A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1434 จู้อินจื่อ
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1434 จู้อินจื่อ
“ต้องรบกวนสหายแล้ว” แม้นว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก บุตรศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งของเผ่าแดงสดก็ยังคงเอ่ยอย่างไม่กล้าดูแคลน
เผ่าแดงสดมีจำนวนคนมากที่สุดในบรรดาทั้งสามเผ่า คาดไม่ถึงว่าจะส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีเดียวเจ็ดคน อันดับสองคือเผ่าเบญจลำแสงมีห้าคน ที่น้อยที่สุดคือเผ่าวิหคสวรรค์ แม้ว่าจะเพิ่มหานลี่เข้าไปก็มีเพียงสามคนเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เผ่าวิหคสวรรค์ไม่ได้เก็บรักษาอะไรไว้ เผ่าอื่นๆ จะต้องซ่อนบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ได้ส่งตัวออกมาอีกเป็นแน่
และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่าก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางขึ้นไป เทียบกับไป๋ปี้และผู้มีนามว่าเหลยหลันแล้ว ก็แข็งแกร่งมากกว่าเท่าหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเผ่าวิหคสวรรค์นั้นตกต่ำแล้วในบรรดาเผ่าวิญญาณเหาะเหิน มิน่าล่ะเบื้องบนของเผ่าวิหคสวรรค์จึงพยายามดึงเขาเข้าเป็นพวกอย่างสุดความสามารถ สาขาที่แข็งแกร่งอื่นๆ คิดจะฮุบพวกเขา ก็เป็นเรื่องปกติ
แนวความคิดปลาใหญ่กินปลาเล็กยังคงใช้ได้ในบรรดาเผ่าต่างๆ ของแดนวิญญาณ
หานลี่ขบคิดเช่นนั้นก็พาไป๋ปี้ เหลยหลันและคนของเผ่าเบญจลำแสง เดินเรียงกันอยู่ด้านหลังคนของเผ่าแดงสด
ทั้งสองฝั่งต่างดึงระยะห่างออกจากกันโดยอัตโนมัติตามความรู้สึก
ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งหมด หานลี่รู้สึกสนใจบุรุษคนหนึ่งที่มีหน้าตาโหดเ**้ยมเผยกลิ่นอายสังหารออกมามากที่สุด
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดคนอื่นๆ ก็มีผู้ที่พลังยุทธ์ไม่ต่างอะไรกับเขา แต่มีเพียงตอนที่พบหน้ากับคนผู้นี้ ที่ทำให้เขารู้สึกอันตราย
เมื่อครุ่นคิดมาถึงครานี้ หานลี่ที่มองไปยังเงาแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้นก็อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้
“อันใด พี่หานสนใจจู้อินจื่อผู้นั้นหรือ?” สตรีหน้าตางดงามอายุยี่สิบปีเศษจากเผ่าเบญจลำแสง เอ่ยกับหานลี่ด้วยท่าทียิ้มๆ
ในบรรดาคนของเผ่าวิหคสวรรค์ แม้ว่าหานลี่จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เก๊ แต่พลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินขั้นสูงนั้นกลับไม่ใช่ของปลอม ดังนั้นไม่ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเบญจลำแสงหรือว่าเผ่าแดงสด ก็มองว่าหานลี่เป็นผู้นำของเผ่าวิหคสวรรค์
ประกอบกับหน้าตาที่ไม่คุ้นเคย และยังอยู่ในฐานะไพ่ลับของเผ่าวิหคสวรรค์ เผ่าที่เหลือทั้งสองจึงรู้สึกสนใจหานลี่เป็นอย่างมาก
ระหว่างทางเป็นเพราะเหล่าอาวุโสอย่างจินเย่ว์อยู่ข้างๆ คนอื่นๆ จึงไม่มีโอกาสได้สนทนาอะไรกัน ครานี้เมื่อแยกกับเหล่าอาวุโสของเผ่าแล้ว สตรีของเผ่าเบญจลำแสงผู้นี้จึงเป็นฝ่ายชิงเอ่ยปากก่อน
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะเผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าเบญจลำแสงมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของของเผ่าแดงสดเหล่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถามอะไรขึ้นมาก่อนแน่
“ไม่มีอะไรหรอก กลิ่นอายสังหารบนร่างของพี่จู้ผู้นี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าคงมีประสบการณ์ในการต่อสู้ไม่น้อยสินะ” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ดูแล้วพี่หานคงฝึกฝนอยู่แต่นอกมหาสมุทรจริงๆ จู้อินจื่อเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในรุ่นของพวกเรา เขาเคยเข้าไปในหุบเหวลึกตามลำพังถึงเจ็ดครั้ง แม้ว่าจะเข้าไปไม่ลึกมาก แต่กลับสังหารปีศาจที่มีชื่อเสียงไปไม่น้อย มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ และเฟ่ยเยี่ยของเผ่าหนานหล่ง ว่ากันว่าความสามารถไม่ด้อยไปกว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นกลาง” สตรีของเผ่าเบญจลำแสงฉีกยิ้มขณะตอบกลับ ท่าทางไม่กลัวว่าจะถูกคนของเผ่าแดงสดที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเลยสักนิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เมื่อเห็นท่าทีเรียบเฉยของหานลี่ สตรีของเผ่าเบญจลำแสงผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกสนอกสนใจมากกว่าเดิม แต่ไม่รอให้นางได้เอ่ยอะไรอีก คนกลุ่มนั้นก็ถูกหญิงสาวชุดขาวพาไปหยุดอยู่ตรงหน้าหอคอยสองสามหลังที่มีความสูงหกถึงเจ็ดชั้น
นางหันกลับมาเอ่ยว่า
“พวกท่านทั้งสามเผ่าเลือกที่พักดูสักหลังเถิด อีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนพวกท่าน ในยอดฮ่องเต้หยกนอกจากสนามแข่งขันทางทิศตะวันออกแล้ว สถานที่ที่เหลือก็ไม่อาจลงมือต่อสู้กันได้ มิเช่นนั้นโทษสถานเบาคือเจ็บปวดภายนอก โทษหนักคือกำจัดวรยุทธ์
“พวกเราทราบแล้ว ต้องรบกวนแม่นางแล้ว” คนส่วนใหญ่ในกลุ่มได้ยินประโยคนี้พลันใจหายวาบ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งของเผ่าแดงสดเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอบคุณ
“ข้ามีนามว่าเสี่ยวจู๋ มีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ของพวกท่านทั้งสามเผ่า ทุกท่านมีอะไรให้รับใช้ก็เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเบิกบาน คารวะไปทางหานลี่และพวกแล้วขอตัวกล่าวลา
จากนั้นหานลี่และพวกทุกคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ต่างเลือกหอคอยที่พักของตนเอง
หานลี่เลือกชั้นสูงสุดในหอคอย ไป๋ปี้และเหลยหลันแยกกันพักที่สองชั้นถัดลงมา
สองสามเดือนที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางอย่างแทบไม่ได้หยุดพัก แม้แต่หานลี่เองก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า
นั่งสมาธิลงบนฟูกโดยไม่ได้กล่าวอะไร แล้วพลันนั่งสมาธิ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อเขาเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้านอกหน้าตาก็เปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม
เดินลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วพลันบิดขี้เกียจ
เขาเดินลงมายังชั้นล่างอย่างเงียบๆ
ผลคือในหอคอยชั้นล่างไป๋ปี้ยังคงทำสมาธิอยู่ภายในห้องของตน ส่วนสตรีที่มีนามว่าเหลยหลันนั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จำได้ว่าก่อนออกเดินทาง จินเย่ว์ได้กำชับอยู่หลายครั้งว่า ห้ามไม่ให้พวกเขาออกไปข้างนอกตามลำพัง เพื่อจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรู
หลังจากที่หานลี่ขบคิดแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก จึงเดินเอามือไพล่หลังออกจากหอคอย
ทั้งสองคนนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการทดสอบหุบเหว เขาไม่อาจไม่ซักถามได้
“เอ๋ นี่มิใช่พี่หานหรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง!” เมื่อเดินออกมาจากประตูหอคอยได้สองสามก้าว ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเกียจคร้านดังขึ้นที่ข้างหู
หานลี่แววตาเป็นประกาย ทอดสายตาไปตามที่มาของเสียง
เห็นเพียงชายหนุ่มหน้ากลมคนหนึ่ง กำลังเดินออกมาจากหอคอยอีกหลังหนึ่ง นั่นก็คือหนึ่งในบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสด แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
หากอีกฝ่ายบังเอิญมาพบกับตนเองจริง ก็เป็นเรื่องที่ซวยมาก กว่าครึ่งคงรอเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
แม้นจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใด แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
หานลี่มองอีกฝ่ายเงียบๆ
“หึๆ เหตุใดพี่หานต้องปิดกั้นตัวเองด้วย ตอนนี้แม้ว่าทั้งสองเผ่าของพวกเราจะขัดแย้งกัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปในหุบเหวก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กันขนาดนี้ วันข้างหน้าเผ่าของท่านอาจจะต้องเข้าร่วมเผ่าแดงสด พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องเผ่าเดียวกัน” ชายหนุ่มของเผ่าแดงสดผู้นี้เห็นท่าทีเย็นชาของหานลี่ ก็ไม่ได้ใส่ใจ
“หากทั้งสองเผ่ารวมกันจริงๆ ก็อาจจะเป็นได้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นก็แย้มยิ้มเบิกบาน
เมื่อเห็นหานลี่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ทำให้ชายหนุ่มหน้ากลมตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
“น้องสือเทียน เพิ่งเคยมาที่ยอดฮ่องเต้หยกครั้งแรกเช่นกัน เจ้ากับข้าไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นอย่างไร?” บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดผู้นี้เอ่ยราวกับเป็นสหายสนิทอย่างไรอย่างนั้น
“กับเจ้า?” หานลี่เลิกคิ้ว
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ต่อสู้กัน พี่หานยังกลัวว่าข้าจะมีแผนการณ์หรือ?” สือเทียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“แม้ว่าผู้แซ่หานจะไม่กลัวว่าเจ้าจะมีแผนการณ์อะไร แต่ก็ไม่อยากทำความรู้จักกับใคร” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
สือเทียนรู้ว่าตัวเองถูกหานลี่หยอกล้อ แววตาโหดเ**้ยมก็ฉายแวววาบผ่าน ในที่สุดก็หุบรอยยิ้มลง
“พี่หานออกมาเพราะจะตามหาแม่หญิงเหลนของเผ่าท่านสินะ” ชายหนุ่มหน้ากลมเงียบขรึมไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“หมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของหานลี่เย็นเยียบ
“ไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ข้าน้อยแค่เห็นว่า แม่หญิงเหลยหลันเหมือนจะออกไปกับศิษย์พี่หญิงหงซาของเผ่าข้า และดูเหมือนว่าจะตรงไปยังสนามแข่งขัน ข้าบอกท่านสักหน่อย พี่หานจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหลายที่” สือเทียนฉีกยิ้มโดยที่แววตามิได้ยิ้มตาม
“เช่นนั้น ข้าน้อยก็ต้องขอบคุณพี่สือที่เตือนแล้ว” หานลี่แอบย่นคิ้ว แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความรู้สึก หลังจากคารวะเล็กน้อย คนก็เดินจากไปไกล
มองเงาแผ่นหลังของหานลี่ที่ห่างออกไป แววตาของสือเทียนพลันเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“ศิษย์น้องสือ เจ้าทำดีมาก” เมื่อร่างของหานลี่หายลับไปจากทางเดินเล็กๆ ฉับพลันนั้นด้านหลังของหอคอยก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้น
จากนั้นเงาร่างคนก็พลิ้วไหวพุ่งออกมาจากด้านหลังของหอคอย คาดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษร่างกายสูงผอมคนหนึ่งก้าวออกมา ผิวของเขาค่อนข้างเข้มกว่าคนเผ่าแดงสดทั่วไป แววตาเผยจิตสังหารออกมา
“ศิษย์พี่จู้! เรื่องเล็กๆ แค่นี้ ให้คนอื่นทำก็ยังได้ ทว่าแม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นแม่ทัพวิญญาณระดับสูง แต่ศิษย์พี่ต้องสนใจขนาดนี้ด้วยหรือ พวกเราน่าจะจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย” สือเทียนหน้าเปลี่ยนสี หันกายกลับไปเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม
“ศิษย์น้องสือ เจ้าพูดผิดแล้ว หากคนผู้นี้คือคนที่ข้าตามหาจริงๆ พวกเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” จู้อินจื่อเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหน้ากลมตกตะลึงออกมา
“ศิษย์พี่รู้จักคนผู้นี้ตั้งนานแล้ว” สือเทียนตะลึงงัน
“ศิษย์น้องน่าจะรู้เรื่องที่เทียนหมิงและพวกกลับมาโดยไม่ได้อะไรเมื่อสองสามเดือนก่อนสินะ” จู้อินจื่อถามย้อนกลับ
“ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ได้ยินว่าศิษย์พี่เทียนหมิงไม่เพียงทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับเสียวิหคคำรามระดับสูงไปตัวหนึ่งด้วย รวมทั้งเสียไข่มุกมังกรเพลิงไปเม็ดหนึ่ง” สือเทียนลังเลเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างซื่อๆ
“ตอนนั้นผู้ที่อาศัยกำลังเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้เทียนหมิงล่าถอยและสังหารวิหคคำรามได้ น่าจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แซ่หานผู้นี้” จู้อินจื่อเลียริมฝีปาก ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
“จะเป็นไปได้อย่างไร ศิษย์พี่เทียนหมิงคือแม่ทัพวิญญาณขั้นกลาง คนอื่นๆ ก็มีพลังยุทธ์ในระดับแม่ทัพวิญญาณ วิหคคำรามนั่นก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพวิญญาณขั้นกลาง” สือเทียนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกยากจะเชื่อไปเล็กน้อย
“เทียนหมิงเคยบรรยายรูปร่างของคนผู้นี้เอาไว้ ประกอบกับที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้เพิ่งจะถูกเรียกกลับมาจากนอกมหาสมุทร ก็น่าจะเป็นคนผู้นี้ไม่ผิดแน่ เกรงว่าคนผู้นี้อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำให้เทียนหมิงและพวกรู้ว่าสู้ไม่ได้จนล่าถอยแน่” จู้อินจื่ออธิบายอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนี้เผ่าวิหคสวรรค์ก็มีไม้ตายจริงๆ คราวก่อนที่ประมุขของพวกเขาเพลี้ยงพล้ำไป ยังบอกว่าในเผ่าของพวกเขาไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ครั้งนี้ต้องถูกเผ่าแดงสดของพวกเรากลืนกินอย่างไม่ต้องสงสัย ผลคือมีบุตรศักดิ์สิทธิ์ปรากฎตัวขึ้นถึงสามคน หนึ่งในนั้นยังเป็นแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเสียจริง” ชายหนุ่มหน้ากลมกระพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรเสียในอดีตเผ่าวิหคสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในเผ่าที่แข็งแกร่งในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน เก็บซ่อนไม้ตายอะไรที่ผู้อื่นไม่รู้เอาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ครั้งนี้อาวุโสของเผ่ากำชับเอาไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องร่วมมือกับเผ่าอื่นกำจัดเผ่าแดงสด อย่าให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขากลายเป็นประมุขได้แม้แต่คนเดียว เจ้าผู้ที่เรียกว่าหานลี่นั้นกว่าครึ่งคงเป็นผู้ที่เป็นความหวังที่สุดของเผ่าวิหคสวรรค์ ดังนั้นก่อนเข้าไปในหุบเหวลึก ต้องรู้ความสามารถของเขาให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าไม่อยากทำอะไรที่ไม่มั่นใจ” จู้อินจื่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่พูดมีเหตุผล ครานี้พวกเราไปที่สนามแข่งขันก่อนเถิด คนผู้นั้นจะต้องไปแน่” สือเทียนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ก็น้อยอยู่แล้ว หากเขาไม่ไปดูสักหน่อย แล้วเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว” จู้อินจื่อเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
จากนั้นทั้งสองคนก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บินไปทางทิศตะวันออก