A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1402
สตรีแซ่เสี้ยวทะลวงเข้าไปในเขตอาคมลำแสงยักษ์แล้ว ชั่วขณะนั้นเขตอาคมลำแสงทั้งเขตก็เปล่งเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นสองสามเท่า เในเวลาเดียวกันรอบด้านเกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้น
อากาศภายใต้เขตอาคมลำแสงยักษ์ที่ปกคลุมอยู่เริ่มบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมส่งตัวกำลังจะเริ่มแล้ว
กระบี่บินทั้งหมดที่วางเขตอาคมไว้ก็ทยอยกันคืนสภาพเป็นกระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มในชั่วพริบตาที่ทาสพุ่งออกจากเขตอาคมกระบี่ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับเข้าไปในร่าง
แต่ครานี้เป็นเพราะชั้นบรรยากาศที่บิดเบี้ยว หานลี่ที่กลายเป็นลำแสงสีเขียวพลันหยุดชะงัก ความเร็วอดที่จะช้าลงสองสามเท่าไม่ได้
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่ทันได้สยายปีกวายุอัสนีที่หลอมขึ้นใหม่ที่แผ่นหลังออก การโจมตีของราชันย์สามง่ามราตรีก็มาอยู่เบื้องหน้า
พลังของกำปั้นที่มีเสียงร้องคำรามตามมาด้วย กลายเป็นกำปั้นเงายักษ์สีเขียวมรกตโจมตีไปยังเขตอาคมลำแสง หานลี่จึงตกอยู่ในอานุภาพของมันอย่างพอดิบพอดี
หานลี่รู้ดีว่าหากไม่รับมือการโจมตีครั้งนี้ก่อน คงไม่อาจหนีไปได้ ทันใดนั้นจึงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง สองมือชูขึ้น ลำแสงสีทองเงินสิบกว่าลูกพุ่งออกมาทันที แล้วถึงสะบัดปีกของตนเองที่แผ่นหลัง คนก็เปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาก็ปรากฏอยู่ห่างจากใจกลางของเขตอาคมลำแสงไปแค่คืบ ร่างกายพลิ้วไหว จมหายเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ครานี้ลำแสงสีโลหิตอีกสายหนึ่งที่ตามมาด้านหลังก็เปล่งแสงสว่างวาบ สับลงไปที่มุมหนึ่งของเขตอาคมลำแสงขนาดยักษ์
ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองเงินเหล่านั้นพลันโจมตีไปยังกำปั้นเงา ทั้งสองระเบิดออกพร้อมกัน
ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ สับลงไป คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขตอาคมลำแสงขนาดใหญ่เปิดแยกออก
เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอีกเสียงดังขึ้น เมฆอัสนียักษ์สีทองเงินกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น กว้างถึงร้อยจั้ง แยกออกมีพายุเฮอร์ริเคนพวยพุ่งขึ้นมา
ชั่วพริบตาพายุเฮอร์ริเคนก็กลืนกินทุกอย่างเข้าไปข้างใน
ขอบของเมฆอัสนีมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ร่างของราชันย์สามง่ามราตรีสองตนปรากฏขึ้นอีกครั้ง เผชิญหน้ากับการโจมตีที่มีอานุภาพมหาศาลเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสิบกว่าคน แม้ว่าจากความสามารถของพวกเขาแล้วจะต้องจำใจหลบหลีกไปชั่วคราว ทำให้แผนเดิมของพวกเขาที่คิดจะเคลื่อนย้ายเข้าไปตะปบพวกของหานลี่ในเขตอาคมลำแสงถูกขจัดไป
ภายใต้การขวางกั้นของเมฆอัสนี ลำแสงสว่างวาบพลิ้วไหวท่ามกลางเขตอาคมลำแสงที่อยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็กะพริบวาบสองสามครั้ง เขตอาคมลำแสงทั้งเขตแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หายวับไปจากกลางอากาศ
ภายใต้การร่วมมือของราชันย์สามง่ามราตรีสองตน ชั่วครู่ก็สลายการโจมตีของเมฆอัสนีสีทองเงินออก จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นด้านล่างของใจกลางเขตอาคมลำแสง
ตรงนั้นมีเพียงจานอาคมสีขาวที่ผิวมีร่องรอยปริแตกอยู่จานหนึ่ง ลอยอยู่ตรงนั้นอย่างไร้ซึ่งไอวิญญาณ
ราชันย์สามง่ามราตรีคนหนึ่งดูดจานอาคมจานนั้นเข้ามาในมือ พิจารณาอยู่นานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็โยนไปให้ราชันย์สามง่ามราตรีอีกคนหนึ่งโดยไม่ปริปากใดๆ
“ด้านในมีไอวิญญาณเที่ยงแท้อยู่เล็กน้อย ดูแล้วพวกเราคงดูถูกมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนั้นไปหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถส่งตัวเปล่าๆ ไปได้ไกลขนาดนี้” ราชันย์สามง่ามราตรีด้านหลังมองจานอาคมเสร็จแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึง โชคดีที่การโจมตีสุดท้ายของข้า สะเทือนเขตอาคมส่งตัวของมัน พวกมันจะส่งตัวออกไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจจะตกไปในรอยแยกของมิติเวลาแล้วหายสาบสูญไปจากแดนนี้ก็เป็นได้” สามง่ามราตรีนามว่าราชันย์อมตะ กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาขณะเอ่ย
“ก็มีเพียงต้องคิดเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าทาสของพวกเราสองคนถูกส่งตัวไปที่ใด คิดจะตามกลับมาคงยากหน่อยจริงๆ” ราชันย์วัฏสงสารพลันขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พยักหน้าขณะเอ่ย
“ไม่มีอะไร ทาสของเจ้ากับข้าไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เบิกเนตร ขอแค่ไม่ได้ส่งตัวไปแดนอื่น คงจะหาวิธีกลับมาหาเราสองคนเอง แต่ว่าเรื่องร่วมมือกันที่พวกเราเคยคุยกันก่อนนะจำต้องหยิบออกมาใช้แล้ว มิเช่นนั้น…”
แม้นว่าราชันย์สามง่ามราตรีสองคนจะรู้สึกประหลาดใจที่หานลี่และพวกหนีออกไปได้ แต่ก็โยนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นถึงปรึกษากันเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า
ห่างจากกองทัพเผ่าสามง่ามราตรีไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ กลับยังคงตรงไปยังที่ตั้งของเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่…
หานลี่รู้สึกเพียงว่าปวดหัวอย่างรุนแรง หน้ามืดวิงเวียน จากความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขาคาดไม่ถึงว่าหลังจากส่งตัวมาแล้วจะรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ นั่นหมายความว่าการส่งตัวในชั่วพริบตาเมื่อครู่จะต้องเป็นการส่งตัวที่ไกลมากครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
หลังจากที่หลับตาทั้งสองข้างอยู่ชั่วครู่ หานลี่ถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นกวาดมองไปรอบๆ
ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นกองหินระเกะระกะกองหนึ่ง ใต้ดินทุกแห่งล้วนเป็นก้อนหินกลมๆ ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน สีเทาขาว
รอบด้านไม่ไกลนักล้วนเป็นหมอกสีเทา ไม่อาจมองออกไปได้ไกลนัก
ในหัวยังคงมีเสียงวิ้งๆ ไม่รู้ว่าที่นี่มีเขตอาคมอะไร หรือว่าเขายังไม่หายจากการถูกส่งตัวระยะไกล จึงไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกไปจากร่างได้
ขมวดคิ้วมุ่นหานลี่หันศีรษะไปรอบๆ ด้าน แววตามีแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบในเวลาเดียวกัน
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี สองมือพันร่ายอาคมกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะลวงเข้าไปในม่านหมอก
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หานลี่ที่เอามือไพล่หลังปรากฏตัวขึ้นด้านข้างลำธารเล็กๆ กว้างสองสามจั้ง มองไปยังน้ำใสๆ ใต้ฝ่าเท้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
มือหนึ่งตะปบไปด้านล่าง ชั่วขณะนั้นวารีกลุ่มเล็กๆ พลันพูดดูดขึ้นมา กลายเป็นลูกบอลวารีขนาดเท่ากำปั้น ลอยพลิ้วอยู่บนฝ่ามือ
หานลี่ตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าวารีนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้อ้าปากออก ลูกบอลวารีกลายเป็นสายน้ำสายหนึ่งถูกดูดเข้าไปในปาก
รสชาติหวานล้ำมาก
หานลี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตอนที่กำลังคิดจะตักน้ำในลำธารขึ้นมาอีกครั้ง กลับขมวดคิ้วมุ่น อีกมือหนึ่งกำหมัดแน่นขณะโจมตีไปยังกลางอากาศ
พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างไล่ตามไป
เสียง “ตูม” ดังขึ้น หมอกด้านหลังหมุนวน พลังมหาศาลราวกับโจมตีเข้ากับอะไรสักอย่าง ไม่เพียงจะมีเสียงถอยร่นฝีเท้าไปจะดังขึ้น มีเสียงแค่นเสียงดังขึ้นอีกสองสามเสียง
ร่างของหานลี่ลางเลือนไปเล็กน้อย คนกลับหัวกลับหางราวกับผี สะบัดแขนไปทางหมอกด้านหลัง
และไม่รู้ว่าเขาสำแดงอาคมอะไร วายุบ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นเบื้องหน้าในระยะยี่สิบสามสิบจั้งหมอกสีเทาพลันถูกพัดและกระจายออก เผยร่างของตัวประหลาดสูงสองสามจั้งออกมา
ถึงแม้ว่าหานลี่จะมีความรู้มากมาย แต่เมื่อเห็นรูปร่างของเจ้าตัวประหลาดชัดเจน ก็ยังตะลึงงัน
ตัวประหลาดเบื้องหน้าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ตาเล็กปากยาว หัวเป็นหมูตัวเป็นคน ท่อนบนสวมเกราะเต่าสีเขียวปกป้องร่างกายเอาไว้
ครานี้แขนขาทั้งสี่ของตัวประหลาดพลันหงายท้องชี้ฟ้า เห็นได้ชัดว่าถูกกำปั้นเมื่อครู่ของหานลี่ต่อยจมล้มหงาย ปากก็เปล่งเสียงร้องพยายามดิ้นรนไปมาไม่หยุด
แต่จากกระดองเต่าที่โค้งนู้น แขนขาทั้งสี่สั้นกว่าคนปกติครึ่งหนึ่ง กลับไม่อาจพลิกตัวกลับได้ในทันที ท่าทางเหมือนตะขาบยักษ์หงายท้องอย่างไรอย่างนั้น
“ปีศาจตะพาบหมู”
ลำแสงวิญญาณบนหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบ ในหัวมีคำประหลาดๆ ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตนเองก็ทนไม่ไหวหัวเราะเบาๆ ออกมา
กลิ่นอายบนร่างของปีศาจหมูตนนี้ไม่แข็งแกร่งนัก และน่าจะมีพลังยุทธ์เทียบเท่ากับมนุษย์ระดับฝึกปราณ
กลิ่นอายที่อ่อนแอเช่นนี้ แน่นอนว่าหานลี่จึงรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ปีศาจหมูที่ค่อนข้างประหลาดตัวนี้รับการโจมตีด้วยพลังมหาศาลเมื่อครู่ของตนเองได้อย่างไร
แววตาเปล่งประกาย ตกลงบนกระดองเต่าบนร่างของปีศาจหมู ทรวงอกของกระดองเต่ามีรอยกำปั้นลึกลงไปสองสามชุ่น
หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน มือหนึ่งตะปบไปทางเขากลางอากาศ
ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ มือสีเขียวขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นเหนือปีศาจหมู ตะปบไปด้านล่าง คว้าที่ขอบของกระดองเต่าเอาไว้ แล้วยกปีศาจหมูขึ้น
หานลี่ยังไม่ได้ตรวจสอบกระดองเต่าอย่างละเอียด ปีศาจตะพาบหมูกลับหดตัวอย่างชาญฉลาด ชั่วครู่ก็ร่วงลงมาจากกระดองเต่า กลายเป็นหมูป่าสีน้ำตาล กระโจนเข้าไปในหมอกแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาในมือจึงเหลือเพียงกระดองเต่าที่ว่างเปล่า หลบหนีไปโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
หานลี่มุมปากกระตุก รู้สึกหมดคำพูดไปเล็กน้อย
จากความเร็วในการหลบหนีของปีศาจหมู การแกล้งทำเป็นลุกขึ้นจากพื้นไม่ได้เมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าจะใช้เพื่อตบตาศัตรู
ปีศาจตะพาบหมูดูเหมือนจะโง่เขลา แต่กลับเจ้าเล่ห์เพทุบาย เกรงว่าคงจะมีสติปัญหาไม่ต่ำต้อย
ระดับฝึกปราณคนหนึ่ง แน่นอนว่าหานลี่ไม่มีทางสนใจมากนัก จึงขี้เกียจจะไล่ตามไป แค่ดึงกระดองเต่ามาไว้เบื้องหน้า พลิกไปพลิกมาพลางสังเกตอย่างละเอียด ใบหน้าค่อยๆ เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ทว่ากระดองเต่ายักษ์อายุสองสามร้อยปี คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกำปั้นของข้าได้ นี่คือกระดองเต่าชนิดไหน ช่างมหัศจรรย์นัก” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็เก็บกระดองเต่าเข้าไปในกำไลเก็บของชั่วคราว
จากนั้นหานลี่ก็ไม่ได้เสี่ยงไปที่ใดอีก จึงนั่งสมาธิลงข้างลำธาร หลับตาทั้งสองข้างลง
ลำธารน้อยเงียบสงัด แต่ไอหมอกด้านข้างกลับเริ่มบางเบาลง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อไอหมอกแตกกระจายออก ด้านข้างลำธารมีอสูรฝูงหนึ่งที่คล้ายกับกวางและคล้ายกับม้ารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กำลังแลบลิ้นกินน้ำอยู่ข้างลำธาร ลูกอสูรสองสามตัวหนึ่งในนั้นมีขนาดสองสามฉื่อ กำลังหยอกล้อเล่นกันอยู่อย่างคึกคัก
นั่นเป็นเพราะหานลี่เก็บกลิ่นอายเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนก้อนหินที่ไม่ดึงดูดสายตาของอสูรฝูงนี้เลยสักนิด แม้กระทั่งมีลูกอสูรตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาหาเขา
ลูกอสูรตัวนี้ดูเหมือนจะสัมผัสอะไรได้ มันหันกายมาใช้ดวงตาอันสวยงามสีฟ้าอ่อนจับจ้องหานลี่ จากนั้นก็วงรอบหานลี่สองสามครั้งด้วยความสงสัยใคร่รู้ ยื่นหัวที่มีขนปุกปุยมาดมหน้าของหานลี่ฟุตฟิตๆ แล้วทนไม่ไหวยื่นลิ้นสีชมพูออกมาเลีย
ฉับพลันนั้นดวงตาของหานลี่พลันเบิกตาขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน อสูรน้อยกลับมีปฏิภาณไหวพริบว่องไวมาก ชั่วขณะนั้นพลันกระโดดถอยกลับไปด้วยความตกใจ คิดจะหนี แต่ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งประกาย ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของหานลี่ พุ่งเข้าไปในปากของอสูรน้อยอย่างแม่นยำ และยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นกลิ่นหอมฟุ้งไหลเข้าไปในปากของอสูรน้อย
ในเวลาเดียวกันเสียงที่ราบเรียบของหานลี่พลันดังขึ้นในหูของอสูรน้อย
“ในเมื่อเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกร ยาเบิกเนตรเม็ดนี้มอบให้เจ้าก็แล้วกัน แต่วันข้างหน้าจะเบิกเนตรได้จริงๆ หรือไม่ ก็แล้วแต่บุญวาสนาของเจ้าแล้ว”
เสียงนี้กลับทำให้อสูรน้อยตกใจจนเปล่งเสียงร้องคล้ายๆ แพะออกมา ชั่วขณะนั้นอสูรโตเต็มวัยตัวอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ จึงพบการดำรงอยู่ของหานลี่ ทันใดนั้นจึงเคลื่อนไหวทันที ล้อมรอบอสูรน้อยสองสามตัวเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นก็ใช้เขาแหลมๆ บนหัวชี้มาทางหานลี่อย่างตื่นตระหนก
หานลี่ยังคงนิ่งงันอยู่ที่เดิม แค่จ้องเขม็งไปยังอสูรน้อยตัวนั้นสองครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง แล้วไม่สนใจฝูงอสูรฝูงนั้นอีก