A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1417 บุตรชายวิหคสวรรค์และโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1417 บุตรชายวิหคสวรรค์และโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้
“หมอกยมโลกดำ”
ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ ในที่สุดก็พบเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคย
จากหมอกสีดำที่ผสมอยู่กับผิวของหอคอยหินนั้น เห็นได้ชัดว่าคือหมอกประหลาดในทะเลหมอกบนครึ่งเกาะที่เขาอาศัยอยู่
แต่แค่ที่นี่นั้นบางเบากว่ามาก และดูเหมือนว่าจะถูกอะไรสักอย่างพันรัดเอาไว้
หานลี่รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ในเมื่อที่นี่ถูกคนของวิหคสวรรค์มองว่าเป็นเขตต้องห้าม แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีทางไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเข้า
ทันใดนั้นก็ทำเหมือนคนอื่นๆ คือบินเอียงเฉไป คิดจะอ้อมผ่านมันไป
แต่เมื่อหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่อีกด้านของหอคอยยักษ์ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ฉับพลันนั้นพลังระเบิดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านก็ระเบิดออกมา
ทำให้เขารู้สึกเสียววาบที่แผ่นหลัง สะดุ้งตกใจพลันร่างกายแข็งค้าง
นี่คือ…
หานลี่หยุดลำแสงหลีกหนี หันหน้าไปสองตาจ้องเขม็งไปยังหอคอยยักษ์
เห็นเพียงหมอกยมโลกดำหอคอยที่แผ่ออกมาจากหอคอยยักษ์ซึ่งอยู่ไกลออกไป เปลี่ยนเป็นสีดำเข้มราวกับน้ำหมึกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม้ว่าลวดลายบนผิวของหอคอยจะยังคงเปล่งประกายหลากสีสันไม่หยุด แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานไอสีดำที่ทะลักออกมาภายนอกได้
แต่โชคดีที่ส่วนยอดของหอคอยนี้แผ่ม่านลำแสงเจ็ดสีออกมา ห่อหุ้มไอสีดำเอาไว้ให้อยู่แค่ในอาณาเขตของหอคอยหิน แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกสีดำก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งชั้นบรรยากาศในม่านลำแสง ทำให้ม่านลำแสงเจ็ดสีสั่นเทา ท่าทางเหมือนจะถูกทำลายได้ตลอดเวลา
ชาวเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง ล้วนหยุดลง มองไปยังความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหอคอยผนึกวิญญาณอยู่กลางอากาศ
หานลี่รู้สึกว่าปีกของตนเองสั่นเทาและเปลี่ยนเป็นร้อนฉ่า ทำให้แผ่นหลังของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแผดเผา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
แต่ในตอนนั้นเองในหอคอยพลันมีเสียงร้องแหลมสูงยาวๆ ดังขึ้น ชาววิหคสวรรค์ที่อยู่รอบๆ นับร้อยคนได้ยินเสียงนี้ ก็ทยอยกันหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วร่วงลงสู่พื้น
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้รับไม่ได้ไหวขนาดนั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกว่าวิงเวียน ในเวลาเดียวกันความร้อนของปีกที่แผ่นหลังก็สูญเสียประสิทธิภาพ ร่างกายสั่นเทา
แต่โชคดีที่เขาไม่ได้อาศัยปีกวายุอัสนีถึงได้ยังบินอยู่กลางอากาศได้ ทันใดนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกลับมามั่นคงดังเดิม แต่สายตาที่มองไปยังหอคอยยักษ์ ก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ยอดของหอคอยมีลำแสงผลึกศิลาเปล่งประกาย ลำแสงแผ่ออกมาจากม่านลำแสงเจ็ดสีแผ่ออกมา ในเวลาเดียวกันเสียงบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้สรรพก็ดังออกมาจากหอคอย ราวกับว่ากำลังมีคนร้อยคนบริกรรมคาถาขึ้นพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะนั้นร่างของชาววิหคสวรรค์ที่แต่เดิมกำลังร่วงลงสู่พื้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ล้วนมีลำแสงเจ็ดสีชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ร่างกายลอยขึ้นอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้นในหอคอยก็มีเสียงร้องแหลมๆ ที่โหดเ**้ยมดังขึ้น หลังจากที่ไอสีดำด้านในหมุนวน กลางอากาศก็มีเงาร่างวิหคยักษ์ขนาดสองสามร้อยจั้งเศษปรากฎขึ้น เงาลวงตานี้เป็นสีดำอ่อน ปีกทั้งสองกระพือ ปกคลุมหคอยกว่าครึ่งเอาไว้ หลังจากที่เปล่งเสียงร้องยาวๆ อีกครั้ง หมอกสีดำทั้งหมดก็ขยายใหญ่ขึ้น ม่านลำแสงเจ็ดสีรอบๆ บิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในทันที ท่าทางน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้คนของวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่มีม่านลำแสงเจ็ดสีห่อหุ้มอยู่พลันร่างกายพลิ้วไหว และปลอดภัยไร้อันตราย แต่ก็แตกฮือออกหนีกันอุตลุดอย่างตื่นกลัว
เดิมทีหานลี่คิดจะบินออกจากบริเวณนี้ดังชาววิหคสวรรค์ แต่ชั่วพริบตาที่เงาวิหคยักษ์ตัวนั้นปรากฎขึ้น ปีกที่แผ่นหลังของเขาก็สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งปรากฎขึ้นเช่นกัน มันกู่คอร้องคำรามเช่นเดียวกัน ราวกับว่าตอบรับวิหคสีดำอย่างไรอย่างนั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน บรรยากาศรอบๆ พลันตึงเครียด เขารู้สึกเพียงว่าร่างกายหนักอึ้งไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง ภายใต้ลำแสงสีทองที่เจิดจ้า พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากแขนขาทั้งสี่ คิดจะดิ้นรนหนี แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้งก็คือไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังมหาศาลในร่างของเขาอย่างไร อากาศรอบๆ ก็ดูเหมือนเหล็กกล้าบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น ยังคงไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเล็กๆ
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว คราที่กำลังคิดว่าจะเรียกภาพมารเที่ยงแท้ออกมาออกแรงเต็มกำลังให้หลุดพ้นจากพันธนาการดีหรือไม่ เสียงบริกรรมคาถาในหอคอยยักษ์ก็เปลี่ยนไป ชั่วครูก็สูงขึ้นหลายเท่า ในเสียงบริกรรมคาถามีเสียงวาสีอัสนีลั่นเปรี๊ยะๆ ดังแทรกเข้ามา จากนั้นอักขระประหลาดๆ ทุกตัว ก็ปรากฎขึ้นลางอากาศรอบๆ หอคอยยักษ์ ล้วนลอยมาหาวิหคเงาสีดำ
ในเวลาเดียวกันผลึกวารียักษ์บนยอดหอคอยก็เปล่งเสียงดังสนั่น ระเบิดตัวเองออก
ดวงอาทิตย์เจ็ดดวงลอยขึ้นอย่างแช่มช้า เปล่งแสงนับหมื่นสายออกมา ปกคลุมวิหคเงาเอาไว้
วิหคเงายักษ์ตกอยู่ใต้เขตต้องห้ามอย่างอักขระและลำแสงเจ็ดสี ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องประหลาดอย่างจนปัญญาออกมา
อีกด้านเงาลวงตาวิหคยักษ์สีเขียวที่แผ่นหลังของหานลี่พลันสลายหายไป
เขาพลันผ่อนคลายลงฟื้นฟูกลับมาเป็นอิสระ แต่กลับยังรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
นอกจากนี้เงาลวงตาที่ปรากฎขึ้นบนหอคอยหินเมื่อครู่ก็เหมือนกับวิหคเงาสีเขียวที่แผ่นหลังของเขาอย่างไรอย่างนั้น ล้วนเป็นวิหคมัจฉาในตำนาน หรือว่าในหอคอยแห่งนี้มีวิหคมัจฉาถูกผนึกอยู่ แต่จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร?
หานลี่ขบคิดอย่างตกตะลึง ในหัวมีความคิดหลากหลายพลางเดินถอยหลัง แต่หลังจากกวาดสายตาไปเบื้องหน้า พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา สุดท้ายร่างกายก็หยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
เพราะว่าหลังจากที่ลำแสงวิญญาณสิบกว่ากลุ่มบินออกมาจากหอคอยยักษ์ และเปล่งแสงกระพริบวาบแล้ว ก็อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงยี่สิบสามสิบจั้ง
ระยะห่างแค่นี้เพียงพอจะทำให้ชาววิหคสวรรค์ที่อยู่ในลำแสงวิญญาณมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน หากบินหนีไปในครานี้ล่ะก็ จะแสดงออกถึงพิรุธทันที
ภายใต้การขบคิดหานลี่จึงทำได้เพียงดูว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใดแล้วค่อยว่ากัน
เขากวาดมองในลำแสงวิญญาณอย่างรวดเร็ว ด้านในมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงขั้นกลายสองคน ที่เหลือล้วนอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้นและกลาง ภายใต้ความหวาดกลัวของหานลี่ เขาจึงยิ่งไม่กล้ากระทำการอะไรที่สะดุดตาอีก จึงลอยอยู่ที่เดิมเงียบๆ
เสียงแหวกผ่านอากาศดัง “สวบๆ” ดังขึ้น คนทั้งสิบกว่าคนกระพือปีก ชั่วพริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าหานลี่ ล้อมเขาเอาไว้
สายตาสิบกว่าสายตกอยู่ที่เรือนร่างของเขา
ชายชราชาววิหคสวรรค์ที่ดูเป็นผู้นำสองคน คนหนึ่งปีกที่แผ่นหลังเป็นสีขาว อีกคนหนึ่งกลับมีปีกสีทองอ่อน
ทั้งสองคนหนึ่งมีสีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา อีกคนหนึ่งสีหน้าเข้มงวด แต่ล้วนเหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อมาอยู่ตรงหน้าก็จ้องเขม็งมายังหานลี่อย่างไม่วางตา สายตามีลำแสงประหลาดใจฉายแวบผ่าน
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้กลัวชาววิหคสวรรค์เหล่านี้จริงๆ แต่อีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกกังขา ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า
“ทุกท่านมาล้อมข้าน้อยเอาไว้ มีธุระอันใดหรือ?”
“พี่แซ่อะไร? หน้าตาไม่คุ้นเลย เพิ่งเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์หรือ?” เหนือความคาดหมายของหานลี่ ชายชราปีกสีขาวราวกับหิมะผู้นั้นเอ่ยปากถามอย่างมีมารยาท
“ข้าน้อยแซ่หาน ฝึกตนอยู่นอกมหาสมุทรมาโดยตลอด ครานี้ถึงได้เพิ่งเข้ามาในเมือง” ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปากพลันตอบรับ
อีกฝ่ายยังไม่ทันเผยเจตนาร้ายออกมา เขาจึงไม่คิดว่าต้องโกหกอะไร
“นอกมหาสมุทร เข้าเมืองวันนี้!” คำตอบของหานลี่ทำให้ชายชราที่เป็นผู้นำทั้งสองตะลึงงัน แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว สายตาก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ไม่ว่าพี่หานจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด แต่สามารถกระตุ้นวิหคมัจฉาในหอคอยได้ ก็หมายความว่าในร่างมีกลิ่นอายของวิหคสวรรค์อยู่เต็มเปี่ยม สามารถรับสมญานามบุตรชายของเผ่าเรา และสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้ของวิหคมัจฉาได้” ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โลหิตวิคมัจฉาเที่ยงแท้!” หานลี่ตะลึงงัน
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้ในกำไลเก็บของมีโลหิตของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์อยู่ จึงรู้ว่าของสิ่งนี้ล้ำค่าขนาดไหน
ตอนนี้คาดไม่ถึงว่ามีเรื่องดีๆ เข้ามาหาถึงที่ขนาดนี้ แน่นอนว่าหานลี่จึงตะลึงพรึงเพริด
ทว่าเมื่อคิดดูอีกที หานลี่ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
เขาไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์ที่แท้จริง ไหนเลยจะเป็นบุตรชายที่เผ่าวิหคสวรรค์กล่าวถึงได้ หากตรวจสอบอย่างละเอียด เกรงว่าก็คงถูกเปิดเผยในทันที ถึงครานั้นไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทอดโลหิตเที่ยงแท้อะไร คงต้องถูกชาววิหคสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่โกรธแค้นมากไล่สังหารไปเสียก่อน
“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้วแล้วกระมัง ข้าน้อยมีต้นกำเนิดที่ธรรมดามาก จะไปมีคุณสมบัติสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้ได้อย่างไร สิ่งมหัศจรรย์ในหอคอยคงจะไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยกระตุ้นขึ้น” หานลี่หัวเราะอย่างแห้งออกมา แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธระรัว
“เหตุใดพี่หานต้องปฏิเสธด้วย เมื่อครู่บนร่างของเจ้ามีรูปวิญญาณเที่ยงแท้ปรากฎขึ้น พวกเราที่อยู่ในหอคอยมองเห็นอย่างชัดเจน ไม่มีทางผิดแน่ พี่หานตามพวกเราไปพบท่านอาวุโสเถิด การเป็นบุตรชายของเผ่าเราได้นั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก” ชายชราขนสีทองผู้นั้นไม่ฟังคำแก้ตัวของหานลี่ กลับเอ่ยแล้วหัวเราะคิกคักออกมา
หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นกวาดสายตาไป เห็นชาววิหคสวรรค์คนอื่นๆ เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เห็นได้ชัดว่ามั่นใจว่าเป็นเขาแล้ว
“ข้าน้อยไม่ใช่บุตรชายอะไรนั้นจริงๆ ทุกท่านไม่เชื่อก็ช่างเถิด แต่ผู้แซ่หานมีธุระ ต้องขอตัวลาก่อน” หานลี่ตัดสินใจ เอ่ยข้อแก้ตัวอย่ารวดเร็ว ร่างกายเลือนหาย กลายเป็นเงาลวงตาจางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบหายไปจากตรงกลางของชาววิหคสวรรค์สองคน
ปีกที่แผ่นหลังของเขาพลันขยับคิดจะสำแดงความสามารถหนีไปให้ไกล แต่ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นข้างหูพลันมีเสียงราบเรียบของสตรีดังขึ้น
“ช้าก่อน คนเผ่าประหลาด! เจ้าคิดจะหนีไปอย่างนี้หรือ? หากจะไปก็ต้องเอาปีกคู่นั้นไว้ในเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา” เสียงไม่ดังนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังอ่อนโยนและไพเราะ แต่เมื่อหานลี่ได้ยินลับทำให้จิตสัมผัสของเขาสั่นคลอนราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าไม่สู้ดี
และในเวลาเดียวกันที่เสียงนั้นถ่ายทอดมา อากาศรอบๆ ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น เหนือศีรษะของหานลี่ห่างออกไปสองสามจั้ง เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีสวมชุดขาวมีปีกสีทองคนหนึ่ง
หานลี่พินิจมองอย่างละเอียด ชั่วขณะนั้นพลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
หญิงสาวผู้นี้มีหน้าตาธรรมดาๆ ใบหน้ามีลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งไหลโคจรอยู่ กลิ่นอายบนร่างไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่อาจมองระดับพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางขึ้นไป
หางตาของหานลี่พลันกระตุกไปสองสามครั้ง!
“คารวะท่านอาวุโส!” ชาววิหคสวรรค์ระดับเทพแปลงเหล่านั้น เห็นหญิงสาวกลับมีท่าทางนอบน้อมมาก ทยอยกันเข้ามาคารวะยกใหญ่
สตรีผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมหาอาวุโสของชาววิหคสวรรค์!
หานลี่รู้สึกเพียงว่าในปากมีแต่รสชาติขมเฝื่อน
“คนผู้นี้มอบให้ข้าจัดการเถิด พวกเจ้ากลับไปเสริมความมั่นคงของผนึกในหอคอย สยบวิหคมัจฉาตัวนั้นลงอีกครั้ง” หญิงสาวออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“ขอรับ!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้มีความน่าเกรงขามมากในสายตาของชาววิหคสวรรค์ พวกเขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิด ทยอยกันสยายปีกบินกลับไปยังหอคอยยักษ์
สายตาของหญิงสาวพลันกลอกไปมา ในที่สุดก็ตกอยู่บนร่างของหานลี่