A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1397
พลานุภาพของการตัดภูเขา
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ไหนเลยจะกล่าวว่าสังหารก็สังหารได้เลย อย่างน้อยที่สุดเจ้ากับข้าร่วมมือกันก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ เอาล่ะ อย่าไร้สาระ ต้องรีบทำธุระให้เสร็จ ข้าไม่คิดว่าจะมาพบกับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรไวขนาดนี้ ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ไปอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี” สตรีวัยดรุณีกลับตัดความคิดเพ้อฝันของสหายร่วมทาง แล้วย่นคิ้วขณะเอ่ย
“นี่จะแปลกอะไร กว่าครึ่งคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เผ่ามนุษย์ส่งมาล่าสมบัติ ในเมื่อสังหารทิ้งแล้ว ภารกิจของเราก็เสร็จสมบูรณ์ ต่อให้มีปลาหลุดรอดแหไป ก็มอบให้คนที่อยู่ด้านหลังก็แล้วกัน พวกเรารับหน้าที่แค่กำจัดเป้าหมายที่ปรากฏตัวชัดเจนเท่านั้น” ภูตอัปลักษณ์กระพือปีกครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างโหดเ**้ยม
“นั่นมันก็ใช่ พวกเราไปกันเถิด อีกเดี๋ยวกองทัพก็น่าจะมาถึงแล้ว”
หญิงสาวผู้งดงามพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว หายวับไปจากที่เดิม ส่วนภูตอัปลักษณ์กลับอ้าปากออก ออกแรงสูด คาดไม่ถึงว่าจะดูดร่างไร้ศีรษะร่างนั้นเข้าไปในปาก เคี้ยวกร้วมๆ สองสามครั้ง แล้วกลืนลงไปในท้องทั้งหมด จากนั้นปีกยักษ์ที่แผ่หลังก็สยายออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศเช่นกัน
และจากที่เผ่าประหลาดสองตนจากไปได้ไม่นานนัก ฉับพลันนั้นขอบฟ้าก็มีเสียงกึกๆ ประหลาดๆ ดังมาก เริ่มจากเบาๆ ทันใดนั้นเสียงพลันดังขึ้นเรื่อยๆ ขอบฟ้ามีจุดสีดำปรากฏขึ้น สองจุด สามจุด…ชั่วพริบตาก็มีจุดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ปรากฏอยู่เต็มไปหมด กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าราวกับฝูงแมลงก็ไม่ปาน
จุดสีดำเหล่านี้มีนับพันนับหมื่นจุด แต่ทุกจุดล้วนมีความเร็วว่องไว ชั่วพริบตาก็เข้าใกล้ภูเขายักษ์
ครานี้พลันมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของจุดสีดำได้อย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนติดปิดเหมือนกับภูตยักษ์และสตรีก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งสองต่างเปลือยท่อนแขนและขา นอกจากจุดตายแล้วก็สวมอาภรณ์น้อยชิ้นมาก และเห็นได้ชัดว่าจำนวนของภูตยักษ์มีมากกว่าสตรีติดปีก ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมอยู่ด้วยกันพลางส่งเสียงร้องคำรามผ่านภูเขายักษ์ไป
เผ่าประหลาดติดปีกเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บินไปมาอยู่บนท้องฟ้าเป็นระลอกๆ ไม่หยุด หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ขอบฟ้าก็ยังคงมีจุดสีดำปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เสียงบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป นอกจากเสียงหึ่งๆ แล้วคาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงฟ้าร้องคำรามดังออกมา ทันใดนั้นขอบฟ้าก็มีสิ่งมหึมาราวกับขุนเขาปรากฏขึ้น
เจ้าสิ่งนี้มีความสูงสองสามพันจั้ง เป็นสีเหลืองอ่อน เป็นทรงกลมกรวยเหมือนรังผึ้ง หมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุด
เบื้องหน้าเจ้าสิ่งยักษ์นี้มีอสรพิษบินติดปีกเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ยี่สิบสามสิบตัว กำลังเลื้อยลากเจ้าสิ่งนี้ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้านข้างรังผึ้งมีเผ่าประหลาดติดปีกสวมชุดเกราะสงครามมือถือมีดยักษ์เป็นกลุ่มๆ กำลังห้อมล้อมเจ้าสิ่งยักษ์นี้ให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ของสิ่งนี้ดูเหมือนหนักอึ้งมาก แต่ความจริงแล้วกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คราที่บินผ่านภูเขายักษ์ที่มีพายุเฮอร์ริเคนนั้น ก็พัดหมอกวารีที่อยู่ด้านหลังออกไปไม่น้อย
การเคลื่อนไหวของ ‘รังผึ้ง’ ยักษ์ กลับทำให้อสูรวิหคสีขาวที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกด้านล่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นฝูงวิหคบินก็บินออกมาจากม่านหมอก อ้าปากออกพ่นธนูวารีสีดำเป็นสายๆ ออกมา
เมื่อเห็นฉากนี้เผ่าประหลาดสวมชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นก็ไม่ได้เกรงใจ แน่นอนว่าพลันโบกมีดยักษ์ในมือไปด้านล่าง ราวกับพยัคฆ์เข้าไปในฝูงแพะก็ไม่ปาน วิหคประหลาดทยอยกันบินหนีเข้าไปในหมอกด้านล่างอีกครั้ง
เผ่าประหลาดสวมชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นกลับไม่มีเจตนาจะสังหารอะไร แค่เก็บอาวุธมีดแล้วกลับไปกลางอากาศอีกครั้ง ติดตามสิ่งยักษ์ไปต่อ
‘รังผึ้ง’ ขนาดยักษ์หายวับไปจากจุดที่ไกลออกไป
บนขอบฟ้ามีของที่คล้ายกันอีกอันปรากฏขึ้น แต่ขนาดใหญ่กว่า ‘รังผึ้ง’ รังที่สอง และถูกเผ่าประหลาดฝูงใหญ่อีกฝูงปกป้องเอาไว้อย่างแน่นหนา
เช่นนั้นรังผึ้งยักษ์ชนิดนี้ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทุกอันล้วนมีขนาดมหึมา หลังจากบินผ่านไปได้เกือบร้อยอันในที่สุดก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก สิ่งที่มาแทนกลับเป็นฝูงอสูรโบราณที่มีรูปร่างแปลกพิสดาร
บ้างก็มีสามหัวสองปีก บ้างก็มีหัวเป็นมังกรหางเป็นวิหค บ้างก็มีร่างกายแค่สองสามฉื่อ แต่แผ่นหลังของอสูรโบราณเหล่านี้ รอบๆ ล้วนมีเผ่าประหลาดติดปีกคนหรือสองคนคอยควบคุมและบินไปมาไม่หยุดเต็มไปหมดมากกว่าสองสามหมื่นตัว
หลังจากอสูรโบราณเหล่านั้นบินไปแล้ว ขอบฟ้ากลับมีกระสวยยาวเปล่งประกายสีดำปรากฏขึ้น ความยาวยี่สิบสามสิบจั้ง หัวแหลมทั้งสองฝั่ง
กระสวยยาวเหล่านี้ไม่นับว่ามากมายนัก แค่พันกว่าลูก แต่ความเร็วของมันนั้นแค่กะพริบวาบ ก็มาถึงอีกฝั่งได้ของขอบฟ้าได้
เช่นนั้นชั่วครู่ กระสวยดำเหล่านั้นก็สลายหายไปจากบริเวณรอบๆ
ครานั้นขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
แต่ไม่นานนักขอบฟ้าก็มีลำแสงสว่างวาบ จุดสีดำเป็นฝูงๆ ปรากฏขึ้น หลังจากบินไปได้ชั่วครู่ มองเห็นใบหน้าชัดเจนแล้ว ก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
เห็นเพียงเผ่าประหลาดติดปีกเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเหมือนคนก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์เช่นกัน สตรีใบหน้างดงามดุจบุปผา แต่ตรงกลางของทุกฝูงจะมีเผ่าประหลาดขนาดยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งสองสามตัวปรากฏขึ้น ร่างกายใหญ่กว่าพวกเดียวกัน
บนร่างของเผ่าประหลาดเหล่านี้จะมีลวดลายโบราณสีทองบ้างเงินบ้างปรากฏอยู่ บางส่วนยังมีแม้กระทั่งเขากระดูกแหลมๆ ขนาดสูงยาวไม่เท่ากันปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ทุกตนดูเหมือนภูตผีที่ลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น
ความเร็วของเผ่าประหลาดฝูงนี้สู้คนในเผ่ากลุ่มแรกไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบินไปอยู่ใกล้ๆ หนึ่งในนั้นฝูงนั้นก็จะบินลงมาในทันที จากนั้นก็แตกกระจายออกพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง เผ่าประหลาดจำนวนไม่น้อยจมหายวับไปจากกลางอากาศ
เจ้ายักษ์สองตนของเผ่าประหลาดกลับลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ สีหน้าแข็งทื่อ
ตรงกลางของเจ้ายักษ์ทั้งสอง มีภูตอัปลักษณ์ติดปีกที่ร่างกายปกติอีกตนหนึ่ง สองแขนกอดอกลอยอยู่ตรงนั้น
คนผู้นี้ไม่เพียงจะมีปีกเนื้อที่มีขนาดใหญ่กว่าเผ่าประหลาดธรรมดาๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นดวงตายังเป็นสีทองอ่อน ผิวสีแดงสด แค่มองดูคนอื่นๆ ค้นหาอย่างเย็น แต่ครู่ต่อมา ไข่มุกสีทองพลันขยับ สายตาตกไปที่ภูเขายักษ์ที่สะดุดตามากเบื้องล่าง
ไม่นานนัก เผ่าประหลาดอื่นๆ นับร้อยตนก็บินกลับมาทั้งหมด ยืนประสานมือที่ด้านหน้าอยู่เบื้องหน้าเผ่าประหลาดยักษ์ตนนี้ ทุกตนล้วนมีท่าทีว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ
“มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสองคนที่ทัพแรกพบนั้น อยู่แถวๆ นี้ไม่ผิดแน่ใช่หรือไม่!” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“อรหันต์เมิ่งเสียง ข่าวที่ได้มาคือที่นี่ไม่ผิดแน่ แต่ในอาณาบริเวณสองสามร้อยลี้นอกจากภูเขาลูกนั้น ก็ค้นหาไปหมดแล้ว ไม่พบร่องรอยของเผ่าอื่นๆ ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นจะมีชีพจรศิลาแม่เหล็กแฝงอยู่ พวกเราจะไม่อาจตรวจสอบอย่างละเอียดได้” เผ่าประหลาดเพศหญิงวัยเยาว์ตนหนึ่งตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ชีพจรศิลาแม่เหล็ก! เช่นนั้นไม่ง่ายหรือ เปิดออกดูก็ได้แล้ว” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองหัวเราะอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ชูมือขึ้น ลำแสงสีแดงสดปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลูกบอลลำแสงสีแดงสดราวโลหิตกลุ่มหนึ่ง และค่อยๆ หดขยายกะพริบวาบๆ ไม่หยุด
นิ้วทั้งห้าประกบกัน เผ่าประหลาดผู้นี้ทำให้ลูกบอลลำแสงที่หมุนโคจรออยู่ในมือ ลอยพลิ้วขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง
ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากมือ และยิ่งไปกว่านั้นยังขยายใหญ่ขึ้นในทันทีจนมีขนาดมหึมา กว่าครึ่งของท้องฟ้าถูกสะท้อนจนเป็นสีแดง
เผ่าประหลาดเผ่านี้คว่ำฝ่ามือลงด้านล่าง แล้วลอยพลิ้วไปด้านล่างอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นยอดเขาพลันมีลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ทันใดนั้นทุกอย่างเป็นดังปกติ
และในตอนนั้นเอง เผ่าประหลาดยักษ์ขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ สองตนที่อยู่กลางอากาศพลันขยับแขนในมือพร้อมกัน แล้วทุบลงมาที่ภูเขายักษ์อย่างต่อเนื่อง
พลังมหาศาลไร้รูปร่างแทบจะฉีกชั้นบรรยากาศสองกลุ่มได้ปะทุออกมา แล้วผนึกรวมกันอีกครั้งด้วยพลังที่พลิกภูเขาพลิกทะเลได้ โจมตีไปยังยอดเขาด้านหนึ่งอย่างรุนแรง
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น ภูเขายักษ์ทั้งลูกเกิดเสียงอึกทึกขึ้น ยอดเขาครึ่งหนึ่งค่อยๆ ไถลลงมาราวกับเต้าหู้
……
หานลี่อยู่ภายในถ้ำมหึมาถ้ำหนึ่ง รอบกายมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงระยิบระยับ ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้จนไม่มีช่องโหว่โผล่ออกมา แต่สีหน้ากลับดูไม่ได้ จ้องเขม็งไปยังจุดที่ห่างออกไปเพียงเจ็ดแปดจั้ง
ตรงนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดสีเทาคนหนึ่งที่ร่างแยกออกเป็นสองส่วนนอนกองจมบ่อโลหิต ด้านข้างมีธงเล็กที่มีประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ด้านหนึ่ง
หานลี่รู้สึกหนาวสะท้าน
ชั่วพริบตาของเมื่อครู่พลันมีลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ร่อนลงตรงจุดที่ชายร่างใหญ่ล้มนอนกองอยู่ในบ่อโลหิต ผลคือกลายเป็นบ่อศพสองบ่อ
เช่นนั้นธงอาคมที่เดิมทีถืออยู่ในมือเพื่อสร้างเขตอาคมพลันเสื่อมประสิทธิภาพ เงาสีแดงทมิฬขนาดเท่ากำปั้นฝูงหนึ่งอาศัยจังหวะนี้หนีไปท่ามกลางลำแสงอัสนีทันที
หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา สตรีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เสี้ยวมือถือมีดหยดสีแดงสดด้ามหนึ่งเองก็ตะลึงงัน ในถ้ำอีกด้านที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง มีลำแสงสว่างวาบ เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ชายหนุ่มแซ่จู้กำลังพาผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนที่เหลือ ร่วมมือกันล้อมฝูงอสูรคางคกเที่ยงแท้ตาสีเขียวมรกตเอาไว้
ภายใต้ความคิดที่โคจรอย่างรวดเร็วของหานลี่ ตอนที่คิดจะกระตุ้นลำแสงเทวะดูดปราณให้ดูดแมลงเงาร้อยกว่าตัวเข้าไปข้างในเพื่อไม่ให้เงาสีแดงหนีไปได้นั้น ฉับพลันนั้นใต้ฝ่าเท้าพลันสั่นสะเทือน พื้นดินครึ่งหนึ่งของถ้ำพังทลายลง ในเวลาเดียวกันน้ำที่อยู่ใต้ดินภายในถ้ำพลันพวยพุ่งขึ้นมา คลื่นน้ำสูงสิบกว่าจั้งพลันทะลักออกมา ม้วนเข้ามาอย่างรุนแรง
ถ้ำทั้งถ้ำเริ่มแตกออกเป็นชุ่นๆ
หานลี่ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ภายใต้ความตกตะลึง สองมือพลันร่ายอาคมอย่างไม่ต้องคิด ลำแสงสีเทาบนร่างขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า คลื่นวารีกลืนกินร่างกายเขาเข้าไปภายในชั่วครู่…
หลังจากผ่านไปเวลาหนึ่งกาน้ำชา ลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกมาจากภูเขายักษ์ที่ยอดเขาเหลือเพียงครึ่งยอด
หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ชั่วขณะนั้นเงาร่างคนสิบกว่าสายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศต่ำๆ หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นพวกของชายหนุ่มแซ่จู้และหญิงงาม แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปด้านล่างแล้ว ก็พากันหน้าถอดสี
เห็นเพียงรอบๆ ด้าน มีคนของเผ่าประหลาดที่แผ่นหลังมีปีกสองข้างอยู่อย่างหนาแน่นเกือบร้อยคน กำลังจ้องเขม็งมายังพวกเขาตาเป็นมัน
กลิ่นอายของทุกคน แทบจะดูเหมือนว่าไม่ด้อยไปกว่าระดับเทพแปลง ระดับหลอมสุญตาขึ้นไปมีอยู่มากกว่าหกเจ็ดตน
“คนก็มีอยู่ไม่น้อย แต่มีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาแค่สองคน ข้าคร้านจะลงมือ มอบให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน จับเป็นได้ก็จับเป็น ไม่แน่ว่าอาจจะซักถามอะไรได้” เผ่าประหลาดดวงตาสีทองผู้นั้นมองพลังยุทธ์ของพวกชายหนุ่มแซ่จู้ออกในปราดเดียว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทันใดนั้นพลันสะบัดปีก มันหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาก็มาปรากฏห่างออกไปร้อยจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบอีกสองครั้ง แล้วหายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
เผ่าประหลาดที่โจมตีแยกภูเขาหมื่นจั้งตนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะถอนกำลังออกไม่สนใจเรื่องนี้เลยจริงๆ