A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน - ตอนที่ 1437 ผู้พิทักษ์หุบเหว
- Home
- A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน
- ตอนที่ 1437 ผู้พิทักษ์หุบเหว
เงาวิหคสีเขียวจ้องเขม็งไปยังจู้อินจื่อที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ปีกทั้งสองโบกสะบัดเบาๆ
ชั่วขณะนั้นเสาวายุสี่สายพลันระเบิดออก วายุใบมีดสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นท่ามกลางวายุ จากนั้นพลันพุ่งออกไป
ครานั้นม่านลำแสงทั้งหมดพลันมีเสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทอตัวอยู่เต็มท้องฟ้า
จู้อินจื่อเห็นหานลี่แค่ลงมือก็มีอานุภาพน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึม
แต่คนผู้นี้มีชื่อเสียงขนาดนี้ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปีกทั้งสองพลันขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ในเวลาเดียวกันพลันกระพือปีกอย่างแรงสองสามครั้ง
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า สะเก็ดไฟปรากฏขึ้นรอบๆ อย่างหนาแน่น
ทันใดนั้นขณะที่จู้อินจื่อใช้สองมือร่ายอาคม กลายเป็นลูกธนูสีแดงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปเช่นกัน
อานุภาพนั้นไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีด้วยวายุใบมีดที่อยู่ตรงข้าม
ชั่วพริบตาท้องฟ้าทั้งผืนก็ดูเหมือนว่าจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยลำแสงเส้นใหม่ มีดสีเขียวกระพริบวาบๆ อีกครึ่งหนึ่งเป็นเปลวเพลิงสีแดงเปล่งประกายดังกองไฟที่ลุกโชน
ตรงเส้นที่ทั้งสองสัมผัสกันนั้น เกิดเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวและลำแสงสีแดงตัดสลับพัวพันกันแล้วทยอยกันระเบิดตัวออก
ครานั้นคาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ไม่อาจตัดสินได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หานลี่มองเห็นฉากนี้ใบหน้าพลันไร้ความรู้สึก แต่สองมือที่ร่ายอาคมพลันเปลี่ยนไป ในแขนเสื้อมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้น หลังจากที่มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสองครั้ง ประจุไฟฟ้าสีทองขนาดหน้าเท่าปากชามสองสายพลันพุ่งตัวดีดออกมาจากแขนเสื้อ ผนึกตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นมังกรวารีไฟฟ้าสีทองที่หนายิ่งกว่าเดิมตัวหนึ่ง
มังกรวารีไฟฟ้าตัวนี้สะบัดหัวสะบัดหางเปล่งแสงสว่างวาบตามความคิดที่เคลื่อนไหวของหานลี่ แล้วสะบัดตัวพุ่งห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ชั่วพริบตาก็มาปรากฏตัวด้านหน้าจู้อินจื่อ กระโจนเข้าไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ
ความเร็วของมังกรวารีไฟฟ้าราวกับเคลื่อนย้ายที่อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นจู้อินจื่อเองก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยง
เขาอ้าปากออกอย่างไม่ต้องคิดพ่นลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกสีแดงสดเม็ดหนึ่ง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ไข่มุกกลมๆ และมังกรวารีไฟฟ้าปะทะกัน ระเบิดลำแสงที่น่าตกตะลึงออกมา ทันใดนั้นไอวิญญาณพลันหมุนวน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเสาเพลิงสูงเสียดฟ้า มีความกว้างประมาณสองสามจั้ง ใจกลางของเปลวเพลิงมีเส้นไหมสีทองเป็นสายๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง วายุที่เร่าร้อนกลุ่มหนึ่งม้วนวนไปรอบด้าน
ภายใต้อานุภาพนี้จู้อินจื่อเองก็ถอยร่นไปสองสามก้าว สายตามองไปยังฝั่งตรงข้าม
ผลคือภายใต้ความตกตะลึงนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี
ตรงข้ามนั้นว่างเปล่า หานลี่ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะพาเหลยหลันบินร่อนลงไปบนพื้นอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นก็หนีออกจากม่านลำแสง
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของจู้อินจื่อพลันชูมือหนึ่งขึ้นชี้ไปทางหานลี่อย่างแม่นยำ
เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลันพุ่งออกไป
หานลี่กับจ้องการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ตั้งนานแล้ว เขาที่เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งนานแล้วพลันเลิกคิ้วขึ้น ยื่นนิ้วชี้ออกไปนิ้วหนึ่ง
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบมีเส้นสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกไปเช่นกัน นั่นก็คือเส้นไหมวิญญาณเพลิง!
“เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น
เส้นไหมสีแดงสองสายเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศโจมตีเข้าด้วยกันอย่างไม่มีข้อผิดพลาด
ผลคือเส้นไหมสีแดงของหานลี่พลันดีดตัวกลับ ส่วนหน้าของเส้นไหมสลายหายไป เส้นไหมสีแดงของจู้อินจื่อกลับหายวับไปด้วยเหตุนี้
และชั่วเวลาที่ล่าช้าไปนั้นหานลี่และเหลยหลันพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นสองสามครั้ง ปรากฏตัวในฝูงชนด้านนอกม่านลำแสง
คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงพลันหลบหลีกไปสองสามก้าว ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็มองมาด้วยความตกตะลึง
“พี่หาน เจ้าไม่สู้แต่กลับหนีไม่กลัวว่าจะทำลายชื่อเสียงของเผ่าเจ้าหรือ” จู้อินจื่อเห็นว่าไม่อาจะยับยั้งหานลี่เอาไว้ได้ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธา
“เจ้าและข้าล้วนรู้ดีว่าหากจะตัดสินแพ้ชนะภายในเวลาอันสั้นนั้นเกรงว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยมีภาระสำคัญอยู่กับตัวจึงขอหยุดการแลกเปลี่ยนกับพี่จู้แต่เพียงเท่านี้เถิด” หานลี่หันไปมองจู้อินจื่อแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ทันใดนั้นสองปีกพลันสยายออกพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วบินหนีไป
หลังจากที่เหลยหลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตบฝ่าเท้าบินตามไป
จู้อินจื่อที่อยู่ในม่านลำแสงเห็นหานลี่หนีไปซะอย่างนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่จู้ต้องตามพวกเขาไปหรือไม่” หงซาลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามจากด้านข้าง
“หึ จะตามไปอย่างไร? ออกจากสนามแข่งขันแล้วที่อื่นก็ไม่อาจลงมือได้ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ประมือกันแล้วคนผู้นั้นบอกจะไปก็ไป ทว่าแม้ว่า จะประมือกันเพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญด้านวายุและอัสนี นับว่าครั้งนี้ไม่เสียเปล่า สมบัติภูเขาของเขาชิ้นนั้นข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกรงเล็บเปลวเพลิงของข้าได้ ยุ่งยากหน่อยละ กลับไปต้องหาวิธีทำลายมันให้ได้” จู้อินจื่อแค่นเสียงอย่างเย็นชาขณะเอ่ย
หงซาจึงเอ่ยอย่างเห็นด้วยด้วยความระมัดระวังตัว
ดังนั้นทั้งสองคนจึงร่อนลงจากบนฟ้ารวมตัวกับสือเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้านล่าง แล้วจากไปเช่นกัน
จึงเหลือเพียงคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนอื่นๆ ที่ยังคงซุบซิบนินทากันเรื่องการประมือเมื่อครู่และการที่หานลี่ถอยไปอย่างกะทันหัน
……
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่ได้กำชับเอาไว้หรือ ว่าหากจะออกจากที่พักของเผ่าห้ามออกไปคนเดียว? เจ้ายังไปต่อสู้กับคนของเผ่าแดงสดที่สนามแข่งขัน” จินเย่ว์จ้องเขม็งไปยังหญิงสามชุดสีเงินที่ยืนเอามือประสานกันอยู่เบื้องหน้า พลันเอ่ยถามด้วยความเย็นชา
ครานี้มหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอคอยของหานลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา
อาวุโสสือนั่งอยู่ด้านข้าง แต่สายตากลับเปล่งประกายมีสีหน้าไม่พอใจเฉกเช่นเดียวกัน
คนที่ถูกตำหนิพลันมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก
ไป๋ปี้และหานลี่ล้วนยืนอยู่คนละฝั่ง ไป๋ปี้นั้นก้มหน้างุดไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ท่าทางไม่สบายใจเล็กน้อย หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ
ในตอนที่หานลี่พาเหลยหลันกลับมาได้ไม่นาน จินเย่ว์และพวกก็ทราบข่าวเรื่องนี้ในทันที จึงรีบรุดมา ตำหนิบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างหนักรอบหนึ่ง
แม้ว่าเรื่องนี้ผู้ที่รับผิดชอบจะเป็นสตรีนามว่าเหลยหลัน แต่ไป๋ปี้กลับไม่ห้ามปราม จึงถูกตำหนิเช่นกัน
“ท่านมหาอาวุโส หงซาของเผ่าแดงสดผู้นั้นบอกว่ามีศิลาดาวอัสนี หากข้าเอามันมาได้วันข้างหน้าก็มั่นใจว่าจะมีโอกาสบรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณได้สามส่วน ศิษย์ถึงได้เลอะเลือน…” ในที่สุดเหลยหลันก็เอ่ยงึมงำออกมา
“ศิลาดาวอัสนี! มิน่าล่ะเจ้าถึงได้สนใจถึงเพียงนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะนำมาอ้างได้ พลังยุทธ์ของเจ้าเทียบกับความเป็นความตายของเผ่าแล้วอะไรสำคัญกว่ากัน เจ้าก็น่าจะรู้ดี รู้หรือไม่ว่าเพื่อเลี้ยงดูบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้าสองคนในเผ่าต้องใช้ผลึกศิลาและยาสมุนไพรไปจำนวนนับไม่ถ้วนถึงจะทำให้พลังยุทธ์ของพวกเจ้าพัฒนามาถึงระดับนี้ได้ในเวลาอันสั้น มิเช่นนั้นแม้ว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหนือชั้นก็ไม่อาจพัฒนามาถึงระดับแม่ทัพวิญญาณได้” จินเย่ว์ยังคงเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว
เหลยหลันพลันหมดคำพูด เผยสีหน้าละอายใจออกมา
ครั้นเมื่อหญิงสามคิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีกนั้น อาวุโสสือที่อยู่ด้านข้างก็ฉีกยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปากว่า
“เอาล่ะ อาวุโสจินแม้ว่าเหลยหลันจะบุ่มบ่ามไปหน่อยแต่โชคดีที่สหายหานตามไปทัน และไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ใช่แล้วสหายหานมองเรื่องนี้อย่างไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก เผ่าแดงสดน่าจะสงสัยในตัวข้าจึงอยากทดสอบความสามารถดู” หานลี่หัวเราะน้อยขณะเอ่ยตอบกลับ
“หึๆ ได้ยินว่าสหายหานและจู้อินจื่อประมือกันโดยไม่ตกเป็นรองและไม่ได้พัวพันนานนัก ช่างเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดจริงๆ” อาวุโสสือใช้น้ำเสียงชื่นชมขณะเอ่ย
“อะไรควรไม่ควรชนรุ่นหลังย่อมรู้ดี” หานลี่ฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสามคนห้ามออกจากหอคอยแม้แต่ก้าวเดียว แค่ทำสมาธิรอการทดสอบก็พอแล้ว เรื่องอื่นมอบให้พวกเราสองคนจัดการก็พอ” จินเย่ว์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“เจ้าค่ะ/ขอรับ!” ทั้งนี้ไป๋ปี้และเหลยหลัน พลันเอ่ยน้อมรับพร้อมกัน
หานลี่เองก็ประสานมือคารวะโดยไม่มีความเห็นอื่น
จะว่าไปแล้วฐานะของหานลี่ในเผ่าวิหคสวรรค์ในครานี้ค่อนข้างวิเศษจริงๆ ในนามเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า แต่ความจริงแล้วกลับเหมือนตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่ง ประกอบกับที่เผ่าวิหคสวรรค์มีเรื่องขอร้องเขาจึงทำให้จินเย่ว์และเหล่าอาวุโสปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทมาก
รอจนจินเย่ว์และอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์จากไปแล้ว หานลี่และพวกทั้งสามก็กักตนนั่งสมาธิตามคำสั่ง โดยไม่ออกไปข้างนอกอีก
สิบกว่าวันให้หลัง จินเย่ว์และเผ่าอาวุโสของเผ่ากลับไปประชุมที่ยอดฮ่องเต้หยกทุกวัน ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาเรื่องอะไรกันอยู่…
สองเดือนต่อมา กลางอากาศเหนือเนินดินที่รกร้างสีเหลืองมีวิหคยักษ์และแมลงบินจำนวนนับไม่ถ้วน บินแฉลบผ่านไป
บนร่างของวิหคยักษ์และแมลงบินเหล่านี้ต่างมีเงาร่างคนติดปีกยืนอยู่บ้างนั่งบ้างปะปนกันไป
นั่นก็คือกลุ่มคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่ออกเดินทางจากยอดฮ่องเต้หยกไปสู่ทางเข้าหุบเหว
หานลี่และคนของวิหคสวรรค์ชี่อยู่บนวิหคยักษ์สีขาวสองสามตัว โดยมีกองกำลังรายล้อมอยู่
แม้ว่ากองกำลังจะยิ่งใหญ่ แต่เมื่อบินมาเป็นระยะเวลานานคนที่พูดคุยกันระหว่างบินจึงมีอยู่น้อยมาก
หานลี่เองก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังของวิหคยักษ์ ใข้สายตากวาดมองรอบๆ ด้านอย่างเงียบๆ ทางเข้าของหุบเหวนี้อยู่ห่างจากยอดฮ่องเต้หยกกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ฉับพลันนั้นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินด้านหน้าพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น และเปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา ความเร็วของกองทัพผ่อนกำลังลง
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี กวาดจิตสัมผัสไปเบื้องหน้าทันที
เห็นเพียงห่างจากเขาไปพันลี้ มีกำแพงยักษ์ปรากฏขึ้นเป็นสีเขียวเทาสูงสามร้อยสี่ร้อยจั้ง เมื่อมองไปทั้งสองฝั่งก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางได้
บนกำแพงยักษ์ ทุกๆ ร้อยจั้งเศษ จะมีเสาหยกสีขาวบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่
เสาเหล่านี้มีความสูงแค่สิบจั้ง แต่ผิวของมันกลับเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ ล้วนมีอักขระยันต์ลึกลับสลับเอาไว้เป็นสายๆ โดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์ในด้านใด
แต่ด้านข้างกำแพงยักษ์กลับมีหอคอยทรงกลมสูงประมาณสามสิบสี่สิบจั้งเรียงรายอยู่อย่างแน่นขนัด เมื่อกวาดสายตาไปทั้งหมดน่าจะมีสองสามพันหอ
และเหนือหอคอยเหล่านี้มีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจำนวนนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ท่าทางกำลังรอคอยการมาถึงของพวกเขา
หานลี่และพวกของเผ่าวิญญาณเหาะเหินค่อยๆ บินเข้าไปใกล้คนเหล่านั้น และในที่สุดก็หยุดลง
“คารวะเหล่าอาวุโส!” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะสงครามสีเขียวคนหนึ่งบินออกมาจากฝูงชนแล้วประสานมือคารวะคนฝั่งนี้
“ที่แท้ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในปีนี้ก็คือน้องจินเฟิงนี่เอง ช่างบังเอิญจริงๆ น้องจินน่าจะได้รับข่าวที่พวกเราส่งมาแล้วสินะ” ฝั่งของหานลี่ก็มีคนสองสามคนบินออกไปในทันที
หญิงชรามือหนึ่งถือไม้เท้าคนหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนเรือนผมสีขาวราวกับหิมะคนหนึ่ง รวมทั้งชายชราที่ใบหน้ามีรอยสักคนหนึ่ง
นั่นก็คือสามอาวุโสที่มีอำนาจที่สุดในการประชุมเหล่าอาวุโส ส่วนคนที่พูดกลับเป็นบุรุษวัยกลางคน
ทั้งสามคนเผชิญหน้ากับคนสวมชุดเกราะสีเขียวที่บินมาด้วยท่าทีมีมารยาทเป็นพิเศษ