A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1396
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสะพรึง
แมลงอ้วนสองตัวนี้มีความยาวสองจั้ง ผิวเป็นผลึกสีขาวและยิ่งไปกว่านั้นยังมีปุ่มๆ ราวกับดักแด้ยักษ์ แต่หนึ่งในนั้นมีหัวที่ไม่ใหญ่นัก ด้านบนไม่เพียงมีตาเล็กๆ สีแดงหกตา ยิ่งไปกว่านั้นกำลังเคี้ยวตะไคร่น้ำ ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมอ้าออกเป็นบางครั้งคราว คิดไม่ถึงว่าจะใหญ่โตมาก
หานลี่ที่สำแดงเคล็ดวิชาลวงตาแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาก็ไม่อาจพบตัวเขาได้ แน่นอนว่าจึงไม่กังวลใจว่าอสูรแมลงระดับเทพแปลงสองตัวจะพบร่องรอยของเขา ทันใดนั้นก็ลอยเข้าไปอยู่เหนืออสูรแมลงตัวหนึ่งอย่างทระนงองอาจ แววตาถึงได้กวาดมองไป
ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างของเขา ใกล้กับอสูรคลื่นทมิฬอีกตัวหนึ่ง เงาสีแดงจางๆ สายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
นั่นก็คือสตรีผู้งดงามที่สำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนี
หลังจากที่สตรีผู้นี้อยู่ห่างไปอีกสองสามจั้ง ลำแสงสีเขียวอีกสายหนึ่งก็พลิ้วไหว กลับเป็นชายชราแซ่เวิงที่อาศัยพลังของวายุอำพรางกายไว้
แต่ครานี้ทั้งสองล้วนมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนฉงน ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของหานลี่
หานลี่เองก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากขยับมุมปาก ก็ถ่ายทอดเสียงออกมาสองสามประโยคเพื่อชี้ตำแหน่งของตนเอง
แน่นอนว่าทั้งสองล้วนมีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ชายชราที่กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลับเปล่งแสงสว่างวาบมาทางหานลี่ แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้อสูรแมลงในระยะสิบจั้งอย่างหานลี่
เห็นได้ชัดว่าหากเข้าใกล้เกินไป เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะไม่ถูกพบตัว
กลับเป็นหญิงงามผู้นั้นที่คู่ควรกับการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา หลังจากที่ระงับสีหน้าตะลึงงันแล้ว คนก็ถอยมาอยู่ห่างจากอสูรแมลงอีกตัวไปห้าหกจั้ง แล้วถึงได้หยุดลงอย่างเงียบเชียบ
ครานั้นทั้งสามคนต่างยืนนิ่งไม่ขยับ มีเพียงเสียง “ซือๆ” ที่อสูรคลื่นทมิฬสองตัวกัดกินตะไคร่ดังออกมา
หานลี่แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ มือหนึ่งเปล่งแสงสีดำมะเมื่อม ตะปบไปทางอสูรแมลงที่อยู่ด้านล่างกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันพุ่งออกมาจากนิ้วทั้งห้า ภูเขาน้อยสีดำลุกหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเทา แล้วตกลงมา
อสูรแมลงที่อยู่ด้านล่างพลันตกตะลึง ร่างกายพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ ร่างกายเปล่งแสงสีฟ้าขาวสลับกัน
แต่กลับสายไปเสียแล้ว!
ระยะใกล้แค่นี้ ลำแสงสีเทาแค่สว่างวาบ ก็กวาดอสูรแมลงตัวนั้นเข้าไปข้างใน คลื่นทมิฬสองสีบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับพบกับดาวมฤตยูและถูกทำลายล้างในพริบตา
อสูรแมลงเห็นสถานการณ์ไม่ดี ร่างกายกลมๆ ของมันก็สั่นคลอน คลื่นที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิว และแผ่ไปรอบๆ ด้าน
หานลี่กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา นิ้วสีดำทั้งห้าประกบเข้าหากันเบาๆ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาที่อยู่ด้านล่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากเสียงกึกๆ ดังขึ้น ลำแสงสีเทาเจ็ดแปดลูกก็ทยอยกันพุ่งออกมาจากร่างของอสูรตนนั้น เมื่อระลอกคลื่นที่ไร้รูปร่างสัมผัสกับลำแสงสีเทาเหล่านั้น ชั่วขณะนั้นแต่ละชั้นก็ค่อยๆ บางเบาลง สุดท้ายก็สลายหายไปท่ามกลางลำแสงเทวะดูดปราณ
ร่างของอสูรคลื่นทมิฬบิดเบี้ยว ยังคิดจะสำแดงความสามารถอะไรต่อ แต่กลับมีเงาสีดำปรากฏขึ้นที่เหนือหัว
เสียง “ปัง” อันอึกทึกดังขึ้น กลายเป็นภูเขาสีดำขนาดประมาณเจ็ดแปดจั้ง ทุบลงมาที่ร่างอันอ้วนกลมของอสูรคลื่นทมิฬ จนมันไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าอสูรตัวนี้นั้นหนังหนาสมคำร่ำลือจริงๆ ท่ามกลางพลังมหาศาลขนาดนี้กลับไม่หากดเนื้อให้แหลกได้ และยังบิดตัวไปมาคิดหนีไม่หยุด
แต่ในตอนนั้นเองหานลี่พลันสะบัดมืออีกครั้ง เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป โจมตีไปยังตีนยอดเขาสีดำ
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น อสูรแมลงกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงโดยไม่อาจดิ้นรนได้อีกทันที
แน่นอนว่าอานุภาพของเพลิงกลืนวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่อสูรแมลงจะต้านทานได้
ตั้งแต่ที่หานลี่ลงมือจนถึงตอนที่กำจัดอสูรคลื่นทมิฬตัวนี้นั้นใช้เวลาไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น
เมื่อเขาจัดการทำอย่างเสร็จสิ้น ก็หันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง เห็นเพียงชายชราแซ่เวิงที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้ง กำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
เห็นได้ชัดว่าที่หานลี่กำจัดอสูรคลื่นทมิฬได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายตกตะลึง
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สายตาเหลือบมองไปที่อีกด้าน
เห็นเพียงอสูรแมลงอีกตัวหนึ่งกลายเป็นสองส่วน
หญิงสาวผู้งดงามผู้นั้นกำลังลอยอยู่เหนือร่างของอสูรแมลง เบื้องหน้ามีกระบี่สีแดงยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่งลอยอยู่ กำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าประหลาดเช่นกัน
“พี่โหยวจัดการอสูรแมลงสองตัวนี้ได้แล้ว รายงานเหล่าอาวุโสเถิด” หานลี่ค้อมตัวให้หญิงงาม แล้วเอ่ยกับชายชราด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! พี่หาน ท่านอาวุโสชิงโปรดรอสักประเดี๋ยว” ชายชราแซ่โหยวไม่ได้เผยสีหน้าไม่พอใจจากการถูกใช้งานออกมา แต่กลับตอบรับด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์ถ่ายทอดเสียงพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ คนอื่นๆ ก็ไล่ตามมาทัน
ชายหนุ่มผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากฟังชายชราอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดอีกครั้งแล้ว ก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ทันใดนั้นก็เอ่ยชมหานลี่และพวก และพาทุกคนเดินทางต่ออย่างไม่ยอมเสียเวลา
หานลี่เดินรั้งอยู่ที่ท้ายแถวอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่มองมากลับไม่เหมือนเดิมแล้ว การสังหารอสูรคลื่นทมิฬ ยังเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นปลายเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้
เซียนอิ๋งที่สวมผ้าคลุมหน้าและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวผู้มีร่างกายอรชรอ้อนแอ้นนั้นกลับทนไม่ไหวแอบลอบมองมาหลายครั้ง
หานลี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ และแค่เดินตามไปด้านหลังอย่างเงียบๆ เท่านั้น
เมื่อเดินผ่านทางเดินไปได้ไม่นาน หลังจากหักเลี้ยวไปรอบหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีเสียงธารน้ำไหลดังขึ้น ไอน้ำที่หนาแน่นและเย็นเยียบโชยมาปะทะกับใบหน้า
คาดไม่ถึงว่าเบื้องหน้าจะมีธารน้ำใต้ดินกว้างที่ยี่สิบสามสิบจั้งสายหนึ่ง กระแสน้ำที่ไหลวนอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไหลเชี่ยวเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านโปรดระวังให้ดี ข้ามลำธารนี้ไปก็จะเป็นรังของอสูรคางคกเที่ยงแท้ สถานการณ์ในรังนั้น ข้าก็ได้บอกเล่ากับทุกท่านแล้วว่าพวกเราจะรับมือได้อย่างง่ายดาย แต่อสูรแมลงเงาเหล่านั้นนั้นรับมือยากมาก ต้องอาศัยเหล่าสหายแล้ว” ชายหนุ่มแซ่จู้มองไปทางลำธาร แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่และพวกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอาวุโสจู้โปรดวางใจ! มีเขตอาคมอสนีสวรรค์ชำระทมิฬ ประกอบกับพี่หานและเซียนเสี้ยว แม้ว่าอสูรแมลงเงาจะมีชื่อเสียงแต่ก็ไม่อาจหนีรอดไปได้แน่” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่งตบที่อกของตัวเองเป็นการรับประกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่ได้รับธงอสนีสวรรค์ชำระทมิฬไปก็เอ่ยสนับสนุนอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หานลี่และสตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
แต่ชายหนุ่มแซ่จู้เห็นเช่นนั้น กลับพึงพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็พาหญิงงามล่วงหน้าลงไปในลำธาร
คนอื่นๆ ทยอยกันตามมาติดๆ
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกภูเขายักษ์ ชายชราและชายวัยกลางคนที่รับหน้าที่เฝ้าระวังซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเมฆสีขาวนั้น ก็กำลังสนทนาอะไรกันอยู่สักอย่างอย่างสบายใจ
“ผู้เฒ่าจ้าว เจ้าว่าท่านอาวุโสจู้และพวกน่าจะไปถึงรังของคางคกเที่ยงแท้แล้วกระมัง จุ๊ๆ คางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตโตเต็มวัยสองตัว ถึงแม้ว่าจำนวนคนจะมาก แต่โลหิตที่แบ่งกันก็คงได้กันไม่น้อย โลหิตของลูกอสูรตัวอื่นๆ แม้นว่าจะไม่ได้มีประโยชน์อย่างตัวที่โตเต็มวัย แต่ก็มีประสิทธิภาพอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่ไร้ค่าจริงๆ ที่พวกเราลำบากถ่อมาถึงที่นี่ แต่น่าเสียดายพวกเราสองคนถูกจัดให้อยู่ด้านนอก เกรงว่าจำนวนของโลหิตวิญญาณที่แบ่งให้ ก็คงน้อยสุดกระมัง” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนสวมชุดสีฟ้าก่นด่าชายชราชุดขาวที่อยู่ด้านข้าง
“หึๆ สหายสวินไม่พอใจ แต่อย่ามองแค่ข้อดีของคนที่เข้าไปในรังเลย ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถวายชีวิตไปก็ได้นะ” ชายชราผู้นั้นหัวเราะแห้งๆ ออกมา ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“เพลี่ยงพล้ำ? คงไม่หรอก! ข้าว่าพวกของท่านอาวุโสจู้เตรียมการอย่างรัดกุมเช่นนี้ น่าจะจัดการได้อย่างง่ายดายถึงจะถูก จะมีอันตรายอันใด?” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนย่นคิ้วท่าทีไม่เชื่อถือ
“ดูแล้วสหายสวินคงจะเข้ามาในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนนี้เป็นครั้งแรก สหายจำเอาไว้ให้ดีนะ ในแดนป่าเถื่อนนั้นไม่มีอะไรที่ปลอดภัยเต็มร้อย เทียบกับพวกเราที่คอยระวังภัยอยู่ที่นี่ หากมีอสูรโบราณหรือเผ่าประหลาดระดับเทพแปลงหรือระดับหลอมสุญตาฝูงใหญ่พุ่งออกมาจากเมฆก็อาจจะเป็นไปได้” ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ฮ่าๆ…ผู้เฒ่าจ้าวพูดเกินไปหน่อยกระมัง! ที่นี่ลึกลับขนาดนี้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ยิน กลับหัวเราะออกมายกใหญ่
ชายชรากลับสั่นศีรษะ ตอนที่ยังคิดจะเอ่ยอะไรอีกครั้ง ตรงข้ามกลับมีสิ่งแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
ลำแสงเปล่งประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่คอหอยของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นศีรษะพลันกลิ้งหลุนๆ ลงไป โลหิตพุ่งขึ้นไปสองสามฉื่อ
“แย่แล้ว!”
ชายชรากลับมีปฏิกิริยาที่ว่องไว แทบจะในเวลาเดียวกันที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ร่างกายก็พุ่งออกไป ในเวลาเดียวกันพลันสะบัดแขนเสื้อ โล่สีเขียวด้านหนึ่งพลันพุ่งออกมา กลายเป็นลำแสงห่อหุ้มร่างเอาไว้ชั้นหนึ่ง แล้วยังอ้าปากออก พ่นสายรุ้งสีเงินอีกสายออกมา โคจรอยู่รอบร่างกาย
แต่ทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งประโยชน์!
เหนือศีรษะของชายชราพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กรงเล็บยักษ์สีเขียวดำขนาดสองสามจั้งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ตะปบลงมาราวกับสายฟ้า รวบทั้งชายชราและเกราะป้องกันเอาไว้ในมือและออกแรงบีบ
ชั่วขณะนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าอนาถพลันดังขึ้น ชายชรากลายเป็นบ่อโลหิต คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ทารกวิญญาณก็ไม่อาจหนีออกมาได้
กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนไร้หัวที่ร่างกายสั่นเทา ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ด้านในมีทารกวิญญาณสูงสองชุ่น สองมือกำลังกอดสมบัติที่มีลักษณะเหมือนลูกธนูเอาไว้ คิดจะหนีไปด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
แต่ทารกวิญญาณเพิ่งจะเคลื่อนย้ายหนีไปได้สามสิบจั้งเศษ ก็มีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วม้วนทารกวิญญาณเข้าไปข้างใน แล้วพลิ้วไหวหายวับไปอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงระดับเทพแปลงสองคนถูกสังหารทิ้งไปเสียอย่างนั้น
ครู่ต่อมาลำแสงสีดำเขียวสองสีที่พลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นใกล้ๆ ฉับพลันนั้นกลางอากาศพลันมีเงาร่างยักษ์สองร่างใหญ่ร่างหนึ่งเล็กร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
ตนหนึ่งสูงสิบจั้ง ใบหน้าเขี้ยวคล้ำมีเขี้ยวงอกออกมา บนหัวมีเขาสองเขา ร่างกายใหญ่โตราวกับภูตผี อีกตนหนึ่งกลับมีความสูงแค่สองสามจั้ง แต่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่ง แต่มือหนึ่งกลับถือขวานยักษ์สีฟ้าที่สูงกว่านางเอาไว้ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
แผ่นหลังของทั้งสองกลับมีปีกเนื้อสีแดงสดอยู่คู่หนึ่ง ด้านบนเปล่งอักขระหลากสีสันประหลาดๆ ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบดูงดงามมาก
“ไม่เลว ทารกของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเป็นของชดเชยชิ้นใหญ่ดังคาด เจ้าระเบิดไปเสียเลย มันจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยกระมัง!” หญิงงามผู้ถือขวานอยู่กำลังลอยอยู่เหนือศพไร้หัวและกวาดสายตาไป แลบลิ้นสีแดงออกมา เอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ
“ช่วงนี้ข้ากำลังจะพัฒนา จึงควบคุมพลังไม่ค่อยสะดวกนัก อีกอย่างแค่ทารกวิญาณของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งจะมีค่าอะไร สิ่งที่พวกเราต้องตามหานั้น ต้องเป็นทารกของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ถึงจะเป็นของชดเชยชิ้นใหญ่ที่แท้จริง หากโชคดีได้กินทารกวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ พวกเราก็อาจจะพัฒนาจนไปถึงระดับราชันย์สามง่ามราตรีได้” ตัวประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์ตนนั้นกลับเปล่งเสียงอู้อี้ๆ ราวกับฟ้าคำรามออกมา