A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1418 มหาอาวุโส
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุย ตามข้ามาเถิด” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา ทันใดนั้นก็หันกาย บินไปยังทิศทางหนึ่ง
หลังจากที่หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสแล้ว ก็ตามไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัระดับหลอมร่างขั้นกลาง และยังอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าประหลาด เขาก็ไม่โอกาสให้หนี และดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่เหมือนกับจะกลับคำลงมือในทันที มีเพียงต้องทำตามคำพูดของอีกฝ่ายก่อนเท่านั้น
ร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะมีสีหน้าราบเรียบไม่มีความโกรธขึงเลยสักนิดราวกับวารีที่ไหลไปตามสายลม แต่ความเร็วกลับน่าตกตะลึง
หานลี่ใช้พลังลมปราณถึงเจ็ดแปดส่วนถึงจะไล่ตามนางทันได้ ในใจจึงอดที่จะตกตะลึงไม่น้อย ความคิดสองสามอย่างสุดท้ายผุดขึ้นมาในหัว แล้วฝืนระงับมันไว้
หลังจากบินมาได้เป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หญิงสาวก็พาหานลี่ร่อนลงไปหน้าเรือนโดดเดี่ยวที่เป็นเสากลมๆ สูงยี่สิบจั้ง
“คารวะท่านมหาอาวุโส!” ทางเข้ามีหญิงสาวหน้าตาหมดจนสองคนของเผ่าวิหคสวรรค์เข้ามาต้อนรับ สีหน้าเต็มไปด้วยความนอบน้อม
หญิงสาวปีกสีทองแค่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปอย่างตามอำเภอใจ
หานลี่ตามหลังนางมาติดๆ เมื่อเข้าไปในห้อง ก็พบว่าที่นี่ดูสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ กว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ในเรือนนอกจากเก้าอี้หินสองสามตัวและโต๊ะหินตัวหนึ่งแล้ว ทุกแห่งก็ว่างเปล่า
หญิงสาวโบกมือไปมา ไล่ให้สาวใช้ทั้งสองถอยออกไป จากนั้นก็หันกายมา นั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ปากบางๆ เอ่ยขึ้นว่า
“นั่งลงเถิด ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย”
“ข้าน้อยจะมีที่นั่งต่อหน้าท่านอาวุโสได้อย่างไร ผู้แซ่หานขอฟังด้วยความเคารพและตั้งใจก็พอขอรับ” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน” หญิงสาวมีท่าทีไม่ใส่ใจเลยสักนิด
หานลี่จึงยืนตัวตรงแน่วอยู่ที่เดิม
“เจ้าคือผู้บำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์สินะ?” หลังจากที่หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา
“ท่านอาวุโสเคยไปที่เผ่ามนุษย์ของพวกเรา?” หานลี่เอ่ยอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนว่าเคย ข้าเคยแม้กระทั่งไปเยี่ยมฮ่องเต้ทั้งสามของเผ่าเจ้า และรู้สึกนับถือเคล็ดวิชาหุ่นเชิดที่มหัศจรรย์ของเขาเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ข้า ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งอีกสองสามคนในเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเราที่เคยไปหาเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้า เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งนี้ เจ้ามีอะไรสงสัยก็ซักถามมาเถิด ข้าจะบอกทั้งหมด แต่เช่นกันพอถึงตาที่ข้าถาม ก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง มิเช่นนั้นล่ะก็…” คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะเอ่ยภาษามนุษย์ที่คุ้นเคยออกมา
หลังจากหานลี่ได้ยินเจตนาอันคุกคามในประโยคสุดท้ายแล้ว สีหน้าก็อดที่จะเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าปกติ
“ท่านอาวุโสมองฐานะของชนรุ่นหลังออกได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น ชนรุ่นหลังมั่นใจว่าขัดเกลาปีกวายุอัสนีจนทั่วถึงแล้ว ประกอบกับใช้เคล็ดวิชาลับเปลี่ยนกลิ่นอายของมันให้คล้ายคลึงกับเผ่าเจ้า ขอแค่ไม่พบกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับท่านอาวุโสตรวจสอบปราณแท้ ก็น่าจะไม่พบความผิดปกติอะไร มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังจะกล้าเข้ามาในเผ่าของท่านอย่างเปิดเผยได้อย่างไร” หานลี่จ้องเขม็งไปยังหญิงสาวแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ปัญหานี้ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
“การแปลงกายของเจ้าประสบความสำเร็จจริงๆ แม้กระทั่งเขตอาคมป้องกันเมืองของเมืองศักดิ์สิทธิ์ยังถูกกลิ่นอายวิหคมัจฉาบนตัวของเจ้าปิดบังเอาไว้ หากไปพบกับอาวุโสคนอื่นๆ ในเผ่า ขอแค่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แปดเก้าส่วนก็ไม่อาจมองออกได้ แต่ข้ากลับไม่เหมือนกัน ในฐานะมหาอาวุโสอย่างข้านั้นรับหน้าที่ดูแลยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าโดยเฉพาะ และยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราก็มองภาพลวงตาทั้งหมดของเจ้าออก และได้กวาดสายตาตรวจสอบปราณแท้ในกายของเจ้าไปด้วย แม้นว่าเคล็ดวิชาแปลงกายของนายท่ายจะยอดเยี่ยมขนาดไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า” หญิงสาวฉีกยิ้มจางๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าบอกความจริงออกมา
หานลี่พลันถึงบางอ้อแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างสุดๆ
“เช่นนั้น หากข้าไปที่สาขาอื่นในเผ่าของท่าน ก็จะถูกพบตัวอย่างง่ายดายสินะ” เขาหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย
“ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าข้า ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวารียมโลกเองก็มีความสามารถที่คล้ายคลึงกัน” หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่กลับหยักมุมปากเอ่ยตอบกลับ
หานลี่ได้ยินก็เงียบกริบ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยถามอีกว่า
“หอผนึกวิญญาณผนึกสิ่งใดอยู่ บุตรชายและโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้หมายถึงอะไร?”
“หอผนึกวิญญาณผนึกหม้อแห่งความมั่งคั่งของเผ่าเราเอาไว้ เสียแรงมหาศาลถึงจะรวบรวมส่วนเล็กๆ ของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์วิหคมัจฉาตัวหนึ่งมาได้ มีเพียงต้องอาศัยพลังของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราถึงได้ดำรงมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ ส่วนสาเหตุที่เป็นรูปธรรมนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ส่วนบุตรชายนั้นก็ง่ายมาก นั่นก็คือสิ่งที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเราหวังว่าจะมีผู้ที่สืบทอดโลหิตศักดิ์สิทธิ์ได้ หากบุตรชายสามารถสืบทอดโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าต่างๆ ได้จริงๆ และผ่านการทดสอบ ก็จะกลายเป็นประมุขของเผ่า” หญิงสาวเอ่ยอธิบาย
ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา
เรื่องเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากที่เขาคาดเดามากนัก แม้กระทั่งประมุขคืออะไรก็ยังขี้เกียจซักถาม แค่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เท่านั้น
“ดูจากท่าทางแล้วเจ้าคงไม่มีคำถามอื่นแล้ว จากนี้คงถึงตาข้าถามบ้างแล้ว สมบัติปีกที่แผ่นหลังของเจ้า หลอมมาจากวิหคมัจฉาอะไร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดิ้นรนหนีให้พ้นจากผนึกของหอผนึกวิญญาณ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากตั้งแต่สร้างหอคอยนี้ขึ้นมา” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่หลอมขนนกของวิหคมัจฉาที่เสียหายไปเส้นหนึ่งเท่านั้น” หานลี่พลันขมวดคิ้วตอบกลับอย่างตรงๆ
“ขนของวิหคมัจฉา? เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง ต่อให้เป็นขนของวิหคมัจฉาที่ไม่สมบูรณ์เส้นหนึ่ง ก็ไม่น่าจะทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กระสับกระส่ายถึงเพียงนี้” หญิงสาวมีท่าทีไม่เชื่อ
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้” หานลี่สั่นศีรษะ รู้สึกงุนงนจริงๆ
“เอาปีกสมบัติของเจ้ามาให้ข้าดูซิ!” หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยอย่างคร่าวๆ ออกมา
หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่หลังจากที่ประสานสายตาที่แวววาวราวกับถูกเคลือบเอาไว้แล้ว ก็ขบคิดเล็กน้อยแล้วยักไหล่ ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันสว่างวาบที่ปีกสีขาวตรงแผ่นหลังชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แทบจะในเวลาเดียวกันในมือของหานลี่กลับมีปีกขนนกยาวสองสามชุ่นคู่หนึ่งปรากฎขึ้น
ชูมือขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะส่งไปให้จริงๆ
การกระทำเช่นนี้ของหานลี่เห็นได้ชัดว่าทำให้มหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ตกตะลึง
แววตาสดมาของนางมองไปยังใบหน้าราบเรียบของหานลี่อยู่นาน แล้วในที่สุดถึงได้รับมาพร้อมรอยยิ้ม
หานลี่ไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเลยสักนิด แต่ในใจกลับอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางคนหนึ่ง ปีกวายุอัสนีที่ถูกขัดเกลามานานแล้ว แม้นว่าอีกฝ่ายจะขืนใจเอาไป เขาก็มั่นใจหกเจ็ดส่วนว่าจะกระตุ้นความสามารถของสมบัติชิ้นนี้ เรียกมันกลับมาได้ภายในพริบตา 。
เขาไม่มีทางมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ให้อีกฝ่ายแน่
หญิงสาวใช้มือหนึ่งถือปีกวายุอัสนีเอาไว้ พิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
นางขยับนิ้วโยนปีกขนนกในมือออกไป
คาดไม่ถึงว่าจะโยนปีกวายุอัสนีกลับคืนมาให้หานลี่
หานลี่พลันรู้สึกผ่อนคลายลง สองมือไม่เคลื่อนไหว แต่ลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบบนปีกวายุอัสนี และหายวับไป ครู่ต่อมามันก็มาปรากฎที่แผ่นหลังของเขาอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นฉากนี้หญิงสาวก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อง ปากเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า
“คิดไม่ถึงว่าสมบัติชิ้นนี้ของเจ้าไม่เพียงจะมีขนของวิหคมัจฉา ยังมีขนของหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งด้วย ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายังอยากรู้ว่าเจ้าได้ขนของวิหคมัจฉามาได้อย่างไร?”
หานลี่ได้ยินแล้วพลันตกตะลึง แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทันใดนั้นก็เล่าเรื่องที่ได้พบการต่อสู้ข้ามแดนของวิหคมัจฉากับหลัวโหวอย่างละเอียด
หลังจากที่หญิงสาวได้ฟังแล้ว กลับเคร่งขรึมขึ้น ชั่วครู่ถึงได้ใช้สายตาพิจารณาหานลี่อีกครั้ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาตะลึงงันขึ้นว่า
“พี่หานสนใจเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ เป็นบุตรชายของเผ่าเราหรือไม่”
หานลี่พลันตะลึงค้าง
“ข้าน้อยฟังผิดหรือเปล่า ท่านอาวุโสจะให้ข้าน้อยเข้าร่วมเผ่าของท่าน?” หานลี่กระพริบตารู้สึกว่าตนเองฟังผิดหรือเปล่า
“ใช่แล้ว ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ยังต้องปรึกษารายละเอียดกับอาวุโสท่านอื่นๆ ก่อน!” หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้าน้อยคือคนของเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์ที่แท้จริง” หานลี่หมดคำพูดไปชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“นายท่านไม่รู้สินะ ปกติแล้วขนของวิหคมัจฉาและของอื่นๆ ของวิหคมัจฉานั้นล้วนเป็นของล้ำค่าที่วิหคมัจฉาที่เพลี้ยงพล้ำทิ้งเอาไว้ และที่สหายหานหลอมขนของวิหคมัจฉา กลับเป็นขนวิหคมัจฉาที่หล่นลงมาตอนยังเป็นๆ ขนเส้นนี้มีไอวิญญาณแฝงอยู่มากกว่าขนของวิหคมัจฉาทั่วไปหลายเท่า และยิ่งไปกว่านั้นในขนน่าจะมีโลหิตบริสุทธิ์ที่เจ้าเองก็ไม่รู้แฝงอยู่ ส่วนเผ่าวิหคสวรรค์ของเรานั้นเดิมทีก็เป็นชนรุ่นหลังของราชันย์วิหคมัจฉา ในเมื่อสหายหลอมของวิหคมัจฉาในตัวแล้ว ก็อาจจะมีโลหิตของวิหคมัจฉาแฝงอยู่ จะกล่าวว่าเป็นชาวเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราก็ไม่ผิดนัก” หญิงเอ่ยประโยคที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงจนตาค้างออกมาอย่างราบเรียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ถึงได้ได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง หรี่ตาทั้งสองข้างลงมองหญิงสาวชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ได้ยินว่าประมุขคนปัจจุบันของเผ่าวิหคสวรรค์เพลี้ยงพล้ำไปแล้ว และดูเหมือนว่าในเผ่าของท่านจะไม่มีผู้สืบทอดโลหิตวิหคมัจฉาอยู่เลย ทั้งเผ่าวิหคสวรรค์อาจจะถูกกำจัดออกจากเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ข้าน้อยไม่ได้พูดผิดไปสินะ”
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” ในที่สุดหญิงสาวก็หน้าเปลี่ยนสี เงาลวงตาของวิหคยักษ์สีทองตัวหนึ่งปรากฎขึ้นที่แผ่นหลัง
เงาลวงตานี้แค่กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นหานลี่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับมาบนหัวไหล่ ร่างทั้งร่างเกิดเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ
เสียง “ตูม” ดังขึ้น สองเท้าของหานลี่จมลงไปบนพื้นศิลาสีเขียวครึ่งฉื่อ
หานลี่หน้าซีดเผือด
แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวพลันขมวดคิ้ว เงาลวงตาของวิหคยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
“ข้าไม่รู้ว่านายท่านไปเอาข่าวนี้มาจากไหน แต่หวังว่านายท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ข้าน้อยไม่อยากเห็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เกิดความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังพูดผิดไปเล็กน้อย มีบุตรชายที่สามารถสืบทอบโลหิตจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรายังซ่อนเอาไว้สองคน แค่สองคนนั้นพลังยุทธ์ต่ำเกินไป ต่อให้ทำสำเร็จ อัตราการจะผ่านทดสอบของเผ่าต่างๆ ก็ไม่มากนัก ดังนั้นข้าถึงได้อยากเชิญสหายให้เข้าร่วมเผ่าของเรา” ชั่วพริบตาหญิงสาวก็มีสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ความหมายของท่านมหาอาวุโสคือให้ข้าเป็นผู้ดูแลแทนบุตรชายทั้งสองสินะ!” หานลี่มีปฏิภาณไหวพริบขนาดไหน ขณะที่กลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็เดาเจตนาของอีกฝ่ายออก แล้วหน้าเปลี่ยนสีพลางฉีกยิ้ม