A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1409
เสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเดิมดังขึ้น ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากเนินหิน
แต่หานลี่แค่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากที่เก็บกระบี่ยาวในมือ เนินหินก็ปรากฎขึ้นโดยไม่ได้รับความเสียหายอีกครั้ง
คาดไม่ถึงว่ากระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่แหลมคมเป็นพิเศษจะไม่อาจทำอันตรายของสิ่งนี้ได้เลยสักนิด
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย สะบัดแขนเสื้อไปทางเนินหิน ลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา
หลังจากเสียงสวบดังขึ้นเบาๆ เปลวเพลิงสีเงินก็ห่อหุ้มเนินหินเอาไว้ และเปล่งเสียงแปะๆ จากการที่สะเก็ดไฟดีดตัวออกมา
แต่เนินหินยังนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่เมื่อหานลี่กวาดจิตสัมผัสไปที่ผิวของเนินหิน ใบหน้ากลับเผยสีหน้ายินดีออกมา
เขาเองก็ไม่ได้ไปที่อื่น แต่ตรงไปนั่งสมาธิลงด้านข้างเนินหิน สองมือพลันร่ายอาคม กระตุ้นเพลิงกลืนวิญญาณให้หลอมละลายสิ่งนั้นต่อ
ตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง พลังลมปราณบริสุทธิ์สีเขียวกลุ่มหนึ่งใส่ลงไปในเปลวเพลิงสีเงินไม่หยุด
เช่นนั้นวันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา เปลวเพลิงสีเงินก็กลับคืนร่างเดิม กลายเป็นวิหคเพลิงตัวหนึ่งบินกลับมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
และในตอนนั้นเองหานลี่พลันยืนขึ้น ไปอยู่ที่หน้าหินอีกครั้ง พลางพิจารณาอย่างละเอียด
หากมองผ่านๆ เนินหินก็ดูเหมือนว่าจะเหมือนกับก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ภายใต้แววตาสีฟ้าที่เปล่งประกายของหานลี่ ผิวของมันมีรอยแตกอยู่เล็กน้อย แต่รอยแตกนั้นแทบจะไม่อาจแยกแยะได้ด้วยตาเนื้อ
จากการคาดเดาของเขา หากต้องละลายของสิ่งนี้จริงๆ ไม่ใช้เวลาสักยี่สิบสามสิบปี ก็ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่หานลี่กลับไม่โกรธแต่กลับดีใจขึ้นมา!
สำหรับผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเขา เวลายี่สิบสามสิบปีนั้นเป็นเวลาที่ไม่มีค่าอะไร แต่ของสิ่งนี้กลับพิเศษมาก ต้องเป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งแน่
ไม่รู้ว่าท่านเป่ากวงผู้นั้นพบเจ้าสิง่นี้ได้อย่างไร จากความสามารถของเขาแน่นอนว่าคงไม่มีทางทำอะไรเนินหินนี้ได้เลยสักนิด กว่าครึ่งคงเอาของสิ่งนี้เป็นศูนย์กลาง เปิดถ้ำพำนักที่นี่ หมายว่าวันข้างหน้าค่อยจัดการกับสมบัติชิ้นนี้
ชั่วพริบตาหานลี่ก็เดาการกระทำในตอนแรกของมังกรวารีสีฟ้าตัวนั้นได้เจ็ดแปดส่วน
ทว่าจะพกเจ้าสิ่งนี้ไปก็ยุ่งยากจริงๆ
ถึงอย่างไรเสียของสิ่งนี้ก็หนักถึงเพียงนี้ เก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ เกรงว่าคงกดห้วงมิติเวลาของช่องเก็บของจนระเบิด มีเพียงต้องแบกของสิ่งนี้ไปด้วยกายเนื้อแล้ว
ส่วนเขานั้นต่อให้ใช้เคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่งก็รับน้ำหนักของมันได้เพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น มิเช่นนั้นแม้แต่ลำแสงหลีกหนีก็ไม่อาจขับเคลื่อนได้
หานลี่มองก้อนหินพลางขบคิดอยู่นาน
สะบัดแขนเสื้อเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น สะเก็ดไฟสีทองสองกลุ่มบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นแมลงเกราะทองขนาดเท่าหัวแม่มือสองตัว
นั่นก็คือแมลงกลืนทองโตเต็มวัย
ปากเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา แมลงกลืนทองบินออกมาจากเนินหินในทันที เริ่มบินลงไปด้านล่างจากทิศทางที่แตกต่างกันสองทิศทาง
หานลี่มองการเคลื่อนไหวของแมลงกลืนทองด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
แม้นว่าแมลงกลืนทองจะได้เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่กลืนกิน แต่เนินหินที่มหัศจรรย์เช่นนี้ เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าแมลงเหล่านี้จะได้ผลเช่นกัน
แต่ครู่ต่อมาใจของหานลี่พลันเต้นตึกตักและปลิวออกไป
แม้นว่าแมลงกลืนทองจะกลืนกินอย่างเชื่องช้า แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ รูเล็กๆ สองรูก็ปรากฎขึ้นบนเนินหิน
กลืนกินเจ้าสิ่งนี้ได้เช่นกันดังคาด
หานลี่รู้สึกดีอกดีใจในใจ
แต่ครู่ต่อมาฉับพลันนั้นแมลงกลืนทองสองตัวก็กะพรือปีก เสียง “ตึงๆ” ดังจากด้านบนเนินหินลงไปสู่ด้านล่าง เสียงของหนักๆ ตกลงสู่พื้นดังขึ้น
หานลี่พลันตะลึงงัน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้ยกมือขึ้น ลำแสงสีทองเปล่งประกาย ดูดแมลงกลืนทองตัวหนึ่งเข้ามาอยู่ในมือ
ผลคืออพบว่าแมลงกลืนทองที่เข้ามาอยู่ในมือนั้นหนักอึ้ง หนักกว่าน้ำหนักของแมลงวิญญาณปกติ
หานลี่ย่นคิ้ว ปิดสีหน้าตกตะลึงเอาไว้ไม่มิด
แต่โชคดีที่นอกจากแมลงตัวนี้จะหนักเกินไปหน่อยแล้ว ทุกอย่างก็ดูปกติมาก ปีกทั้งสองและแขนขายังคงสั่นเทาไม่หยุด
หานลี่จับจ้องแมลงตัวนี้ ขบคิดเล็กน้อย แล้วเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ชัดถึงความมหัศจรรย์ของวัตถุดิบของเนินหินนี้ แม้นว่าแมลงกลืนทองจะไม่อาจกำจัดไปได้ในทันที ดังนั้นจำนวนที่กลืนกืนไปครั้งหนึ่ง ก็มากกว่าขีดจำกัดแล้ว ดูแล้วคงต้องระอีกสักระยะหนึ่ง ถึงจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้
หลังจากเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว หานลี่ก็เก็บแมลงกลืนทองสองตัวกลับไป แต่ในแขนเสื้อกลับมีแมลงวิญญาณอีกสองตัวบินออกมา
กัดกินเช่นกัน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ แมลงกลืนทองทั้งสองก็ไม่อาจรับน้ำหนักของตนเองไว้ร่วงลงสู่พื้นเช่นกัน ถูกหานลี่เก็บเข้าไปอีกครั้ง
แต่ครั้งต่อไปสิ่งที่บินออกมาจากแขนเสื้อกลับเป็นดวงไฟสี่ดวง…
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลังจากที่แมลงกลืนทองนับพันตัวถูกปล่อยออกมาและเก็บกับไปตามลำดับแล้ว ในที่่สุดเนินหินเบื้องหน้าก็ถูกแมลงกลืนทองกลืนกินลงไปประมาณหนึ่งในสิบส่วน แต่ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ถูกแบ่งออกเป็นสามก้อน
มองก้อนหินที่มีขนาดพอๆ กับสามก้อน หานลี่พลันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สองมือพลันร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าบนร่างอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองที่แผ่นหลังพลันปรากฎอกอมา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเงาลวงตาสีทองสามหัวหกแขน
สิงอยู่กับร่างของหานลี่ แขนทั้งสองข้างออกแรงอีกครั้ง ในที่สุดก็อุ้มขึ้นมาได้ก้อนหนึ่ง
แม้นว่าจะดูเหมือนภูเขาน้อยลูกหนึ่งทับร่างอยู่ แต่น้ำหนักแค่นี้ ก็พอจะให้เขาสำแดงลำแสงหลีกหนีจากไปได้แล้ว
มุมปากของหานลี่กระตุก แต่กลับวางของในมือลง คนกลับตรวจสอบถ้ำพำนักที่เหลืออย่างละเอียดรอบหนึ่ง ดูว่ามีอะไรที่ทำให้เขาตกตะลึงระคนดีใจอีกหรือไม่
ผลคือนอกจากวัตถุดิบและศิลาวิญญาณที่มีแต่ในทะเลแล้ว ก็ไม่ได้มีของสิ่งใดดึงดูดความสนใจของเขาได้อีก
หานลี่เองก็ไม่ได้สิ้นหวังอะไร หลังจากม้วนเอาของทุกอย่างมาแล้ว ก็กลับไปยังห้องโถง
ครั้งนี้เขานำก้อนหินสองก้อน แยกกันไปวางไว้ในสถานที่ลับในถ้ำพำนัก จากนั้นหลังจากวางเขตอาคมลวงตาซ่อนพวกมันแล้ว
จากนั้นเขาก็อุ้มก้อนหินก้อนสุดท้ายบินออกจากประตูของถ้ำพำนัก
เมื่อหานลี่มาปรากฎตัวเหนือมหาสมุทรอีกครั้ง ลำแสงวิญญาณที่แผ่นหลังพลันสว่างวาบ เงาลวงตาวิหคสีเขียวและหงส์หลากสีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ปีกวายุอัสนีปรากฎออกมา
สองปีกกระพือออก เขากลายเป็นเส้นผลึกสายหนึ่งพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปจากขอบฟ้า
ของในมือหนักถึงเพียงน้อย แม้นว่าจะใช้ความเร็วสูงสุดของปีกวายุอัสนี แต่หานลี่ก็ยังคงบินไปได้สองสามชั่วยาม ก็จำใจต้องหยุดฟื้นฟูพลังลมปราณ จากนั้นถึงได้เร่งเดินทางต่อได้
หลังจากผ่านไปสามวัน หานลี่ก็กลับมายังถ้ำพำนักในภูเขาเฮยอิ่นอีกครั้ง วางก้อนหินนั้นลงในห้องลับโดยไม่ปริปากใดๆ
สองวันที่เหลือหานลี่ก็ไม่ได้รีบร้อนออกจากถ้ำพำนักอีกในทันที แค่เริ่มหาวิธีการอื่นตรวจสอบก้อนหินก้อนนั้นอยู่ภายในห้องลับ
ผลคือวัตถุดิบชิ้นนี้แข็งแกร่งอย่างไรที่เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการแช่แข็ง การใช้อัสนีจู่โจม ไอมารกลืนกินต่างก็ไม่อาจทำอันตรายมันได้ ส่วนการเผาไหมด้วยเปลวเพลิงนั้น นอกจากเพลิงกลืนวิญญาณแล้ว เปลวเพลิงอื่นๆ รวมทั้งเพลิงทารกวิญญาณของเขา ก็ไม่อาจละลายก้อนหินก้อนนี้ได้เลยสักนิด
แน่นอนว่าเพลิงกลืนวิญญาณมีผลต่อก้อนหินก้อนนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่คือวัตถุดิบในการหลอมสมบัติป้องกันตัวระดับสุดยอดที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่จากน้ำหนักของมัน หากนำไปหลอมสมบัติโจมตีเช่นภูเขาเทวะดูดปราณ ก็ดูเหมือนว่าจะมีอานุภาพที่น่าตกตะลึงเช่นกัน
หลังจากทดสอบทุกอย่างไปรอบหนึ่ง หานลี่ก็ขบคิดเช่นนี้ในทันที ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้น แน่นอนว่าจำต้องขบคิดอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง
แต่เมื่อหานลี่ใจเต้น ฉับพลันนั้นพลันตรวจสอบแมลงวิญญาณที่กินวัตถุดิบชนิดนี้เข้าไปเดิมทีนอนอยู่ในแหวนเก็บอสูรวิญญาณเล็กน้อย
เขาอดที่จะตะลึงงันไม่ได้
แมลงกลืนทองโตเต็มวัยเกือบพันตัวเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับลึกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ท่าทางเหมือนจะพัฒนาระดับขั้น
แมลงกลืนทองของเขาโตเต็มวัยแล้ว หากพัฒนาอีกขั้นล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะมีแต่ต้องกลายพันธุ์แล้ว
หานลี่พลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แต่เช่นนั้นการนำหินวิเศษนี้ไปใช้ทำอะไร ก็ดูเหมือนจะยากที่จะเป็นเรื่องที่เลือกยาก
หลังจากลังเลอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายหานลี่ก็ตัดสินว่าจะรอดูก่อนว่าแมลงกลืนทองเหล่านี้พัฒนาแปลงกายเป็นสิ่งใด แล้วค่อยขบคิดเรื่องนี้อีกครั้ง
เวลาสองวันจึงผ่านไปในชั่วพริบตา
วันที่สามก็คือวันที่หานลี่และพวกอสูรน้อยหัววัวนัดกับครบเจ็ดวันพอดี
ผลคือเช้าตรู่วันนั้น ไม่เพียงปีศาจทั้งสองที่มาถึงถ้ำพำนักของเขา วานรยักษ์ขนสีทองและพวกหมูป่ายักษ์ก็มาปรากฎตัวเช่นกัน
ปีศาจเหล่านี้มองลำแสงสีเขียวด้านนอกถ้ำพำนักของหานลี่ แววตาหวาดกลัว ล้วนยืนรออย่างเงียบๆ ไม่กล้าส่งเสียงเอะอะโวยวายเลยสักนิด
รอจนเกือบเที่ยงวัน ลำแสงสีเขียวที่ถูกเหมือนฟองน้ำก็ทยอยกันสลายออก เผยประตูหินยักษ์สูงยี่สิบจั้งเศษออกมา
หลังจากเสียง “ครืน” ดังขึ้น ประตูหินก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ เผยทางเดินลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งออกมา
“เข้ามาเถิด!” เสียงราบเรียบดังขึ้นจากด้านในทางเดิน
ปีศาจสองสามตนพลันใจหายวาบ แต่ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนทยอยกันเดินเข้าไปในทางเดิน แน่นอนว่านอกจากอสูรน้อยหัววัวแล้ว ปีศาจที่เหลือก็ต้องหดตัวเล็กลงสองสามเท่า ถึงจะเข้าประตูหินไปได้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในห้องโถงหินที่ดูวิจิตรงดงามในถ้ำพำนัก หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินที่เป็นจุดศูนย์กลาง พิจารณาปีศาจทั้งสี่ตนจากที่สูง สายตามองไปยังวานรยักษ์ขนสีทองสองแวบ
เสียง “ตึง” ดังขึ้น!
หานลี่ไม่รอให้เหล่าปีศาจเอ่ยปาก ก็สะบัดแขนเสื้อ ของสิ่งหนึ่งบินออกมา ร่อนลงบนพื้น
เห็นได้ชัดว่าคือหัวมังกรวารีสีฟ้าขนาดใหญ่หัวหนึ่ง
เมื่อเห็นของสิ่งนั้น อสูรน้อยและเหล่าปีศาจพลันตะลึงงัน
“นี่คือหัวของท่านเป่ากวง ครานี้เจ้าผู้นั้นได้ตายไปแล้ว การแลกเปลี่ยนเดิมที่พวกเจ้ามีกับมันก็เปล่าประโยชน์แล้ว ในเมื่อพวกเจ้ามาตามสัญญา สองสามวันที่ผ่านมาก็คงขบคิดดีแล้ว นำของมาด้วยหรือไม่” หานลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ปฏิเสธได้ยาก
มองหัวมังกรวารีสีฟ้าเรืองรองเบื้องหน้า เหล่าปีศาจมองปราดเดียวก็เห็นกลิ่นอายของปีศาจระดับแปดที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้น ทุกตนล้วนสั่นสะท้าน
“ไหนเลยที่ชนรุ่นหลังจะมีทางเลือกอื่น! เหล่าชนรุ่นหลังนำของที่ท่านอาวุโสต้องการมาแล้วขอรับ” อสูรน้อยหัววัวและอสูรที่เหลืออีกสามตนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วฝืนยิ้มตอบกลับ
“เยี่ยมมากดอกกระดิ่งพฤกษาที่พวกเจ้าต้องการ ข้าก็เตรียมเอาไว้แล้วเช่นกัน ขอแค่ข้าพึงพอใจ ก็มอบให้พวกเจ้าได้ทันที” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ ทันใดนั้นมือหนึ่งก็ปัดไปที่กำไลเก็บของ
หลังจากที่ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ กล่องหยกขนาดยักษ์รูปทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งก็ปรากฎขึ้นในมือ
เปิดฝากล่องออก กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ซึมลึกเข้าไปในจิตใจก็โชยมา
ในกล่องหยกมีกระดิ่งสีเหลืองทองขนาดเท่าหัวแม่มือเรียงอยู่เต็มไปหมด ทุกดอกล้วนเปล่งแสงเรืองๆ มีอยู่ประมาณร้อยดอก