะดีกว่า”
เมื่อเขาเอ่ยจบหญิงงามที่ยืนอยู่ข้างกายก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมโจมตีไปที่ด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นสองฝั่งของวิหารน้ำแข็งพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า เก้าอี้หยกที่วิจิตรงดงามปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยผลของเขตอาคม
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเห็นเช่นนั้น ก็ทยอยกันนั่งลงตามคำพูด จากนั้นถึงได้มองสองสามีภรรยาระดับหลอมสุญตาที่นั่งลงเช่นกันบนแท่นน้ำแข็ง
บุรุษผมสีเงินกวาดสายตาไปทั้งสองด้านแล้วถึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มออกมา
“ดูแล้วเราสองสามีภรรยาคงคาดการณ์ไว้ไม้ผิดนัก สหายที่เรียนเชิญมาในตอนแรก ครานี้มาถึงที่นี่ได้แค่สี่ส่วนเท่านั้น สหายคนอื่นๆ มีภารกิจรัดตัว จึงมาไม่ทัน ไม่ก็คงเกิดอะไรขึ้นจนไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นขอแค่พวกเราร่วมมือกัน ก็สามารถกำจัดฝูงคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตฝูงนั้นได้อย่างราบรื่น ถึงครานั้นสิ่งที่พวกเราจะได้ ก็คือเหล่าสหายจะได้นำโลหิตคางคกเที่ยงแท้มาแบ่งกัน ส่วนพวกเราสองสามีภรรยาก็จะได้ดอกพันใจที่อสูรโบราณฝูงนั้นปกปักไว้สักสองสามต้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กล่าวกับสหายเอาไว้ก่อนแล้ว คงไม่มีข้อคิดเห็นอะไรสินะ! แน่นอนว่าการแบ่งโลหิตคางคกเที่ยงแท้นั้น ต้องดูตามความสามารถของเหล่าสหายที่สำแดงออกมา ไม่อาจแบ่งกันอย่างเท่าเทียมได้ หวังว่าสหายที่มีความคิดอื่น คงไม่คิดว่าจะได้ประโยชน์โดยไม่ลงแรงหรอกกระมัง”
ครั้นเมื่อชายหนุ่มผู้งดงามเอ่ยประโยคนี้ออกมา เมื่อถึงสองสามประโยคสุดท้าย ร่างกายก็แผ่พลังกดของระดับหลอมสุญตาที่แข็งแกร่งออกมา ในเวลาเดียวกันสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ต่างก็นั่งนิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกท่านรู้แล้ว พวกเราก็มาหารือขั้นตอนการลงมือกันเถิด คางคกเที่ยงแท้ฝูงนี้เป็นฝูงที่พวกของเซียนอิ๋งพบเป็นพวกแรก ก็ให้สหายอิ๋งอธิบายก่อนก็แล้วกัน” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าซึ่งนั่งอยู่ด้านล่าง
“ขอให้ท่านอาวุโสอายุมั่นขวัญยืน ชนรุ่นหลังมิกล้าบังอาจ”
เซียนอิ๋งฉีกยิ้ม ร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนขึ้น หลังจากกวาดสายตาไปบนใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือแล้ว ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“พบรังคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตได้อย่างไรนั้น ข้าจะไม่พูดมาก สิ่งที่บอกทุกท่านได้ก็คือ ฝูงนี้มีคางคกเที่ยงแท้อยู่เกือบสิบตัว สองตัวเป็นคางคกเที่ยงแท้โตเต็มวัยน่าจะมีกำลังอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง ส่วนลูกคางคกที่เหลือต่างมีพลังยุทธ์เท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ฝูงคางคกเที่ยงแท้ฝูงนี้แอบซ่อนตัวอยู่ในรังใต้ดิน ปกติแล้วจะไม่ปรากฏตัว หากอยากสังหารพวกมันล่ะก็ เกรงว่าจะยายไม่น้อย ถึงอย่างไรเสียบริเวณรอบๆ รังของมันนั้น ก็ไม่สะดวกที่จะให้พวกเราล้อมวงเข้าไป”
เอ่ยมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของสตรีผู้นี้ก็หยุดชะงัก แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“หากมีแค่นี้ ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชิญสหายจำนวนมากมาพร้อมกัน สิ่งสำคัญก็คือในบริเวณของรังคางคกเที่ยงแท้ มีครึ่งอสูรที่ร้ายกาจอยู่สองชนิด ชนิดหนึ่งคือมดโลหิตดำ อีกชนิดหนึ่งคืออสูรแมลงเงา ถึงแม้ว่าอสูรแมลงทั้งสองชนิดนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่อะไร แต่ล้วนเป็นสิ่งที่อาศัยอยู่กันเป็นฝูง น่าจะมีประมาณร้อยกว่าตัว หากอยากกำจัดคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกต ก็จำต้องกำจัดครึ่งอสูรแมลงทั้งสองชนิดนี้ด้วย”
“แมงป่องโลหิตดำ?”
“อสูรแมลงเงา”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้า ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง บางคนแม้กระทั่งทนไม่ไหวเอ่ยปรึกษาอะไรกับคนด้านข้างด้วยเสียงแผ่วเบา
แน่นอน! อสูรแมลงสองชนิดนี้มีชื่อเสียงไม่น้อย หากถูกล้อมโจมตี เกรงว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ยังต้องตกอยู่ในอันตราย
หลังจากเอ่ยขบ หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าก็พยักหน้าให้กับชายหนุ่มรูปงาม แล้วนั่งลงที่เดิม
“ไม่ต้องเครียดไป? ในเมื่อข้าเชิญเหล่าสหายมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีวิธีจัดการ ขอแค่สหายร่วมมือกันเท่านั้น” ชายหนุ่มแซ่จู้เอ่ยด้วยความสุขุม
“ท่านอาวุโสจู้! ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อคำพูดของท่านอาวุโส แต่เรื่องนี้ดูแล้วอันตรายมาก ท่านอาวุโสอธิบายแผนการให้ฟังก่อนได้หรือไม่” ชายชราสวมงอบคนหนึ่งหยัดกายลุกขึ้นโค้งให้แท่นน้ำแข็งขณะเอ่ย
ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายที่มีไม่มากนักที่ด้านล่างแท่นน้ำแข็ง
“ที่แท้ก็สหายโหยวนี่เอง เชิญสหายนั่งลงก่อน ถึงแม้ว่าสหายจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้แซ่จู้ก็จะอธิบายให้ทุกท่านฟังอยู่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาด้วยท่าทีไม่ถือสา
ชายชราได้ยินก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แค่คารวะอีกครั้งแล้วนั่งลง
“ความจริงแล้วง่ายมาก ถึงแม้ว่าครึ่งอสูรสองชนิดนี้จะจัดการยาก แต่พวกเราสองสามีภรรยาได้รวบรวมธูปไม้จันทน์มาแล้ว ธูปชนิดนี้มีพลังในการดึงดูดยุงโลหิตดำที่ได้ผลมาก ขอแค่จุดอยู่ไกลออกไปหน่อย ก็สามารถล่อให้พวกมันออกมาบนพื้นดิน จากนั้นก็ลงมือกำจัดพวกมันก็ได้แล้ว ส่วนอสูรแมลงเงาเหล่านั้น ต่อกรยากสักหน่อย ทว่าพวกเราสองสามีภรรยาได้ยืมธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬชุดหนึ่งมาจากสหายสนิท ขอแค่มีสหายแปดคนถือสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ สร้างเขตอาคมวงแหวนอัสนีสวรรค์ขึ้นมา ก็เพียงพอจะกักอสูรแมลงเงาเหล่านี้ได้แล้ว นอกจากนี้ ยังเชิญสหายหานและเซียนเสี้ยวที่มีเคล็ดวิชาในการกักแมลงเผ่าเงาโดยเฉพาะมาด้วย มีสหายทั้งสองคอยช่วยเขตอาคมอัสนีนี้ ก็น่าจะไม่ผิดพลาด ส่วนคนที่เหลือ ก็ร่วมมือกันต่อกรอสูรคางคกเที่ยงแท้ร่วมกันกับพวกข้า เหล่าสหายคิดว่าอย่างไร” ชายหนุ่มแซ่จู้เอ่ยอย่างสดใส น้ำเสียงไม่ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หานลี่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อของตัวเอง หลังจากหน้าเปลี่ยนสีแล้วกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงแล้ว ฉับพลันนั้นก็ประสานสายตากับสายตาคู่หนึ่งที่อยู่ตรงข้าม
หญิงสาววัยเยาว์สวมชุดกระโปรงสีเงินขาวคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี หน้าตาหมดจด เมื่อเห็นหานลี่มองมาก็ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้
“หรือว่านี่คือ ‘เซียนเสี้ยว’? วรยุทธ์ที่นางฝึกฝนคือสิ่งใดกัน คาดไม่ถึงว่าจะควบคุมอสูรแมลงเงาได้?” หานลี่ยิ้มรับตามจิตสำนึก แต่ในใจกลับขบคิดด้วยความรู้สึกฉงนสงสัย
เวลาต่อมาก็มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ซักถามปัญหาข้อสงสัยในจุดอื่น
ชายหนุ่มแซ่จู้ตอบคำถามทั้งหมดอย่างละเอียดอย่างอารมณ์ดี ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนรู้สึกพอใจ
ทว่าหานลี่สังเกตเห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงงดงามที่นั่งอยู่ข้างกายชายหนุ่มกลับไม่เคยเอ่ยปากออกมาเลย แค่ยืนฉีกยิ้มเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ วันนั้นตอนที่สองสามีภรรยาพาพวกมาหาเขาที่จวนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแค่ชายหนุ่มรูปงามที่พูด ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้เอ่ยปาก
หรือว่าสตรีผู้นี้ฝึกฝนวิชาภิกษุชั้นสูงอย่างเคล็ดวิชาประหลาดอย่างวิชาญาณปิดปากอะไรเทือกนี้? มิเช่นนั้นต่อให้เป็นใบ้แต่กำเนิด พลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้อย่างพวกเรา แน่นอนว่าก็สามารถรักษาอาการป่วยแต่กำเนิดได้ภายในพริบตาแล้ว
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไม่มีใครซักข้อสงสัยอะไร ชายหนุ่มแซ่จู้ก็เริ่มแบ่งกำลังคน
จะว่าไปแล้วผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเชิญมาในครั้งนี้ นอกจากหานลี่และสตรีแซ่เสี้ยวผู้ซึ่งรับมือกับอสูรแมลงเงาได้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีวรยุทธ์ธาตุอสนีที่หายาก เพื่อจะได้แบ่งธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬไปวางเขตอาคมวงแหวนอสนีสวรรค์
คนเหล่านี้รวมทั้งหานลี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา บ้างก็เป็นลูกหลานสายตรงของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรสักคนที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรพื้นเมือง
ดังนั้นแม้ว่าจะมีจำนวนคนไม่น้อย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนัก
เมื่อจัดเสร็จสิ้น ชายหนุ่มแซ่จู้และพวกก็ไม่ได้รั้งรอให้เสียเวลาอีก ออกคำสั่งในทันที กลุ่มคนยี่สิบกว่าคนจึงบินออกจากภูเขาในทันที กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปยังทิศตะวันตก
หลังจากบินมาสามวันสามคืน ในที่สุดทุกคนก็มาถึงเบื้องหน้าลำธารยักษ์อย่างปลอดภัย
มองลำธารนี้แวบหนึ่ง หมอกหนาทึบลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนรู้สึกลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนเห็นเช่นนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
โดยปกติแล้วที่ที่ดูแล้วผิดปกติในแดนป่าเถื่อน ผู้บำเพ็ญเพียรกว่าครึ่งล้วนไม่อยากเข้าไปง่ายๆ ผู้ใดจะรู้ว่าใต้ม่านหมอกและบึงน้ำแห่งนี้มีอสูรโบราณที่ร้ายกาจอะไรซ่อนตัวอยู่ หากถูกลอบโจมตีจนจบชีวิตลง จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือ
ไม่ต้องให้ผู้กล่าวเตือนทุกคนก็ผ่อนลำแสงหลีกหนีลง แล้วหยุดอยู่หนาม่านหมอก