A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1407
“พวกเจ้ามีวิธีจับเป็นแมลงผลึกกระดูกทอง?” สีหน้าของหานลี่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ชั่วขณะนั้นในใจพลันรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
“ใช่แล้ว พวกเรามาจากเผ่าอสูรสว่าง ขอแค่ฝึกฝนจนบรรลุ ก็สามารถแยกแมลงผลึกนี้ออกจากแร่หินจำนวนนับไม่ถ้วนได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีวิธีทำให้แมลงชนิดนี้ไม่กลายเป็นผลึกศิลาด้วย” อสูรน้อยเอ่ยอย่างทระนงตน
“เยี่ยม เยี่ยมมาก แต่แค่จุดนี้ข้าก็พอจะปล่อยพวกเจ้าที่มาหาเรื่องข้าไปได้ ดอกกระดิ่งพฤกษานี้มอบให้พวกเจ้า!” หานลี่ฉีกยิ้มสีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย! มีเงื่อนไขอะไรหรือ?” อสูรน้อยกลับชาญฉลาด ตอนแรกก็ดีใจ แต่ทันใดนั้นกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
“ง่ายมาก พวกเจ้าต้องการดอกกระดิ่งพฤกษาเท่าไหร่ ข้าก็จะให้พวกเจ้าเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทุกๆ ดอกจะต้องเอาแมลงผลึกกระดูกทองมาแลกกับข้าหนึ่งคู่? นอกจากนี้ทรายปะการังทองตัวเมียที่พวกเจ้าใช้บวงสรวง ข้าก็สนใจเช่นกัน ใช้ทรายนี้แลกกับดอกกระดิ่งพฤกษาดอกหนึ่งเช่นกัน” หานลี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“แมลงผลึกคือของบวงสรวง พวกเรามีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมอบให้ท่านเป่ากวงสิบคู่” อสูรน้อยหัววัวกลอกตาไปมา ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นมา
“ท่านเป่ากวง? แค่อสูรทะเลที่เพิ่งแปลงกายได้หนึ่งตนเท่านั้น ในเมื่อข้าอยากได้แมลงวิญญาณชนิดนี้ แน่นอนว่าก็ต้องกำจัดมัน ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวเจ็ดวัน จากนี้อีกสามวันให้มาแลกดอกกระดิ่งพฤกษาที่ถ้ำพำนักข้า หากไม่มาล่ะก็ หึๆ…” หานลี่หัวเราะอย่างชั่วร้าย สะบัดแขนเสื้อ พายุอ่อนๆ ปรากฎขึ้นในบริเวณนั้น คนก็หายวับไปจากกลางอากาศ
อสูรน้อยหัววัวและงูเหลือมยักษ์สามหัวพลันตะลึงงัน แล้วถึงได้พบว่าเส้นไหมสีแดงที่แต่เดิมรัดพวกมันเอาไว้หายไปด้วย
อสูรทั้งสองได้รับอิสระ ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หัวทั้งสามของงูเหลือมยักษ์สามหัวก็มองไปรอบๆ หัวงูเหลือมตรงกลางกระพริบดวงตาสีเขียว เอ่ยกับอสูรน้อยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“คนผู้นั้นจากไปแล้วจริงๆ หรือ?”
อสูรน้อยหัววัวได้ยินพลันลังเลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็อ้าปากออก พ่นไข่มุกสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมา
หลังจากที่ไข่มุกเม็ดนี้หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ ก็เปล่งแสงสีเขียวชั้นหนึ่งออกมา ห่อหุ้มอสูรทั้งสองเอาไว้ข้างใน
“ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว หลังจากที่ข้าใช้แก่นอสูรวางเขตอาคมกั้นเสียง หากคนผู้นั้นใช้จิตสัมผัสแอบฟังล่ะก็ จะต้องถูกข้าพบเข้าแน่” อสูรน้อยกระพริบดวงตาสีเขียว แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
อสูรสามหัวได้ยินพลันรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามว่า
“พวกเราต้องแลกดอกกระดิ่งพฤกษาจริงๆ หรือ?”
“สิ่งของบวงสรวงไม่ใช้เรื่องของพวกเราแค่สองคน ยังต้องไปปรึกษาสหายผู้อื่นด้วย แต่หากอยากรอดจากการบวงสรวงครั้งนี้ เกรงว่าก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว” อสูรน้อยหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“แมลงผลึกกระดูกทองและทรายปะการังทองตัวเมียเองก็เป็นสิ่งที่หายากมาก หากเอาออกมาแลก ครั้งต่อไปก็ไม่มั่นใจว่าจะรวบรวมได้อีกครั้งหรือไม่” งูเหลือมยักษ์เอ่ยเตือนสติ
“ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แมลงผลึกและทรายปะการังทองตัวเมียเป็นสิ่งที่หายากยิ่ง แต่ขอแค่พวกเราเสียเวลาสักหน่อย สุดท้ายก็หาเจอ ส่วนดอกกระดิ่งพฤกษานั้น เผ่าวิหคสวรรค์ต้องการจำนวนมาก ที่อื่นๆ ก็แห้งเหือดไปแล้ว มีเพียงบนภูเขาที่คนผู้นี้อาศัยอยู่ถึงจะรวบรวมได้ครบจำนวน” อสูรน้อยหัววัวเองก็จนปัญญาไปเล็กน้อย
“เช่นนั้นไม่สู้รอให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์ฝูงนั้นมารับของบวงสรวง และรายงานเรื่องนี้กับพวกมัน ให้พวกมันจัดการคนประหลาดผู้นี้จะดีกว่าหรือ” หลังจากที่งูเหลือมสามหัวสะบัดหัวไปมา ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“หึ อย่าคิดอะไรบ้าๆ หรือว่าเจ้าลืมการสั่งสอนในครั้งนั้นไปแล้ว ต่อให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์สังหารคนผู้นี้ แต่ก็เอาดอกกระดิ่งพฤกษาบนภูเขาไปหมดอยู่ดี การบวงสรวงที่ควรแลกเปลี่ยน ก็จะลดลงเพราะเหตุนี้ หากบอกความจริงกับพวกมัน ดอกกระดิ่งพฤกษาก็จะหายไปจากภูเขาเฮยอิ่น พวกเผ่าวิหคสวรรค์จะปล่อยพวกเราไว้หรือ? ส่วนการบวงสรวงให้เผ่าวิหคสวรรค์ในอดีต ขอแค่มีดอกกระดิ่งพฤกษาเพียงพอ ของอื่นๆ ขาดไปเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจส่งรายงานครั้งนี้ได้ แต่ตรงกันข้าม หากจำนวนของดอกกระดิ่งพฤกษาขาดไป วัตถุดิบอื่นๆ ในการบวงสรวงมีมากขนาดไหน ก็ไม่มีผลดีแน่ ดอกกระดิ่งพฤกษาดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญต่อคนของเผ่าวิหคสวรรค์มาก หากไม่ใช่เพราะเผ่าวิหคสวรรค์กวาดกลัวหมอกยมโลหิตทมิฬมาก จนไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานนัก ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะส่งคนมาอยู่อาศัยที่นี่เองแล้ว” อสูรน้อยหัววัวเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้รับมือกับครั้งนี้ไปได้ การบวงสรวงครั้งต่อไปก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่อาจรับมือได้ ถึงครานั้นจุดจบก็ไม่เหมือนกันหรือ ต้องเข้าใจว่าพวกเราล้วนถูกเผ่าวิหคสวรรค์ลงเครื่องทาสเอาไว้ หากออกจากที่นี่ในระยะพันลี้ จะระเบิดตนเองตายในทันที” งูเหลือมยักษ์สามหัวกลับเอ่ยอย่างร้อนรนออกมา
“จุดนี้ข้ารู้อยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ หรือว่าเจ้าลืมคำสัญญาที่อรหันต์ในหมอกยมโลกทมิฬสัญญากับพวกเราไปแล้ว ขอแค่แอบมอบศิลาวิญญาณร้อยปีให้เขาอีกครั้ง เขาก็น่าจะบรรลุอรหันต์ได้ และสามารถกำจัดเครื่องหมายทาสของพวกเราได้ ถึงครานั้นก็หนีไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” อสูรน้อยหัววัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แต่ท่านผู้นั้นจะพึ่งได้จริงๆ หรือ อย่าลืมล่ะ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยเป็นอาวุโสของภูเขาเฮยอิ่น แต่หลังจากตอนนั้นที่เขาหนีเข้าไปในหมอกยมโลกทมิฬ ก็กลืนโครงกระดูกภูตยักษ์โบราณลงไป จนกลายเป็นครึ่งภูตครึ่งปีศาจแล้ว หากถึงครานั้นมันเกิดกลายพันธุ์อะไรอีก…” งูเหลือมสามหัวกลับลังเล
“อันใด พี่ฮัวกังวลว่าคนผู้นั้นจะไม่รักษาสัญญางั้นหรือ? จุดนี้วางใจเถิด อาวุโสผู้นี้มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าอสูรสว่าง และมีความแค้นกับเผ่าวิหคสวรรค์ ไม่ว่าอยางไร ก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเรา อีกอย่างพวกเราก็ส่งศิลาวิญญาณสองสามร้อยปีไปให้เขา มันมีประโยชน์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขา ครานี้จะบรรลุแล้ว จะมีทางเลือกอื่นหรือ?” อสูรน้อยสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง
“ผู้แซ่ฮัวอาจจะกังวลมากไป ทว่าในหมอกยมโลหิตทมิฬมีอะไรอยู่กันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์หวาดกลัวถึงเพียงนี้ อรหันต์ผู้นั้นเคยพิสูจน์แล้ว” งูเหลือมยักษ์เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“เปล่า แต่ในนั้นต้องมีตัวประหลาดอะไรแน่ แม้ว่าความสามารถของอรหันต์ในตอนนี้จะทำได้เพียงอาศัยอยู่ที่ขอบของหมอกยมโลกทมิฬ ไหนเลยจะกล้าไปที่ใจกลาง แต่หมอกยมโลกทมิฬเหล่านี้อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าเผ่าวิหคสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็แทบจะควบคุมเผ่าวิหคทั้งหมดแล้ว” อสูรน้อยหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ ไม่ว่าในหมอกยมโลกทมิฬจะมีอะไร ก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราทั้งนั้น จากพลังยุทธ์ของพวกเราหากเข้าไปในม่านหมอก ก็คงถูกดูดเลือดเนื้อไปในครู่เดียว กลายเป็นโครงกระดูกแห้งกรัง” งูเหลือมยักษ์สามหัวพยักหน้า
ทันใดนั้นหลังจากที่อสูรน้อยและงูเหลือมยักษ์ปรึกษากันเสร็จแล้ว ก็เก็บแก่นปีศาจ กลายเป็นพายุปีศาจสองกลุ่มบินไป
ในตอนที่อสูรทั้งสองเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน รอบๆ ก็มีระลอกคลื่นปรากฎขึ้น เงาร่างคนสีเขียวจางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหานลี่ที่ควรจะออกไปตั้งนานแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองอสูรทั้งสองที่ห่างออกไปแวบหนึ่ง ฉีกยิ้มแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตะปบไปกลางอากาศตรงที่อสูรสองตนนั้นเคยหยุดอยู่
ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แมลงน้อยสีทองขนาดเท่าเล็บปรากฎขึ้น เห็นได้ชัดว่าคือแมลงกลืนทองที่มีขนาดเล็กลงสิบเท่า
แมลงตัวนั้นสยายปีกออก บินมาอยู่ตรงกลางฝ่ามือของหานลี่
หานลี่ชี้นิ้วไปที่แมลงวิญญาณ ส่วนตัวเองก็หลับตาทั้งสองข้างลง ชั่วขณะนั้นก็ดึงจิตสัมผัสมาจากแมลงกลืนทองที่อยู่ใกล้ๆ บทสนทนาของอสูรน้อยและงูเหลือมสามหัวดังสะท้อนอยู่ในใจของเขา
“หมอกยมโลกทมิฬ ครึ่งภูตครึ่งปีศาจ เครื่องหมายทาส? น่าสนใจดีนี่ หากคนของเผ่าวิหคสวรรค์ ไม่มีทางอยู่บนเกาะนี้ได้นานล่ะก็ ขอแค่ไม่ได้อยู่ในระดับหลอมร่าง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอสูรปีศาจระดับต่ำสองสามตนนี้จะสามารถจับแมลงผลึกกระดูกทองที่เป็นยาอายุวัฒนะได้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่อาวุโสระดับหลอมร่างในเมืองเทวะสวรรค์เหล่านั้นยังไม่อาจตามหาได้ มีมันคอหาสมุนไพรชนิดอื่น ประกอบกับพระธาตุวัชระในร่างกายข้า ก็สามารถเรียนวิชาวัชระของสำนักพุทธได้ และสามารถทำให้เคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์ทธิ์ผนึกรวมกันกลายเป็นร่างที่แท้จริงได้ หึๆ ส่วนทรายปะการังทองตัวเมียนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในตอนนี้ หากนำมันมาบดผสมเข้าไปในเลือดเนื้อ ก็เพียงพอจะทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นแล้ว…” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค แล้วหัวเราะยินดีออกมา
ชั่วครู่หานลี่ก็หยุดหัวเราะ แล้วนึกอะไรขึ้นได้ หลังจากมุมปากกระตุก ฉับพลันนั้นเงาลวงตาของวิหคยักษ์และหงส์ห้าสีที่แผ่นหลังก็เปล่งแสงสว่างวาบ ปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฎขึ้น
แต่แค่ปีกคู่นี้ขยับเล็กน้อย ร่างกายของหานลี่ก็เปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตาออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างกลายเป็นเส้นไหมแวววาวสายหนึ่งพุ่งออกไป
ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีรอยแยกสีเขียวขาวยาวๆ สายหนึ่งปรากฎขึ้น ราวกับว่ากรีดผ่านกลางอากาศ พุ่งออกมาตรงไปยังขอบฟ้า
ครู่ต่อมารอยแยกยาวพลันมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมผลึกปรากฎขึ้นตรงนั้น เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วจมหายเข้าไปในขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
ขณะที่หานลี่กำลังกระตุ้นปีกวายุอัสนีที่ปลายเป็นสมบัติวิญญาณแล้วอยู่นั้น ความเร็วก็มากกว่าปกติถึงสองสามเท่า แค่สองวันกว่าๆ ก็บินออกมาจากเกาะ ปรากฎตัวบนผิวน้ำห่างจากเกาะไปสองสามหมื่นลี้
มหาสมุทรผืนนี้มีกลุ่มปะการังน้อยใหญ่รูปทรงต่างๆ เรียงรายอยู่ ใหญ่หน่อยมีขนาดเท่าเกาะเล็ก เล็กหน่อยมีขนาดเท่าคนยืนได้
หานลี่กอดอกลอยอยู่กลางอากาศเหนือกลุ่มปะการังขนาดสองสามหมู่ แววตาตเปล่งประกายแวววาว
ที่นี่คือถ้ำพำนักของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเป่ากวง ซึ่งเขารู้มาจากการใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณ
ท่านผู้นี้เป็นแค่อสูรปีศาจระดับแปดที่เพิ่งแปลงกายเท่านั้น พัดหลงมาจากที่อื่นเมื่อสองร้อยปีก่อน และได้กินอสูรทะเลระดับต่ำและกลางรอบๆ ไปเจ็ดแปดตัว แล้วถึงอาศัยอยู่ที่นี่
พวกอสูรน้อยหัววัวที่อยู่บนเกาะเคยแลกเปลี่ยนสมุนไพรกับปีศาจตนนี้ ถึงได้พยายามสร้างความสัมพันธไมตรี ดังนั้นจึงไม่อาจโจมตีถ้ำพำนักของหานลี่โดยลำพังได้ ถึงได้คิดจะอาศัยแมลงผลึกกระดูกทองมาใช้พลังของปีศาจตนนี้
แน่นอนว่าเป็นเพราะเหล่าอสูรน้อยคาดการณ์พลังยุทธ์ที่แท้จริงของหานลี่ผิด คิดว่ามากสุดก็คงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ถึงได้ทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำเรื่องที่ไม่ได้รับประโยชน์เช่นนี้
หานลี่ไม่ได้ชักช้านัก มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ยื่นมือสีดำเปล่งประกายออกมาจกแขนเสื้อ กดที่ไปกลุ่มปะการังด้านล่างอย่างช้าๆ
เสียง “ตูมๆๆ” ดังขึ้น บนฝ่ามือมีเงาภูเขาลวงตาปรากฎขึ้น ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเทา กลายเป็นของจริงกดลงมาที่ด้านล่าง
ภายใต้การกระตุ้นด้วยพลังลมปราณทั้งหมดของหานลี่ ชั่วครู่ภูเขาเทวะดุดปราณก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพันจั้งเศษ ตรงตีนเขามีลำแสงเทวะดูดปราณแผ่ออกมาและหมุนวน ปกคลุมผิวน้ำในระยะสองสามหมู่เอาไว้