A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1436 หยั่งเชิง
หลังจากที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ ก็จมหายเข้าไปในลูกบอลเพลิงยักษ์ในตอนที่คนกว่าครึ่งล้วนคิดว่าประจุไฟฟ้าสีเงินจะต้องทะลวงผ่านลูกบอลเพลิงนั้น อัสนีลูกนี้กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผิวของลูกบอลเพลิงอย่างไร้ร่องรอย คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น
เหลยหลันพลันตกตะลึง ลูกบอลเพลิงมาอยู่ตรงหน้าในชั่วครู่ ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่สตรีผู้นี้มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย ร่างกายก็พุ่งไปทางด้านหลัง ปีกคู่นั้นห่อหุ้มร่างกายของตนเองเอาไว้
ชั่วขณะนั้นลำแสงอัสนีเป็นชั้นๆ พลันปรากฎขึ้น ท่ามกลางอัสนีวิหคสีเงินขาวตัวหนึ่งพลันปรากฎขึ้น เรือนกายมีประจุไฟฟ้าสีเงินแล่นผ่าน บนลำคอกลับมีโซ่ประหลาดๆ คล้องอยู่ ด้านบนมีน้ำเต้าสูงสองสามชุ่นเปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฎอยู่
ตั้งแต่ต้นจนจบสตรีผู้นี้จึงตัดสินใจเอาเคล็ดวิชาแปลงกายที่ชำนาญที่สุดออกมาโจมตีอีกฝ่าย
เมื่อลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์เห็นวิหคตัวนี้ปรากฎตัว ชั่วขณะนั้นก็หยุดการหมุนตัว เสียงอึกทึกดังขึ้น ลูกบอลเพลิงเปลี่ยนรูปไปอย่างฉับพลัน และกลายเป็นวิหคเพลิงสีแดงสดตัวหนึ่ง
วิหคตัวนี้มีขนาดใหญ่มากกว่าวิหคตรงข้ามหลายเท่า แต่วิหคตยักษ์กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด หลังจากเสียงไพเราะดังขึ้น ร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็มีขนาดเล็กกว่าวิหคเพลิงเท่าหนึ่ง จากนั้นก็พาลำแสงอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง
หงซาที่กลายเป็นวิหคเพลิงยิ่งไม่หวาดกลัว เปลวเพลิงบนร่างลุกโชน กรงเล็บที่แหลมคมคู่หนึ่งชูขึ้นมาจากกลางอากาศ กรงเล็บลำแสงสีแดงสดพุ่งออกมา
วิหคยักษ์ทั้งสองชูปีกทั้งสองขึ้น แทบจะกลบม่านลำแสงกลางอากาศไปกว่าครึ่ง และเป็นเพราะการต่อสู้ของทั้งสองยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
โลหิตสดๆ ขนนกจึงร่วงลงมาเป็นครั้งคราว
แต่ชั่วพริบตาที่หล่นมาถึงพื้น ของเหล่านั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ เหลยหลันที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นต้นเมื่อแปลงกลายเป็นวิหคยักษ์แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เป็นรอง กลับยิ่งมีท่าทีต่อสู้ที่ดุดันมากขึ้น
ไม่ว่าประจุไฟฟ้าบนกรงเล็บหรือบนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเงินขาวเป้นสีม่วงออก ดูท่าทางอานุภาพของมันจะมากกว่าอัสนีสีเงิน
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบจ้องเขม็งไปยังวิหคยักษ์กลางาอากาศ มุมปากกลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
คนอื่นไม่ได้สังเกตจึงคิดว่าวิหคยักษ์ที่อยู่กลางอากาศสำแดงเคล็ดวิชาอะไรออกมาโดยอัตโนมัติ ถึงได้ทำให้อานุภาพของประจุไฟฟ้าสีเงินเพิ่มขึ้น
แต่ภายใต้เนตรวิญญาณของเขา กลับมองเห็นอย่างชัดเจน สิ่งที่เรียกว่าประจุไฟฟ้าสีม่วงไม่ได้เกิดจากตัวของวิหคยักษ์ แต่เกิดจากน้ำเต้าสีทองขนาดสองสามชุ่นตรงคอ บางครั้งก็พ่นพลังเส้นไหมไฟฟ้าสีม่วงเป็นสายๆ ออกมา เมื่อเส้นไหมไฟฟ้าเหล่านี้สัมผัสกับประจุไฟฟ้าสีเงินบนตัวของวิหคยักษ์ ก็ผสมกันแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มีการเคลื่อนไหวนี้ ประจุไฟฟ้าสีเงินที่ปกป้องร่างของวิหคยักษ์ถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงอ่อน
เส้นไหมไฟฟ้าสีม่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่
หงซาที่ตกตะลึงมาตั้งแต่ต้นกลับเป็นฝ่ายถูกกดจนตกเป็นรอง ในใจจึงรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธขึงอย่างสุดๆ
แม้ว่วานางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีการที่พิเศษอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นอาศัยแค่พลังยุทธ์แล้ว อีกฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อย่างไร
ในตอนนั้นเองข้างหูของนางพลันมีเสียงบุรุษดังขึ้น เสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อสตรีผู้นี้ได้ยินกลับรู้สึกใจสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็โยนความลังเลสุดท้ายทิ้งไป กระพือปีกทั้งสองข้าง ใช้การสังหารที่ตนเองเตรียมมาเพื่อการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน
เหนือหัวของวิหคเพลิงมีขนนกยาวๆ เส้นหนึ่งพุ่งออกมา
หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ขนนกก็กลายเป็นวิหคเพลิงอีกตัวหนึ่งที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว
อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นลูกบอลไฟรวมทั้งไข่มุกออกมาเป็นลูกๆ เรือนกายมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำขณะกระโจนเข้าไปในวงการต่อสู้
วิหคยักษ์ที่เพิ่งจะได้เปรียบไป ถูกการโจมตีจากวิหคเพลิงทั้งสองขนาบข้าง ก็ทำให้วิหคยักษ์หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เปล่งเสียงกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่หยุด
เปลวเพลิงและประจุไฟฟ้านี้ตัดสลับโจมตีกันไปมา ทำให้อากาศที่อยู่ในเปลวเพลิงถูกสั่นคลอนจนเกิดเสียงหึ่งๆ ขึ้น อากาศร้อบๆ เริ่มบิดเบี้ยวกวัดแกว่งไปมา
แต่ก็ทำให้สถานการณ์การต่อสู้ของวิหคยักษ์สีเงินและวิหคเพลิงสองตัวลางเลือนไม่ชัดเจน
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่า วิหคยักษ์สีเงินกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่อาจยืนหยัดได้นานหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บแล้วร่วงลงสู่พื้นในทันทีก็เป็นได้
ครั้งนี้หานลี่แค่มองดูอย่างเงียบๆ ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สยายออก หลังจากเสียงฟ้าร้องที่น่าตกตะลึงดังขึ้น ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ท่ามกลางฝูงชนก็มีเงาสีดำอีกสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปจากที่เดิม
“ปัง” เสียงดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีทองความยาวสิบจั้งเศษสายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ สับลงไปทางเปลวเพลิงและประจุไฟฟ้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน
กระบี่ลำแสงยังไม่ทันได้เข้าใกล้การต่อสู้ รอยแยกสีขาวบางๆ สายหนึ่งก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า และระเบิดเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา
เมื่อเปลวเพลิงและประจุไฟฟ้าสัมผัสกับรอยแยกสีขาว ก็ทยอยกันสลายหายไปราวกับราวกับดินโคลน
วิหคเพลิงสองตัวที่อยู่ในการต่อสู้และวิหคยักษ์สีเงินตัวนั้น รู้สึกเพียงว่าลำแสงสีทองสว่างพร่าง ของที่แหลมคมสายหนึ่งมาอยู่เหนือหัวของทั้งสาม และสับลงมาอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด
พวกมันไม่อาจต้านทานได้
ภายใต้ความตะลึงงันของวิหคทั้งสาม จึงไม่สนใจการต่อสู้อะไรอีก ต่างเก็บความสามารถของตนเองพร้อมกับ แล้วพุ่งกลับไปทางด้านหลัง
กระบี่ลำแสงยักษ์สับทั้งสองออกจากตรงกลาง ทิ้งรอยแยกสีขาวสายหนึ่งเอาไว้ที่เดิม ทันใดนั้นพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากรอยแยกสีขาว
รอบๆ มีพายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น พลังปราณฟ้าดินจำนวนมากรวมตัวกันในรอยแยกสีขาว ราวกับจะสับห้วงเวลาออกไปจริงๆ
ผู้ชมที่อยู่ด้านนอกต่างเกิดความโกลาหลขึ้น วิหคยักษ์เก็บประจุุอัสนีในร่างไป กลายเป็นสตรีวัยดุรณีอีกครั้ง แต่แค่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องสู้ต่ออีก” เสียงราบเรียบดังขึ้นที่ด้านหลังของเหลยหลัน ราวกับว่าอยู่ใกล้แค่คืบ
สตรีอาภรณ์สีเงินหน้าเปลี่ยนสีรีบร้อนหันกลับไป เห็นเพียงชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวมายืนอยู่ด้านหลังของนางอย่างเงียบเชียบ
นั่นก็คือหานลี่!
“เมื่อครู่นี้พี่หานเป็นผู้ลงมือหรือ!” เหลยหลัยรู้สึกตื่นตะลึงไปเล็กน้อย
อานุภาพของกระบี่ลำแสงสายนั้น ทำให้สตรีผู้นี้คิดว่าผู้ที่ลงมือคือสิ่งมีชีวิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณท่านหนึ่ง
ครานี้กระบี่ลำแสงที่น่ากลัวสายนั้นสลายหายไปพร้อมกับรอยแยกสีขาวที่ปรากฎขึ้น ไอวิญญาณฟ้าดินที่รวมตัวกันอยู่ก็แยกตัวออกจากกันอีกครั้ง ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
ทว่าหานลี่ในครานี้กลับไม่ได้ตอบคำถามสตรีผู้นี้ แค่ใช้สองตาจ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม
เหลยหลันพลันตกตะลึงแล้วมองตามไป
นางถึงได้พบว่าหงซาที่อยู่ตรงข้ามก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วเช่นกัน และยังเก็บร่างแยกของตนเองไปแล้ว กำลังมองมาทางนี้ด้วยท่าทีอมยิ้ม
ด้านหลังของคู่ต่อสู้มีชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หน้าตาโหดเ**้ยม สีหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือจู้อินจื่อ และเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดที่ทำให้นางรู้สึกตื่นตัวมากที่สุด
เหลยหลันอดที่จะใจเย็นเยียบไม่ได้
“พี่หาน ได้ยินว่าท่านเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่นอกมหาสมุทร เพิ่งจะกลับมายังเผ่าวิหคสวรรค์ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าน้อยรู้สึกสนใจจริงๆ ขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพี่หานได้หรือไม่” จู้อินจื่อมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยถาม
กระบี่ที่หานลี่หยิบออกมาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้ง รู้ว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายมีความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เพื่อให้รู้ความสามารถของอีกฝ่ายอย่างละเอียด เขาก็ยังคงดำเนินตามแผนขอม้าประลองหานลี่ด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชื่อเสียงของจู้อินจื่อไม่ใช่สิ่งที่หงซาและเหลยหลันจะเทียบเทียมได้
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกผู้ชมจำนวนไม่น้อยจำได้ในทันที ทีนใดนั้นเมื่อคนเหล่านี้ได้ยินจู้อินจื่อขอท้าประลองกับอีกคนหนึ่งก็พลันรู้สึกตกตะลึง ชั่วขณะนั้นทุกคนก็เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา!
ผู้ที่มีความสามารถเกรียงไกรประมือกันไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน มีความน่าเกรงขามไม่น้อย อีกคนหนึ่งก็เป็นแม่ทัพวิญญาณระดับสูง ดูแล้วพวกเขาน่าจะได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของจู้อินจื่อ เหลยหลันพลันขมวดคิ้วสีหน้าถึงบางอ้อไปเล็กน้อย ดูแล้วในที่สุดสตรีผู้นี้ก็มองออกแล้วว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ ‘ศิษย์พี่หาน!’ ตั้งแต่แรก คาดไม่ถึงว่านางจะเป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น
“ประมือกับนายท่าน ข้านั้นไม่สนใจ” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยอย่างห้วนๆ
“หึๆ ในเมื่อเข้ามาในเขตต้องห้ามแล้วก็ช่วยไม่ได้แล้ว พี่หานรับคำท้าเถิด” ชายหนุ่มชูมือหนึ่งขึ้น ดูเหมือนว่าฝ่ามือที่ปกติแล้วมีลำแสงสีแดงมีลำแสงระยิบระยับจะกลายเป็นกรงเล็บที่แหลมคมสีแดงสด เล็บทั้งสิบแหลมคม เปล่งแสงแพรวพราว ดูเหมือนว่าแกะสลักมาจากผลึกหินสีแดงสดอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่พลันขมวดคิ้วไม่ทันได้เอ่ยอะไรอีก กรงเล็บสีแดงของชายหนุ่มก็ดูเหมือนว่าจะตะปบมาทางหานลี่สบายๆ
“ตู้มๆ” เสียงระเบิดดังขึ้น กรงเล็บลำแสงสีแดงสดห้าสายเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วพุ่งออกมา ลำแสงสีแดงสว่างวาบแล้วหายวับไปทันที
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นแขนข้างหนึ่งพลันผลักออกไปด้านหน้าเช่นกัน นิ้วสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกทั้งห้ากางออกต้านทานอยู่เบื้องหน้า
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของหานลี่ห่างออกไปสิบจั้งเศษพลันมีพายุหมุนอย่างรุนแรง กรงเล็บลำแสงห้าสายปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หานลี่เห็นกรงเล็บลำแสงสีแดงทั้งห้าก็หน้าเปลี่ยนสี เมื่อลำแสงสีแดงที่แต่เดิมมีความยาวแค่สองสามชุ่นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะขยายใหญ่จนมีขนาดสองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังดูดซับพลังวิญญาณรอบๆ เข้าไปไม่หยุด พลางขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรงเล็บลำแสงไม่ทันได้เข้าใกล้ หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดที่หน้าตกตะลึง หากมีพลังยุทธ์ต่ำหน่อย เมื่อถูกกรงเล็บลำแสงเหล่านี้ปกคลุมเอาไว้เกรงว่าร่างกายที่ถูกยึดไปคงไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่ปลายก้อย
รู้สึกตกตะลึง นิ้วสีดำทั้งห้าที่ต้านทานอยู่เบื้องหน้าของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบ ภูเขาขนาดย่อมสีดำสนิทลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แค่กระพริบวาบก็มีขนาดสิบจั้งเศษ
หลังจากที่ยอดเขาสีดำต้านทานอยู่เบื้องหน้าหานลี่แล้ว ก็ปกป้องเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
“ตึงๆ” เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีแดงสว่างวาบ กรงเล็บสีแดงห้าสายอยู่บนภูเขาขนาดย่อม
กลิ่นอายร้อนฉ่าแผ่ออกมาประชิดตัวหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้หานลี่จะรู้สึกทุกข์ทนราวกับอยู่ในเตาหลอมอย่างไรอย่างนั้น
แต่ยอดเขาสีดำกลับนิ่งงันอยู่ที่เดิมดูเหมือนว่าจะไม่ได้สั่นเทาเลยสักนิด
“เอ๋” จู้อินจื่อที่อยู่ตรงข้ามเห็นฉากนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปที่ภูเขาดูดปราณเบื้องหน้า สีหน้ากลับเคร่งขรึม
“ปัง” เขาตบไปที่ภูเขาขนาดย่อมลูกนั้น
ชั่วขณะนั้นภูเขาลูกนี้พลันหมุนคว้าง จุดที่ถูกโจมตีเมื่อครู่หันมาหาหานลี่
เห็นเพียงผิวของภูเขาขนาดย่อมสีดำ มีรอยกรงเล็บห้าสายฝังลึกลงไปสองสามชุ่น และมีท่าทีจะละลายเล็กน้อย
แค่นเสียงอย่างเย็นชา ฝ่ามือสีดำกดลงไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
ผิวของภูเขาขนาดย่อมมีลำแสงสีดำไหลโคจรอยู่ ทุกแห่งที่ไหลผ่านไปรอยกรงเล็บที่ละลายเหล่านั้นต่างฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
“ในเมื่อพี่จู้อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ได้ ข้าน้อยก็มีเพียงแต่ต้องขอคำชี้แนะแล้ว” หานลี่เอ่ยจบร่างกายพลันพลิ้วไหว คนมาปรากฏตัวที่ด้านข้างภูเขา จากนั้นเขาพลันกระพือปีกทั้งสองข้าง เงาวิหคสีเขียวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง
ในเวลาเดียวกันหลังจากที่เสียงตูมตามดังขึ้น รอบด้านของหานลี่ก็มีเสาวายุสีเขียวสี่สายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเสียงกรีดร้องดังระงม